วันพุธที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2557

LG ควง Motorola จับมือ Google เปิดตัวสมาร์ทว็อตช์

เจ้าพ่อแดนกิมจิอย่างแอลจี (LG) และยักษ์ใหญ่อเมริกันอย่างโมโตโรลา (Motorola) ประกาศนับถอยหลังการจำหน่ายนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการใหม่ล่าสุด "แอนดรอยด์แวร์ (Android Wear Operating System)" ตั้งเป้าชนกับสินค้าของแอปเปิล (Apple) ซึ่งมีกำหนดบุกตลาดอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้หรือ wearable device ในปีนี้ เบื้องต้นคาดนาฬิกา "G Watch" จากแอลจีและ "Moto 360" จากโมโตโรลาจะพร้อมจำหน่ายในไม่กี่เดือนนับจากนี้
      
       แอลจีอิเล็กทรอนิกส์ออกแถลงการณ์เมื่อวันอังคารที่ 18 มีนาคมตามเวลาในสหรัฐฯว่าจะเริ่มจำหน่ายนาฬิกาข้อมืออัจฉริยะด้วยชื่อรุ่นว่า "จี ว็อตช์ (G Watch)" โดยนาฬิกานี้จะทำงานบนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์แวร์ ซึ่งเป็นโอเอสเวอร์ชันพิเศษที่กูเกิล (Google) ออกแบบมาเพื่อใช้กับอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้โดยเฉพาะ จุดนี้แอลจีให้ข้อมูลว่าได้ประสานงานกับกูเกิลอย่างใกล้ชิดในการออกแบบนาฬิกาไฮเทครุ่นนี้
      
       ข้อมูลระบุว่า สมาร์ทว็อตช์แอนดรอยด์จะสามารถเชื่อมต่อการทำงานกับสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ได้ดี โดยผู้ใช้สามารถสั่งการด้วยเสียงผ่านบริการกูเกิลนาว (Google Now) ซึ่งเป็นบริการผู้ช่วยส่วนตัวดิจิตอลที่สามารถตอบคำถาม แนะนำร้านอาหาร หรือแม้แต่การพยากรณ์ว่าผู้ใช้กำลังจะต้องการข้อมูลใด ก่อนที่ผู้ใช้จะเอ่ยถาม

การเปิดตัวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการเตรียมการเพื่อต่อกรกับแอปเปิล เจ้าพ่อไอโฟนและไอแพดที่เชื่อกันว่าจะเปิดตัวสินค้าไอทีสวมใส่ได้ออกมาจำหน่ายในปี 2014 อย่างแน่นอน ความเชื่อนี้เกิดขึ้นหนาหูเมื่อซีอีโอแอปเปิลอย่างทิม คุก (Tim Cook) เคยยืนยันว่าแอปเปิลจะเปิดตลาดสินค้าประเภทใหม่ที่บริษัทไม่เคยเปิดตัวมาก่อนในปี 2014 ซึ่งล่าสุด โฆษกแอปเปิลปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆต่อประเด็นนี้เมื่อสำนักข่าวรอยเตอร์สติดต่อไป
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่า หากกูเกิลสามารถชิงเปิดตัวสมาร์ทว็อตช์แอนดรอยด์ได้ก่อนแอปเปิล โอกาสที่แอนดรอยด์จะนำหน้าระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิลในตลาดใหม่ย่อมสูงขึ้น เนื่องจากที่ผ่านมา สมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ไม่สามารถทำยอดขายได้แซงไอโฟนได้จนกระทั่งปี 2010 ซึ่งเป็นช่วงเวลาถึง 3 ปีหลังจากสตีฟ จ็อบส์ (Steve Jobs) เปิดตัวไอโฟนรุ่นแรก
      
       นอกจากแอลจี โมโตโรลาคือพันธมิตรรายล่าสุดของกูเกิลที่ประกาศความพร้อมเปิดตัวนาฬิกาไฮเทครุ่นแรกของค่ายด้วยชื่อว่า "โมโต 360 (Moto 360)" ความเคลื่อนไหวนี้ไม่น่าแปลกใจเพราะกูเกิลเป็นเจ้าของโมโตโรลาจนกระทั่งขายธุรกิจบางส่วนให้เลอโนโว (Lenovo) ของจีนไปในเดือนมกราคม
      
       ข้อมูลระบุว่า Moto 360 สามารถสั่งการด้วยเสียง “Ok Google” เช่นเดียวกับ G Watch จุดเด่นของนาฬิกานี้คือการแสดงข้อความแจ้งเตือนและการนำเสนอข้อมูลใหม่ จากภาพต้นแบบ จะพบว่า Moto 360 ตั้งใจใช้วัสดุหรูหรามีระดับเป็นส่วนประกอบ เบื้องต้นข้อมูลระบุว่า Moto 360 อาจเริ่มจำหน่ายในสหรัฐอเมริกาช่วงฤดูร้อน ปีนี้

