อินเทลกระทุ้งภาครัฐ-กทช.เดินหน้าไลเซนส์ไวแมกซ์ให้ทันภายในปีนี้ ชี้ประโยชน์ที่ได้จากการประมูลทำให้มีเม็ดเงินเข้าภาครัฐ 284 ล้านเหรียญ แต่หากยังไม่มีการเปิดให้ใบอนุญาตภายในปีนี้จะส่งผลเสียต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศกว่า 5,106 ล้านเหรียญ พร้อมแนะรูปแบบไลเซนส์ที่ควรเป็นจากประสบการณ์ผู้ให้บริการทั่วโลก
นายปีเตอร์ พิทช์ ผู้อำนวยการด้านนโยบายการสื่อสาร บริษัท อินเทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งเป็นผู้ที่มีประสบการณ์เกี่ยวกับการกำหนดสเปกตรัมและนโนบายด้านการสื่อสารเคยดำรงตำแหน่งสำคัญในคณะกรรมาธิการการสื่อสารแห่งชาติ (Federal Communications Commission) หรือ FCC ของประเทศสหรัฐอเมริกาแสดงความคิดเห็นว่า ประเทศไทยยังล้าหลังในเรื่องการให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง หรือบรอดแบนด์ ส่งผลให้เสียเปรียบหลายประเทศที่มีการพัฒนาด้านนี้ไปแล้วอย่างมาก โดยยกตัวอย่างของประเทศที่มีการให้บริการบรอดแบนด์ที่เพิ่มขึ้น 7% จะส่งผลให้เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้น 2.4 ล้านคนและมีรายได้เพิ่มขึ้น 92 พันล้านเหรียญสหรัฐ
ผู้บริหารอินเทลกล่าวว่า หากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติหรือ กทช.วางนโยบายในการกำหนดรูปแบบการออกใบอนุญาตไวแมกซ์ แบบประมูล บนคลื่นความถี่ 2.3 กิกะเฮิรตซ์ จะทำให้มีเม็ดเงินเข้าภาครัฐ 284 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะเดียวกัน หากยังไม่มีการเปิดให้ใบอนุญาตภายในปีนี้จะส่งผลเสียต่อมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศประมาณ 5,106 ล้านเหรียญ
“หากเราปล่อยให้ช้าไปกว่านี้อีก3ปีก็จะยิ่งทำให้ประมาณการรายได้ที่ได้จากการประมูลลดลงไปประมาณ 25% รวมทั้งสูญเสียรายได้ทางเศรษฐกิจไปอีก 25% เช่นกัน”
ในส่วนของการออกใบอนุญาตจากประสบการณ์ของผู้บริหารอินเทลนำเสนอว่า ควรเป็นไลเซนส์ที่ทำให้สามารถเปิดบริการได้ทั่วประเทศจะดีกว่าให้บริการได้เฉพาะภาคใดภาคหนึ่งของประเทศเพื่อมิให้เกิดปัญหาการโรมมิ่งของผู้ได้ไลเซนส์แต่ละรายในภายหลัง อีกทั้งโอเปอเรเตอร์อาจไม่มีแรงจูงใจในการอยากลงทุนหากได้ทำแค่ระดับภูมิภาคแทนที่จะเปิดให้บริการได้ทั่วประเทศ รวมทั้งการกำหนดกรอบไลเซนส์ควรเป็นโครงกว้างๆ และมีความยืดหยุ่นให้ผู้ให้บริการสามารถขยายการให้บริการเมื่อมีเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาบนไลเซนส์เดิมที่ได้
“จากผลการสำรวจผู้ให้บริการในประเทศบราซิลพบว่า การอนุมัติช่องสัญญาณที่กว้างขึ้นจะทำให้จุดคุ้มทุนของการลงทุนของโอเปอเรเตอร์เร็วขึ้น เช่น ในช่วงความถี่ที่กว้าง 10 เมกะเฮิรตซ์ระยะเวลาคุ้มทุนจะอยู่ที่ 10 ปี , ที่ 20 เมกะเฮิรตซ์ จุดคุ้มทุนจะอยู่ที่ 8 ปี และ30 เมกะเฮิรตซ์จะอยู่ที่ 6 ปี และช่วงกว้างของความถี่ที่เหมาะสมไม่ควรอยู่ต่ำกว่า 30 เมกะเฮิรตซ์ ซึ่งเป็นระดับที่ทั่วโลกใช้กันอยู่ในปัจจุบัน”
ล่าสุด ทางอินเทลได้เข้านำเสนอข้อมูลเหล่านี้ต่อทางกทช.แล้วเพื่อให้รับทราบแนวทางที่เหมาะสม
Company Related Links : Intel
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์30 มีนาคม 2552 11:05 น.
วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2552
วันพุธที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2552
กูเกิลจุดพลุเสิร์ชอัจฉริยะ ไม่อิงตามอักษรแต่อิงตามคำที่สัมพันธ์กัน
กูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นเริ่มให้บริการค้นหาข้อมูลอัจฉริยะหรือ Semantic Search แล้ว ปรับให้เอนจิ้นของกูเกิลเข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างคำได้ แถมเพิ่มจำนวนบรรทัดแสดงตัวอย่างบทความในลิงก์ที่พบ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้ทราบรายละเอียดในแต่ละลิงก์ให้มากขึ้นก่อนตัดสินใจคลิก
ผลของการปรับปรุงครั้งนี้ คือผู้ใช้กูเกิลจะสามารถพบข้อมูลอื่นที่เป็นเรื่องเดียวกับคีย์เวิร์ดแม้จะเป็นคำคนละคำกัน เช่น หากสืบค้นด้วยคีย์เวิร์ด "principles of physics (หลักการฟิสิกซ์)" กูเกิลจะโชว์ลิงก์ที่มีคำว่า "BigBang (การระเบิดครั้งใหญ่)" หรือ "Special Relativity (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ)" ให้ด้วยเพราะเชื่อว่าลิงก์ที่มีคำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สืบค้น ต่างจากอดีตที่จะแสดงลิงก์เพจที่มีคำตรงกับคีย์เวิร์ดเท่านั้น
Semantic Search เป็นคำที่ชาวไอทีใช้เรียกความสามารถในการสืบค้นตามแนวคิดหรือความสัมพันธ์ ไม่ใช่การสืบค้นเพื่อหาเว็บเพจที่มีตัวอักษรตรงกับคีย์เวิร์ดเช่นในอดีต แต่เป็นการสืบค้นเว็บเพจที่มีคำซึ่งสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ด แน่นอนว่าบริษัทเสิร์ชเอนจิ้นทั่วโลกมีเป้าหมายพัฒนาให้เอนจิ้นของตัวเองสามารถทำ Semantic Search ได้ และกูเกิลเป็นรายล่าสุดที่เริ่มนำมาให้บริการจริงแล้วในขณะนี้
ตามบทความที่หัวหน้าทีมเทคนิคเพื่อพัฒนาคุณภาพการสืบค้นของกูเกิลนาม Ori Allon เขียนในเว็บล็อกกูเกิลเกี่ยวกับการปรับปรุงครั้งนี้ ไม่มีการใช้คำว่า Semantic Search แต่ระบุว่าเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพื่อให้ระบบของกูเกิลเข้าใจความต้องการและแนวคิดที่ผู้ใช้ต้องการสืบค้นได้ดีขึ้น
นอกจาก Semantic Search กูเกิลยังเพิ่มบรรทัดแสดงคำอธิบายลิงก์ผลการเสิร์ชเป็น 4 บรรทัด จากเดิมที่เคยแสดงเป็น 2 บรรทัด โดยจำนวนบรรทัดที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ผู้ใช้ทราบรายละเอียดในแต่ละลิงก์ได้มากขึ้นก่อนตัดสินใจคลิก และยังทำให้ผู้ใช้สามารถใส่คีย์เวิร์ดสำหรับสืบค้นได้มากเท่าที่ต้องการ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนภาพความน่าสนใจใน semantic search ที่ขยายวงกว้างยิ่งขึ้น โดยกูเกิลให้บริการ Semantic Search รองรับ 37 ภาษา (ไม่มีภาษาไทย) ได้แก่ภาษารัสเซีย ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของกูเกิลถือว่าช้ากว่ารายอื่น โดยเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Ask.com นั้นเริ่มเปิดให้บริการ semantic search ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่คู่แข่งอย่างไมโครซอฟท์ออกมายืนยันว่ากำลังทดสอบ Kumo.com ที่เป็นเอนจิ้น semantic search ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถได้รับความนิยมจากตลาดได้มากกว่า Live Search ที่ไมโครซอฟท์ให้บริการอยู่ในขณะนี้
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มีนาคม 2552 18:12 น.