ความเคลื่อนไหวทั้งหมดนี้สะท้อนว่าตลาดอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้กำลังขยายตัวตามที่บริษัทวิจัยมากมายฟันธงไว้ หนึ่งในนั้นคือบริษัทวิจัยเอบีไอ รีเสิร์ช (ABI Research) ที่พบว่าตลาดสมาร์ทว็อตช์จะมียอดจัดส่งมากกว่า 90 ล้านเครื่องในปี 2019 หรืออีก 5 ปีข้างหน้า จากยอดจัดส่งในปีนี้ที่คาดว่าจะมีจำนวนราว 7.5 ล้านเครื่อง
      
       นอกจากตลาดสมาร์ทว็อตช์ สำนัก ABI มองภาพรวมตลาดอุปกรณ์ไอทีสวมใส่ได้ทุกชนิดทั้งแว่นตา สร้อยคอ เข็มกลัด หรือรองเท้าอัจฉริยะว่าจะขยายตัวถึง 450 ล้านชิ้นในปี 2019 เพิ่มขึ้นจาก 54 ล้านชิ้นในปีที่ผ่านมา

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 มีนาคม 2557 12:19 น.

วันศุกร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2556

จีนพร้อมชน Google Glass ด้วย “Baidu Eye”

เรื่องอะไรจะปล่อยให้กูเกิลพัฒนาคนเดียว วันนี้เสิร์ชเอนจินจีนอย่าง “ไป่ตู้ (Baidu)” ยืนยันแล้วว่ากำลังพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะเพื่อแข่งขันกับ “กูเกิลกลาส (Google Glass)” โดยสินค้านี้มีชื่อรหัสเรียกเป็นการภายในว่า “ไป่ตู้อาย (Baidu Eye)” คาดว่าจะมีคุณสมบัติต่างจาก Google Glass แต่จะเหมือนกันที่ดีไซน์สวมใส่สไตล์แว่นตา
      
       ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นการแข่งขันเชิงสัญลักษณ์ เพราะที่ผ่านมา Baidu นั้นอาสาเป็นบริการเสิร์ชเอนจินภาษาจีนแทน Google แบบครบวงจร เรียกว่าทุกบริการที่ Google มี Baidu ก็มีให้บริการเช่นกัน ซึ่งเมื่อ Google เปิดตัวแว่นตาอัจฉริยะที่ทำให้ผู้ใช้สามารถท่องเน็ตได้โดยไม่ต้องควักอุปกรณ์ออกมาลูบหน้าจอ Baidu จึงขานรับด้วยการลงมือพัฒนาแว่นตาอัจฉริยะนี้ด้วย
      
       “Baidu Eye” คือชื่อรหัสที่เสิร์ชเอนจิ้นจีนใช้เรียกอุปกรณ์ท่องเน็ตแบบสวมใส่ได้ ข้อมูลระบุว่าแว่นนี้จะมีระบบวิเคราะห์เสียงภาษาจีนกลาง (Mandarin) รวมถึงคุณสมบัติการเสิร์ชด้วยภาพ ซึ่งจะอิงข้อมูลจากภาพถ่ายดิจิตอลที่เก็บได้จากแว่นตา
      
       Kaiser Kuo ประธานฝ่ายสื่อสารต่างประเทศของ Baidu ยืนยันกับสำนักข่าว Mashable ว่าข่าวคราวที่เกี่ยวข้องกับ Baidu Eye ซึ่งถูกรายงานไว้บนเว็บไซต์จีนเมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานั้นเป็นความจริง เบื้องต้น Kuo ระบุว่าแว่นตา Baidu Eye จะมีคุณสมบัติการทำงานที่ต่างจาก Google Glass แต่จะมีดีไซน์ในรูปแว่นตาที่สามารถสวมใส่ได้แบบเดียวกัน

อย่างไรก็ตาม Baidu Eye ยังไม่มีแผนการผลิต และยังอยู่ระหว่างการพัฒนาผลิตภัณฑ์และประเมินตลาดเพื่อโอกาสในการเติบโตสูงสุด แม้ว่าขณะนี้ Baidu Eye จะเริ่มมีการทดสอบการทำงานในกลุ่มวิศวกรภายใน Baidu แล้ว แต่ความไม่แน่นอนทั้งหมดนี้ทำให้เรื่องราวของ Baidu Eye ยังไม่ถูกประกาศสู่สาธารณชน
      
       Google Glass นั้นเป็นแว่นตาที่ Google ผนึกเทคโนโลยี augmented-reality หรือการจำลองภาพเสมือนจริง ทำให้ผู้สวมใส่สามารถมองภาพเสมือนจริงนั้นควบคู่ไปกับทัศนียภาพที่เกิดขึ้นจริงในเวลานั้นได้ ตัวแว่นสามารถรองรับคำสั่งเสียง และสามารถถ่ายภาพดิจิตอลโดยที่ตากล้องไม่ต้องยกมือขึ้นเล็งอีกต่อไป
      
       ขณะนี้ สิ่งที่ Baidu ทำคือ การตัดสินใจเปิดเผยต่อสาธารณชน หลังจากมีรายงานเผยแพร่ออกมาอย่างไม่เป็นทางการ จนบางส่วนมีความเข้าใจผิดว่าเป็นข่าวลวงในวัน April Fool's หรือเทศกาลโกหกเมื่อ 1 เมษายนที่ผ่านมา
      
       รายงานล่าสุดที่เกี่ยวกับ Baidu Eye ชี้ว่า Baidu กำลังทำงานร่วมกับบริษัทผู้ผลิตชิปรายใหญ่ Qualcomm ในการสร้างสรรค์ให้แว่นตา Baidu Eye สามารถทำงานบนอายุแบตเตอรี่ต่อเนื่อง 12 ชั่วโมงขึ้นไป พร้อมกับเผยแพร่ภาพที่อ้างว่าเป็น Baidu Eye ซึ่งถ่ายจากสำนักงานของ Baidu
      
       จุดนี้ Kuo ยืนยันว่าภาพ Baidu Eye นี้เป็นภาพจริงของแว่นตาต้นแบบจาก Baidu อย่างไรก็ตาม ผู้บริหาร Baidu ไม่ระบุว่า Baidu Eye จะสามารถพัฒนาได้เสร็จก่อนหรือหลัง Google Glass ที่มีกำหนดเปิดตัวปลายปีนี้ รวมถึงไม่เปิดเผยว่าราคาของ Baidu Eye จะสูงหรือต่ำกว่า 1,500 เหรียญสหรัฐที่เชื่อว่าจะเป็นราคาของ Google Glass

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 เมษายน 2556 19:03 น.

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

Google ทดสอบระบบเมนูใหม่ แรงบันดาลใจจาก Chrome OS

กูเกิล (Google) ยืนยันบริษัทกำลังทดสอบระบบเมนูใช้งานใหม่แทนแถบเมนูสีดำซึ่งยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจินเคยพยายามปรับเปลี่ยนมาก่อนหน้านี้ เบื้องต้นพบว่าเมนูดีไซน์ใหม่นี้เป็นรูปแบบเดียวกับที่กูเกิลออกแบบให้ระบบปฏิบัติการโครมโอเอส (Chrome OS) โดยใช้การจัดวางไอคอนแบบตารางเพื่อให้ผู้ใช้คลิกเปิดประตูสู่บริการอื่นของกูเกิลต่อไป
      
       การทดสอบระบบเมนูบนหน้าแรกเว็บไซต์ google.com ในครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากที่กูเกิลใช้แถบเมนูสีดำติดตั้งไว้ด้านบนเหนือสัญลักษณ์ Google สีสดมานาน 2 ปี โดยแทนที่จะเป็นแถบเมนูสีดำอย่างในปัจจุบัน กูเกิลใช้วิธีแสดงตารางสัญลักษณ์ หรือ grid icon ซึ่งถอดแบบมาจากเมนูบน Chrome OS ผู้ใช้สามารถคลิกที่ไอคอนเหล่านี้เพื่อลิงก์ไปยังบริการอย่าง Gmail, Google Maps, YouTube และบริการอื่นๆของกูเกิล
      
       รายงานระบุว่า การทดสอบรูปแบบเมนูแบบ grid icon บนหน้าแรก google.com นี้ยังเป็นการทดสอบช่วงเริ่มต้น ซึ่งในหน้าหลักของระบบปฏิบัติการโครมโอเอสก็ใช้ตารางไอคอนรูปแบบเดียวกันเป็นประตูสู่บริการเสิร์ชเช่นกัน จุดนี้ตัวแทนกูเกิลยอมรับกับสำนักข่าวซีเน็ตว่า เป็นความตั้งใจให้ผู้ใช้โครมโอเอสได้เห็นและรู้สึกถึงหน้าโฮมเพจ google.com ตลอดเวลา
      
       หากการทดสอบประสบความสำเร็จ ตารางไอคอนนี้จะถูกนำมาแทนที่แถบเมนูสีดำที่กูเกิลใช้งานมาตั้งแต่ปี 2011 ซึ่งเป็นช่วงที่กูเกิลต้องการยกระดับความสะดวกในการใช้งานบริการในเครือกูเกิลให้ดีกว่าการใช้เมนู drop-down ที่จะยืดขยายออกมาจากสัญลักษณ์กูเกิล
      
       สำหรับดีไซน์ใหม่ สื่อมวลชนต่างประเทศมองว่าการแสดงไอคอนสัญลักษณ์บริการกูเกิลในรูปตารางนี้ทำให้ภาพลักษณ์ของหน้าหลักดูสะอาดตามากขึ้น แต่ก็ยังมีความเสี่ยงว่าอาจทำให้ผู้ใช้ค้นหาบริการได้ยากขึ้น ซึ่งอาจถูกยุติการทดสอบไปได้
      
       อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าดีไซน์ใหม่ช่วยส่งเสริมผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างโครมโอเอสได้อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตกูเกิลจะลงมือเชื่อมดีไซน์ระบบปฏิบัติการของตัวเอง เข้ากับบริการอื่นอย่างแนบแน่นมากกว่าเดิมแน่นอน
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 1 มีนาคม 2556 18:01 น.

วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2556

How to PHP + IBM Informix Dynamic Server

การพัฒนา Web Application ด้วย PHP เพื่อให้สามารถติดต่อกับฐานข้อมูล IBM Informix ได้นั้น มีขั้นตอนดังต่อไปนี้

การทดสอบครั้งนี้อยู่บนพื้นฐาน

Database Server
Aix 5.3 + IDS 9

Client
Windows Vista Business 32bit [จำลองเป็น WWW Server ด้วย Appserv 2.9]

ขั้นตอนการติดตั้ง
1. Download IBM Informix Client SDK 2.9 จาก IBM และทำการติดตั้ง
2. Re-Config PHP.INI

uncomment บรรทัดดังต่อไปนี้
extension=php_ifx.dll
extension=php_pdo.dll
extension=php_pdo_informix.dll

ระบุ parameter สำหรับติดต่อไปยัง Database Server
[Informix]
; Default host for ifx_connect() (doesn't apply in safe mode).
ifx.default_host = Hostname

; Default user for ifx_connect() (doesn't apply in safe mode).
ifx.default_user = Username

; Default password for ifx_connect() (doesn't apply in safe mode).
ifx.default_password = Password



โดย File .dll สำหรับ extension ที่เปิดใช้งานนั้น ต้อง download ให้ตรงกับ version ของ php [5.2.3]
.dll สามารถหารุ่นที่ตรงกับ version ของ php ของคุณจาก pecl

เมื่อทำการแก้ไข Config เรียบร้อยแล้วให้ทำการ Re-Start Apache Service

ทดสอบรันฟังก์ชัน

phpinfo

ถ้าปรากฎรายละเอียดดังรูปภาพด้านบน แสดงว่าการติดตั้งสมบูรณ์ สามารถทำการพัฒนา Web App สำหรับ Informix ด้วย PHP ได้ [หมายเหตุ รูปภาพตัดมาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับ PHP+Informix]

ทดลองโปรแกรมแรก
Test1.PHP

// สร้างการเชื่อมต่อไปยังฐานข้อมูล
$connection = ifx_connect("DBNAME@ServerName","Username","Password");

// ทดลองติดต่อไปยัง Informix
if (!$connection) {
echo "Couldn't make a connection!";
exit;
}

// ทดลอง Query จาก Table ที่มีอยู่จริงในฐานข้อมูลที่ระบุในขั้นตอนสร้าง Connection
$sql = "SELECT * FROM TableName";

// Excute Query สำหรับผลลัพธ์
$sql_result = ifx_query($sql,$connection);
//$row = ifx_fetch_row ($sql_result);
// แสดงผลลัพธ์ในรูปแบบตารางเป็น HTML
ifx_htmltbl_result($sql_result,"border=1");

// คืนค่าตัวแปรให้กับระบบ
ifx_free_result($sql_result);
ifx_close($connection);
?>

หวังว่าข้อมูลนี้จะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยกับผู้ที่เริ่มต้นเขียน PHP + IDS ผมก็มือใหม่เหมือนกัน สำหรับ DB ตัวนี้ จึงอยากเผยแพร่ข้อมูลและประสบการณ์ หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แอปเปิลแถลงการณ์แจงประเด็นกล้องดิจิตอล “flare สีม่วง” ใน iPhone 5

หลังจากส่งจดหมายแจ้งผู้ใช้ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่ร้องเรียนปัญหา “รัศมีสีม่วง” หรือวงแสงสีม่วงไม่พึงประสงค์ในภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลของไอโฟนรุ่นล่าสุด โดยโยนว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากวิธีการถือเครื่องเพื่อถ่ายภาพของผู้ใช้เอง ไม่ใช่ปัญหาด้านเทคนิคของไอโฟน 5 ล่าสุดแอปเปิลตอกย้ำคำตอบนี้ด้วยการออกแถลงการณ์แนะนำผู้ใช้ไอโฟน 5 อย่างเป็นทางการ รวมถึงวิธีควรปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด flare หรือวงแสงในภาพจากไอโฟน 5
      
       flare คือแถบหรือแนวจุดสว่างที่ปรากฏบนภาพถ่าย สาเหตุการเกิด flare คือแสงจากแหล่งกำเนิด เช่น ดวงอาทิตย์หรือหลอดไฟฟ้า ส่องกระทบเข้าหน้าเลนส์ในมุมที่เหมาะสม แล้วสะท้อนกับผิวแก้วชิ้นเลนส์หรือวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในเลนส์ ไปตกลงบนอุปกรณ์รับภาพ เรื่องนี้ตากล้องมืออาชีพทั่วโลกรู้กันดีว่า flare สามารถบรรเทาได้ด้วยการสวมหน้ากากกันแสงหน้าเลนส์หรือฮูด (hood) ให้กล้อง ซึ่งขณะนี้ชาวออนไลน์กำลังล้อเลียนว่าผู้ใช้ iPhone 5 อาจต้องใช้ฮูดหากต้องการถ่ายภาพ
      
       ปัญหา flare สีม่วงในภาพจากกล้องไอโฟน 5 นั้นแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากไอโฟน 5 เริ่มจำหน่ายช่วงเดือนกันยายน เจ้าของเครื่องหลายรายพร้อมใจร้องเรียนว่าพบ Flare สีม่วงเกิดขึ้นในภาพถ่ายมากมาย มีการนำภาพถ่ายมุมเดียวกันของไอโฟน 4S มาเปรียบเทียบก็พบว่าไม่เป็นปัญหาใด