ผลของการปรับปรุงครั้งนี้ คือผู้ใช้กูเกิลจะสามารถพบข้อมูลอื่นที่เป็นเรื่องเดียวกับคีย์เวิร์ดแม้จะเป็นคำคนละคำกัน เช่น หากสืบค้นด้วยคีย์เวิร์ด "principles of physics (หลักการฟิสิกซ์)" กูเกิลจะโชว์ลิงก์ที่มีคำว่า "BigBang (การระเบิดครั้งใหญ่)" หรือ "Special Relativity (ทฤษฎีสัมพัทธภาพพิเศษ)" ให้ด้วยเพราะเชื่อว่าลิงก์ที่มีคำเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ต่อผู้สืบค้น ต่างจากอดีตที่จะแสดงลิงก์เพจที่มีคำตรงกับคีย์เวิร์ดเท่านั้น
Semantic Search เป็นคำที่ชาวไอทีใช้เรียกความสามารถในการสืบค้นตามแนวคิดหรือความสัมพันธ์ ไม่ใช่การสืบค้นเพื่อหาเว็บเพจที่มีตัวอักษรตรงกับคีย์เวิร์ดเช่นในอดีต แต่เป็นการสืบค้นเว็บเพจที่มีคำซึ่งสัมพันธ์กับคีย์เวิร์ด แน่นอนว่าบริษัทเสิร์ชเอนจิ้นทั่วโลกมีเป้าหมายพัฒนาให้เอนจิ้นของตัวเองสามารถทำ Semantic Search ได้ และกูเกิลเป็นรายล่าสุดที่เริ่มนำมาให้บริการจริงแล้วในขณะนี้
ตามบทความที่หัวหน้าทีมเทคนิคเพื่อพัฒนาคุณภาพการสืบค้นของกูเกิลนาม Ori Allon เขียนในเว็บล็อกกูเกิลเกี่ยวกับการปรับปรุงครั้งนี้ ไม่มีการใช้คำว่า Semantic Search แต่ระบุว่าเป็นการนำเทคโนโลยีใหม่มาใช้เพื่อให้ระบบของกูเกิลเข้าใจความต้องการและแนวคิดที่ผู้ใช้ต้องการสืบค้นได้ดีขึ้น
นอกจาก Semantic Search กูเกิลยังเพิ่มบรรทัดแสดงคำอธิบายลิงก์ผลการเสิร์ชเป็น 4 บรรทัด จากเดิมที่เคยแสดงเป็น 2 บรรทัด โดยจำนวนบรรทัดที่เพิ่มขึ้นช่วยให้ผู้ใช้ทราบรายละเอียดในแต่ละลิงก์ได้มากขึ้นก่อนตัดสินใจคลิก และยังทำให้ผู้ใช้สามารถใส่คีย์เวิร์ดสำหรับสืบค้นได้มากเท่าที่ต้องการ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการสะท้อนภาพความน่าสนใจใน semantic search ที่ขยายวงกว้างยิ่งขึ้น โดยกูเกิลให้บริการ Semantic Search รองรับ 37 ภาษา (ไม่มีภาษาไทย) ได้แก่ภาษารัสเซีย ภาษาอิตาลี ภาษาอังกฤษ เป็นต้น
ความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของกูเกิลถือว่าช้ากว่ารายอื่น โดยเสิร์ชเอนจิ้นอย่าง Ask.com นั้นเริ่มเปิดให้บริการ semantic search ไปตั้งแต่ปีที่แล้ว ขณะที่คู่แข่งอย่างไมโครซอฟท์ออกมายืนยันว่ากำลังทดสอบ Kumo.com ที่เป็นเอนจิ้น semantic search ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถได้รับความนิยมจากตลาดได้มากกว่า Live Search ที่ไมโครซอฟท์ให้บริการอยู่ในขณะนี้
ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 มีนาคม 2552 18:12 น.
วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2552
20 ขวบ"เวิลด์ไวด์เว็บ" ผู้ก่อตั้งหวั่นเรื่องสอดแนมมากที่สุด
"ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี" ผู้ให้กำเนิดแนวคิด www หรือเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) กล่าวในงานฉลองครบรอบ 20 ปี www เมื่อวันที่ 13 มี.ค. 52 ณ โกลบ ออฟ ไซน์ แอนด์ อินโนเวชั่น (Globe of Science and Innovation) ที่เซิร์น สวิตเซอร์แลนด์ ว่านักท่องอินเทอร์เน็ตทุกคนกำลังมีความเสี่ยงในการถูกรัฐบาลและองค์กรทั่ว ไปติดตามสอดแนมประวัติการใช้งานเว็บไซต์มากขึ้น ระบุว่านี่คือเรื่องสำคัญที่นักท่องเน็ตทุกคนควรหลีกเลี่ยง ไม่ได้พูดถึงองค์กรใดเป็นพิเศษแต่หลายเสียงมองว่าสิ่งที่เบอร์เนอร์ส-ลีพูด พาดพิงถึงกูเกิล
ในงานฉลอง 20 ปี www ที่องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ หรือเซิร์น (European Center for Nuclear Research: CERN) จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) ประธานองค์กรความร่วมมือเวิลด์ไวด์เว็บหรือ World Wide Web Consortium (W3C) แสดงความกังวลในเทคโนโลยีระบบการทำงานใหม่ซึ่งถูกพัฒนาให้สามารถบอกราย ละเอียดกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อสร้างเป็นประวัติส่วนตัวของผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ เท่ากับการรุกรานข้อมูลส่วนตัวที่วิ่งบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เบอร์เนอร์ส-ลีกังวลมากที่สุดในฐานะผู้ก่อตั้งเส้นทางอิน เทอร์เน็ตอย่าง www
"การสอดแนมลักษณะนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยง" ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษกล่าว โดยบอกว่าหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของโลกอินเทอร์เน็ตคือการสร้าง ความมั่นใจว่า ข้อมูลบนโลกออนไลน์นั้นถูกนำไปใช้ตามจุดประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลยินยอมและ สมัครใจ แม้ไม่ได้ระบุชื่อกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่บริษัทโฆษณาออนไลน์สัญชาติอเมริกัน แต่หลายคนอดไม่ได้ที่จะนำสิ่งที่เบอร์เนอร์ส-ลีพูดถึง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระบบการทำงานใหม่ที่เขาระบุว่าสามารถตัดสินใจว่าใครควรจะ ชมคอนเทนท์ใดบนเว็บได้อย่างง่ายดาย มาเชื่อมโยงกับระบบโฆษณาใหม่ของกูเกิล โดยกูเกิลนั้นเพิ่งเริ่มทดสอบระบบโฆษณาใหม่ในชื่อ "interest-based advertising" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เป็นระบบโฆษณาที่ถูกออกแบบมาให้สามารถบันทึกประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ต ของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อประมวลออกมาเป็นข้อมูลความสนใจ สำหรับนำไปใช้ในการเลือกโฆษณาที่เหมาะสมกับผู้ใช้รายนั้นๆ
นอกจากระบบอัตโนมัติ เบอร์เนอร์ส-ลียังพูดถึงความนิยมในการใช้แอปพลิเคชันฟรีบนอินเทอร์เน็ตหรือ คลาวด์เซอร์วิส (cloud service) ที่เพิ่มมากขึ้น ว่ายิ่งทำให้ข้อมูลส่วนตัวที่เก็บบนอินเทอร์เน็ตมีโอกาสรั่วไหลยิ่งขึ้น จุดนี้เบอร์เนอร์ส-ลีย้ำว่าภาครัฐควรเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลโลกออ นไลน์เพื่อป้องกันการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด ท่ามกลางเทคโนโลยีบนโลก www ที่เบอร์เนอร์ส-ลีเชื่อว่าจะมีการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้นอีก