เรื่องนี้ตัวแทน AppleCare ศูนย์ดูแลลูกค้าหลังการขายของแอปเปิลส่งอีเมลชี้แจงผู้ใช้ที่ร้องเรียนต่อแอปเปิลเป็นลายลักษณ์อักษรว่า flare สีม่วงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติของกล้องดิจิตอลในอุปกรณ์ใดๆ โดยอ้างข้อมูลจากทีมวิศวกรแอปเปิล แนะนำให้ผู้ใช้ถือไอโฟน 5 โดยหันกล้องออกจากแหล่งกำเนิดแสงขณะถ่ายภาพ
      
       ขณะนี้แอปเปิลตอกย้ำคำตอบเดิมด้วยการออกแถลงการณ์แนะนำผู้ใช้ไอโฟน 5 อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าการหันกล้องออกจากแหล่งกำเนิดแสงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ไอโฟนทุกรุ่น รวมถึงผู้ใช้อุปกรณ์ที่ติดตั้งกล้องดิจิตอลขนาดเล็กควรทำ
      
       “กล้องดิจิตอลขนาดเล็กส่วนใหญ่ซึ่งติดตั้งในไอโฟนทุกรุ่นนั้นมีโอกาสเกิด flare เมื่อผู้ใช้ถ่ายภาพใกล้แหล่งกำเนิดแสง การเปลี่ยนตำแหน่งกล้องเพื่อให้องศาของแสงเปลี่ยนมุมไป จะช่วยลดหรือกำจัดปัญหา flare ได้”
      
       การตอบปัญหาลักษณะนี้ถือเป็นแนวทางเดียวกับหลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ไอโฟน ก่อนหน้านี้ ฟิล สคิลเลอร์ (Phil Schiller) รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของแอปเปิลเคยเป็นข่าวเมื่อครั้งส่งอีเมลตอบปัญหาไอโฟน 5 มีรอยขูดขีดและถลอกง่าย

ผู้ใช้ไอโฟน 5 สีดำหลายรายระบุว่าพบปัญหาสีดำที่เคลือบบนฝาอะลูมิเนียมของไอโฟน 5 หลุดถลอกออกจนเห็นสีเงินตามแนวขูดขีด ผู้บริหารแอปเปิลรายนี้ได้ชี้แจงว่าสินค้าอะลูมิเนียมทุกชนิดล้วนมีโอกาสเกิดรอยถลอกจนเห็นผิวสีเงินของอะลูมิเนียมเนื้อใน ดังนั้นถือเป็นเรื่องปกติของการใช้งาน
      
       อย่างไรก็ตาม คำตอบลักษณะนี้กลับทำให้รอยบาปของแอปเปิลกรณีปัญหาเสาสัญญาณในไอโฟน 4 ถูกนำมาวิจารณ์อีกครั้ง เพราะครั้งนั้นแอปเปิลยืนยันว่าผู้ใช้ถือจับเครื่องอย่างผิดวิธีเอง โดยโยนบาปว่าผู้ใช้ไม่ควรถือจับโทรศัพท์โดยนำอุ้งมือไปปิดบังบริเวณมุมขวาของเครื่อง ซึ่งจะทำให้เสาสัญญาณที่ติดตั้งในบริเวณนั้นไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ควร
      
       คำตอบในครั้งนั้นถูกวิจารณ์อย่างหนัก จนแอปเปิลต้องออกแถลงการณ์รับผิดและยอมเปลี่ยนแปลงตำแหน่งติดตั้งเสาสัญญาณในเครื่องใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ที่ถนัดทั้งซ้ายและขวาสามารถถือจับเครื่องได้ตามถนัด
      
       สำหรับความคืบหน้าของไอโฟน 5 ในช่วงก่อนหน้านี้ คือคู่แข่งสัญชาติเกาหลีอย่างซัมซุง (Samsung) แสดงท่าทีพร้อมโจมตีไอโฟน 5 โดยลงมือเพิ่มชื่อไอโฟนรุ่นล่าสุดลงในสำนวนฟ้องคดีสิทธิบัตรซึ่งซัมซุงยังมีคดีความค้างกับแอปเปิลในชั้นศาลหลายประเทศ ทั้งหมดนี้ซัมซุงระบุว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อปกป้องนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท ซึ่งคาดว่าซัมซุงอาจฟ้องร้องว่าไอโฟน 5 ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีเครือข่าย LTE

      Company Related Link :
       Apple

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ตุลาคม 2555 12:20 น.

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Nikon เปิดตัว “กล้องแอนดรอยด์”

ถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญสำหรับกล้องดิจิตอลสายพันธุ์คูลพิกซ์ (Coolpix) เพราะวันนี้ “นิคอน (Nikon)” เปิดตัวกล้อง 3 รุ่นใหม่ที่ดึงเอาความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมาเป็นแต้มต่อให้ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลกลุ่ม point-and-shoot หรือกลุ่มกล้องตัวเล็กเล็งแล้วถ่ายของนิคอนดูดีและน่าซื้อหามาใช้งานยิ่งขึ้น
      
       1 ใน 3 กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ที่ร้อนแรงที่สุด คือ Coolpix S800c มาพร้อมเทคโนโลยีประมวลผลภาพของนิคอนซึ่งฝังตัวรับสัญญาณไว-ไฟ (Wi-Fi) และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ในตัว ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือที่ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า นิคอนกำลังเร่งมือผลิตกล้องดิจิตอลระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
      
       นิคอน ยกให้ Coolpix S800c เป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบด้านการเชื่อมต่อ โดย นิคอน ระบุว่า S800c จะทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันภาพผ่านเครือข่ายสังคมได้ง่ายขึ้น ตัวกล้องใช้เซ็นเซอร์ภาพ CMOS ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เลนส์ซูม 10x สามารถบันทึกภาพความละเอียดสูง HD ได้ แถมยังมีเทคโนโลยีระบุพิกัด GPS และสามารถใช้งานแอปพลิเคชันแอนดรอยด์บางแอปได้
      
       สำหรับอีกรุ่นที่จะเป็นเรือธงในตระกูลคูลพิกซ์ คือ P7700 ความละเอียดกล้อง 12.2 ล้านพิกเซล บนเลนส์ซูม 7.1x สามารถควบคุมตั้งค่าในระบบแมนนวลได้ รองรับการบันทึกภาพความละเอียดสูง 1080p HD
      
       ยังมี S01 ที่สามารถซื้อหาได้ในราคาสบายกระเป๋ามากกว่า คุณสมบัติหลัก คือ การเป็นกล้องดิจิตอลคอมแพกต์เล็งแล้วถ่ายขนาดเล็กพิเศษ หรือ ultra-mini point-and-shoot ตัวกล้องมีน้ำหนักเพียง 3.4 ออนซ์ ตัวกล้องมีระบบปฏิบัติการที่รองรับหน้าจอทัชสกรีน เลนส์ซูม 3x ทำงานแสนสบายบนโหมดอัตโนมัติ
      
       ทั้ง 3 รุ่นจะเริ่มทำตลาดในเดือนกันยายนนี้ ตัว S800c มีราคา 349.95 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผลิตออกมา 2 สี คือ สีขาว และ ดำ (ราว 10,500 บาท) ขณะที่ P7700 มีเพียงสีดำเท่านั้นในราคา 499.95 เหรียญ (ประมาณ 15,000 บาท) โดย S01 จะมีให้เลือก 4 สี คือ เงิน ขาว แดง และ ชมพู ราคาเบื้องต้น คือ 179.95 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,400 บาท)
      
       Company Related Link :
       Nikon

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 18:20 น.

Logitech เปิดตัวแป้นพิมพ์ล้างน้ำได้ "Washable Keyboard K310"

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันแล้วว่าคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์นั้นเสี่ยงต่อการเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียหลายพันชนิด ขณะเดียวกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายคนยังกินขนมนมเนยหน้าจอจนทำให้แป้นคีย์บอร์ดมีคราบเหนียวที่เช็ดไม่ออก ทั้งหมดนี้ทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่างลอจิเทค (Logitech) ตัดสินใจเปิดตัวคีย์บอร์ดที่สามารถล้างน้ำได้ในชื่อ Washable Keyboard K310
      
       Washable Keyboard K310 นั้นเพิ่งถูกเปิดตัวเมื่อวันพุธที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา รูปแบบการจัดเรียงปุ่มพิมพ์หรือเลย์เอาท์นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดทั่วไปของลอจิเทค แต่จุดต่างคือ K310 สามารถนำไปแช่ในน้ำได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อระบบ
      
       ข้อมูลจากลอจิเทคระบุว่าผู้ใช้ K310 สามารถนำคีย์บอร์ดไปแช่ในอ่างน้ำได้ทุกส่วน โดยรองรับความลึกที่ 11 ฟุต วัสดุเคลือบคีย์บอร์ดทำให้ตัวแป้นแห้งได้เร็วขึ้น ซึ่งนอกจากการแช่น้ำ ผู้ใช้ K310 สามารถใช้ผ้าเปียกชุ่มทำความสะอาดคีย์บอร์ดได้เช่นกัน
      
       Logitech ยืนยันว่าออกแบบให้แป้นพิมพ์ล้างน้ำได้นี้เหมาะสมต่อการล้างน้ำเต็มที่ เช่น การพิมพ์ตัวอักษรบนปุ่มแป้นพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ซึ่งทำให้ตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ไม่จางหายไป ขณะเดียวกันก็ออกแบบให้โพรงด้านหลังปุ่มกดและหลังคีย์บอร์ดไม่มีสภาพขังน้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้คีย์บอร์ด K310 สามารถทำความสะอาดในน้ำได้อย่างเต็มที่
      
       ข้อมูลระบุว่า K310 รองรับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 เบื้องต้นมีกำหนดการจำหน่ายในสหรัฐฯช่วงเดือนสิงหาคมนี้ในราคา 39.99 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,200 บาท) ก่อนจะเริ่มวางตลาดที่ยุโรปช่วงเดือนตุลาคม 2012
      