" การพัฒนาเว็บนั้นยังไม่สิ้นสุด ผมมั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ที่จะเขย่าโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ก่อน" เบอร์เนอร์-ลีเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นคือการเชื่อมโยงข้อมูลแบบใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละบิตได้เอง ไม่ใช่การวิเคราะห์เว็บเพจที่ถูกเปิดใช้งานอย่างที่เป็นในปัจจุบัน
เบอร์เนอร์ส-ลีอธิบายว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคตคือผู้ใช้จะสามารถเชื่อมข้อมูล ที่มีลักษณะคล้ายกันเพื่อนำไปคำนวณหรือจัดวางสำหรับวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ ได้แบบทันทีทันใด นักเรียนนักศึกษาจะสามารถดึงข้อมูลจากสถาบันวิจัย ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ และนักลงทุนสามารถนำข้อมูลในเอกสารประชาสัมพันธ์มาพล็อตเป็นกราฟได้อย่างมี ประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม
พัฒนาการเหล่านี้เบอร์เนอร์ส-ลีเรียกว่า Semantic Web หากแปลตรงตัว Semantic จะมีความหมายว่าการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ และเป็นคำที่บริษัทไอทีมากมายเชื่อว่านี่คือทิศทางของโลก Web 3.0 ในอนาคต
เบอร์ เนอร์ส-ลีเชื่อว่า อนาคตของโลกเวิลด์ไวด์เว็บจะอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันเบราว์เซอร์บนโทรศัพท์มือถือนั้นมีจำนวนให้เลือกใช้งานมากกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้ว "นี่คือสิ่งที่จะน่าตื่นเต้นมากในประเทศกำลังพัฒนา เพราะโทรศัพท์มือถือคือเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้ประชากรจำนวนมากสามารถเข้า ถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง"
จุด กำเนิดของ www ถูกบันทึกว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อเบอร์เนอร์ส-ลีเขียนโครงการส่งหัวหน้าหน่วย วิจัย CERN ในเดือนมีนาคม 1989 เป็นโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยใช้ระบบ ไฮเปอร์เท็กซ์ ก่อนจะเริ่มทดสอบโปรแกรมต้นแบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อรันบนคอมพิวเตอร์ NeXT ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ OS X Macintosh ของแอปเปิล
ปีต่อมา เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เวลา 2 เดือนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งสามารถเปิดให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้ชื่อเรียกเครือข่ายนี้ว่า World Wide Web ชื่อเครือข่ายใยแมงมุมทั่วโลกดังกล่าวเป็นที่รู้จักในวงกว้างช่วงปี 1991 และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจากหน่วยงานบริษัทไอที จนแพร่หลายไปในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆเช่นในปัจจุบัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2552