       Company Related Link :
       Logitech

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 14:11 น.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Google Earth เผยที่ตั้ง "พีระมิดที่หายไป" ของอียิปต์

หากโฮวาร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีอังกฤษผู้ค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมได้ คาร์เตอร์คงสามารถค้นพบพีระมิดอื่นที่มากกว่าพีระมิดของยุวกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะล่าสุดนักวิจัยในสหรัฐฯ สามารถค้นพบฐานพีระมิดแห่งใหมที่ยังไม่เคยมีการระบุชื่อ ซึ่งเผยที่ตั้งในภาพจากบริการกูเกิลเอิร์ท (Google Earth) อย่างชัดเจน
      
       ข่าวนี้สะท้อนว่าทุกคนบนโลกสามารถค้นหาสมบัติที่หายไปของโลกได้จากบริการกูเกิลเอิร์ท บริการที่ชาวออนไลน์จะสามารถชมภาพถ่ายผ่านดาวเทียมเพื่อสำรวจโลกได้อย่างสะดวกสบายและไม่สิ้นเปลือง โดยนักวิจัยอเมริกันที่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทค้นพบตำแหน่งสถานที่ประวัติศาสตร์มีชื่อว่า "แองเจลา มิคอล (Angela Micol)" ซึ่งสื่อมวลชนยกตำแหน่งให้อย่างไม่เป็นทางการว่านักโบราณคดีผ่านดาวเทียม (satellite archaeology researcher)
      
       มิคอลนั้นอาศัยในนอร์ทแคโลไรนา แต่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทสำรวจสถานที่ที่คาดว่าจะเป็นพีระมิดที่ยังไม่เคยมีการสำรวจพบจำนวน 2 จุด โดยทั้ง 2 สถานที่นี้มีลักษณะเหมือนฐานพีระมิดโบราณไม่ผิดเพี้ยน จุดแรกคาดว่ามีฐานกว้าง 42.6 เมตรบนส่วนยอดแบนราบ เบื้องต้นคาดว่าเป็นผลจากการพังทลายที่ยอดพีระมิด นอกจากนี้ยังพบฐานหินอีก 3 กองกระจายในส่วนท้าย ซึ่งการจัดเรียงลักษณะนี้มีความคล้ายกับการจัดเรียงพีระมิดชื่อก้องโลกที่กิซา (Giza)
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าฐานหินที่พบนั้นมีโอกาสเป็นพีระมิดโบราณสูง เพราะฐานหินดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากเมือง Dimai ไปทางตะวันออกราว 2 ไมล์ เมืองดังกล่าวเป็นเมืองโบราณที่มีหลักฐานว่าก่อตั้งโดยกษัตริย์ Ptolemy II (กษัตริย์ทอเลมีที่ 2) ซึ่งขุดพบโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างจากอิฐ ดิน และหิน ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับสถานที่ปรักหักพังในเมืองโบราณในอียิปต์
      
       สถานที่ประวัติศาสตร์อีกจุดที่มีการพบบนกูเกิลเอิร์ทนั้นอยู่ห่างจากเมือง Abu Sidhum ราว 12 ไมล์ (ใกล้กับแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพีระมิดโบราณของอียิปต์ส่วนใหญ่) ลักษณะที่พบคือฐานหิน 4 จุดซึ่งมียอดเป็นรูปสามเหลี่ยม โดย 2 ฐานมีขนาดใหญ่ 76.2 ฟุต ขณะที่อีก 2 ฐานมีขนาดเล็กกว่าราว 30.48 ฟุต ทั้ง 4 ฐานหินถูกจัดวางในลักษณะเดียวกับพีระมิดเช่นกัน
      
       กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นการตอกย้ำว่ากูเกิลเอิร์ทนั้นเป็นเครื่องมือในการสำรวจโลกที่ทำได้ง่ายและได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก ซึ่งในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านพีระมิดและอารยธรรมอียิปต์โบราณอย่าง Nabil Selim แสดงความเชื่อมั่นว่าฐานหินที่พบอาจจะเป็นพีระมิดโบราณจริง เพราะสถานที่เก็บซ่อนอารยธรรมอียิปต์โบราณอาจจะมีมากมาย และที่มีการสำรวจพบแล้วอาจจะมีจำนวนไม่ถึง 1%
      
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทคโนโลยีท่องโลกแบบเสมือนสามารถทำให้โลกค้นพบสมบัติที่หายไปในอียิปต์ โดยปีที่ผ่านมาศาสตราจารย์ด้านอียิปต์และอาหรับอย่างซาราห์ พาร์คาก (Sarah Parcak) ประกาศว่าเธอได้ค้นพบพีระมิด 17 แห่ง แหล่งชุมชนโบราณ 3,100 แห่ง และสุสานมากกว่า 1,000 จุด เพราะความช่วยเหลือจากภาพถ่ายอินฟราเรดผ่านดาวเทียม
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 15:55 น.

เปิดแผนปรับโครงสร้าง “โมโตโรล่า” ใต้ชายคากูเกิล

กูเกิล (Google) เผยแผนปรับโครงสร้างหลังฮุบกิจการธุรกิจผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโมโตโรล่า “โมโตโรล่าโมบิลิตี (Motorola Mobility)” ว่าจะเลิกจ้างพนักงานราว 4,000 ตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วน 20% ของพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตี
      
       การเปิดเผยแผนลอยแพพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกูเกิลสามารถควบคุมกิจการพัฒนาโทรศัพท์มือถือของยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารสัญชาติอเมริกันอย่างเต็มตัวเพียง 3 เดือน โดยกูเกิลเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทุกองค์กรอย่างเป็นทางการให้สามารถเข้าซื้อกิจการโมโตโรล่าโมบิลิตีด้วยมูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากบรรลุข้อเสนอซื้อกิจการตั้งแต่สิงหาคม 2011 พร้อมกับพนักงานในธุรกิจนี้ทั้งหมด 20,000 คน
      
       ไม่เพียงลอยแพพนักงาน กูเกิลยังมีแผนปิดสำนักงานโมโตโรล่ามากกว่า 30 แห่งด้วย ซึ่งทั้งหมดปรากฏในเอกสาร Form 8-K ที่กูเกิลต้องยื่นต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ U.S. Securities and Exchange Commission (SEC) ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าเอกสารลงวันที่ชี้แจง 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะนำออกเผยแพร่วันที่ 13 สิงหาคมตามเวลาสหรัฐฯ
      
       “2 ใน 3 ของการลดจำนวนพนักงานจะเกิดขึ้นในพื้นที่นอกสหรัฐอเมริกา” เอกสารระบุ “นอกจากนี้ โมโตโรล่ายังวางแผนปิดสำนักงาน 1 ใน 3 ของสำนักงานที่โมโตโรล่ามีทั้งหมด 90 แห่งในขณะนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าโทรศัพท์มือถือ จากฟีเจอร์โฟนทั่วไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีใหม่และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น”
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่กูเกิลเตรียมไว้เพื่อกู้วิกฤตขาดทุนให้โมโตโรล่าโมบิลิตี โดยก่อนหน้านี้โมโตโรล่าโมบิลิตีประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง 14-16 ไตรมาสที่ผ่านมา จุดนี้กูเกิลแสดงความมั่นใจในเอกสารว่านักลงทุนจะได้เห็นปัจจัยมากมายที่สะท้อนว่าโมโตโรล่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายไตรมาส โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่ายที่ส่งผลกระทบต่อรายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้กูเกิลมองว่าการลดค่าใช้จ่ายจะเป็นหลักสำคัญในการฟื้นฟูโมโตโรล่า

เอกสารยังระบุว่า โมโตโรล่าเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความลำบากแก่พนักงานเพียงไร จึงพร้อมช่วยเหลือให้พนักงานสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปให้ได้ โดยจะเสนอทางเลือกหลากหลายให้พนักงานที่จะถูกเลิกจ้าง รวมถึงจะมีการประสานงานเพื่อให้พนักงานสามารถหางานใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คาดว่าจะเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาส 3 ของปีนี้ไม่เกิน 275 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
       นอกจากการปรับลดพนักงาน กูเกิลยังลดจำนวนผู้บริหารในตำแหน่งรองประธาน (vice president) ลง 40% จุดนี้เป็นข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กนิวส์ซึ่งไม่มีรายงานเพิ่มเติมในขณะนี้
      
       เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กูเกิลเปิดเผยรายงานผลประกอบการครั้งแรกหลังจากบริษัทสามารถควบรวมกิจการกับโมโตโรล่าโมบิลิตีอย่างเป็นทางการ ระบุว่ารายได้ตลอดเดือนเมษายน-มิถุนายน 2012 โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำเงินได้ราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% จาก 9.03 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาสเดียวกันของปี 2011
      
       ตัวเลขรายได้รวม 1.2 หมื่นล้านเหรียญยังคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2012) ซึ่งกูเกิลให้ข้อมูลว่ามีรายได้ราว 1.06 หมื่นล้านเหรียญเท่านั้น โดยเมื่อคำนวณเป็นกำไร โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำกำไรได้ 2.79 พันล้านเหรียญในไตรมาส 2 ปี 2012 ที่ผ่านมา สูงกว่า 2.51 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2011
      
       ข่าวการลอยแพพนักงานโมโตโรล่านี้เกิดขึ้นหลังผู้บริหารกูเกิลออกมายืนยันว่าจะไม่มีการควบรวมกิจการอย่างเต็มรูปแบบระหว่างกูเกิลกับโมโตโรล่าโมบิลิตี โดยแพทริค พิเชตต์ (Patrick Pichette) ประธานฝ่ายการเงินของกูเกิล ให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ว่ากูเกิลจะปล่อยให้โมโตโรล่าโมบิลิตีดำเนินธุรกิจโดยแยกจากธุรกิจหลักของกูเกิลอย่างชัดเจน ถือเป็นคำยืนยันที่ทำให้พันธมิตรผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) เบาใจได้ว่า กูเกิลจะไม่ลงไปแข่งขันด้วยชื่อของกูเกิลในตลาดสมาร์ทโฟน
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 13:24 น.