ในงานฉลอง 20 ปี www ที่องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในทวีปยุโรปเพื่อวิจัยและพัฒนานิวเคลียร์ หรือเซิร์น (European Center for Nuclear Research: CERN) จัดขึ้นที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ทิม เบอร์เนอร์ส-ลี (Tim Berners-Lee) ประธานองค์กรความร่วมมือเวิลด์ไวด์เว็บหรือ World Wide Web Consortium (W3C) แสดงความกังวลในเทคโนโลยีระบบการทำงานใหม่ซึ่งถูกพัฒนาให้สามารถบอกราย ละเอียดกิจกรรมออนไลน์ของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อสร้างเป็นประวัติส่วนตัวของผู้ใช้ได้โดยอัตโนมัติ เท่ากับการรุกรานข้อมูลส่วนตัวที่วิ่งบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ตเช่นนี้ เป็นหนึ่งในสิ่งที่เบอร์เนอร์ส-ลีกังวลมากที่สุดในฐานะผู้ก่อตั้งเส้นทางอิน เทอร์เน็ตอย่าง www
"การสอดแนมลักษณะนี้เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องหลีกเลี่ยง" ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ชาวอังกฤษกล่าว โดยบอกว่าหนึ่งในความท้าทายที่สำคัญที่สุดของโลกอินเทอร์เน็ตคือการสร้าง ความมั่นใจว่า ข้อมูลบนโลกออนไลน์นั้นถูกนำไปใช้ตามจุดประสงค์ที่เจ้าของข้อมูลยินยอมและ สมัครใจ แม้ไม่ได้ระบุชื่อกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่บริษัทโฆษณาออนไลน์สัญชาติอเมริกัน แต่หลายคนอดไม่ได้ที่จะนำสิ่งที่เบอร์เนอร์ส-ลีพูดถึง ซึ่งเป็นเทคโนโลยีระบบการทำงานใหม่ที่เขาระบุว่าสามารถตัดสินใจว่าใครควรจะ ชมคอนเทนท์ใดบนเว็บได้อย่างง่ายดาย มาเชื่อมโยงกับระบบโฆษณาใหม่ของกูเกิล โดยกูเกิลนั้นเพิ่งเริ่มทดสอบระบบโฆษณาใหม่ในชื่อ "interest-based advertising" เมื่อวันพุธที่ผ่านมา เป็นระบบโฆษณาที่ถูกออกแบบมาให้สามารถบันทึกประวัติการใช้งานอินเทอร์เน็ต ของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อประมวลออกมาเป็นข้อมูลความสนใจ สำหรับนำไปใช้ในการเลือกโฆษณาที่เหมาะสมกับผู้ใช้รายนั้นๆ
นอกจากระบบอัตโนมัติ เบอร์เนอร์ส-ลียังพูดถึงความนิยมในการใช้แอปพลิเคชันฟรีบนอินเทอร์เน็ตหรือ คลาวด์เซอร์วิส (cloud service) ที่เพิ่มมากขึ้น ว่ายิ่งทำให้ข้อมูลส่วนตัวที่เก็บบนอินเทอร์เน็ตมีโอกาสรั่วไหลยิ่งขึ้น จุดนี้เบอร์เนอร์ส-ลีย้ำว่าภาครัฐควรเข้ามามีส่วนร่วมในการสอดส่องดูแลโลกออ นไลน์เพื่อป้องกันการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ในทางที่ผิด ท่ามกลางเทคโนโลยีบนโลก www ที่เบอร์เนอร์ส-ลีเชื่อว่าจะมีการพัฒนาที่รวดเร็วขึ้นอีก
" การพัฒนาเว็บนั้นยังไม่สิ้นสุด ผมมั่นใจว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหม่ที่จะเขย่าโลกอย่างที่ไม่เคยเป็นมา ก่อน" เบอร์เนอร์-ลีเชื่อว่าความเปลี่ยนแปลงนั้นคือการเชื่อมโยงข้อมูลแบบใหม่ ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อระบบคอมพิวเตอร์สามารถวิเคราะห์ข้อมูลในแต่ละบิตได้เอง ไม่ใช่การวิเคราะห์เว็บเพจที่ถูกเปิดใช้งานอย่างที่เป็นในปัจจุบัน
เบอร์เนอร์ส-ลีอธิบายว่า สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกอินเทอร์เน็ตในอนาคตคือผู้ใช้จะสามารถเชื่อมข้อมูล ที่มีลักษณะคล้ายกันเพื่อนำไปคำนวณหรือจัดวางสำหรับวิเคราะห์และใช้ประโยชน์ ได้แบบทันทีทันใด นักเรียนนักศึกษาจะสามารถดึงข้อมูลจากสถาบันวิจัย ประชาชนทั่วไปสามารถเข้าถึงข้อมูลภาครัฐ และนักลงทุนสามารถนำข้อมูลในเอกสารประชาสัมพันธ์มาพล็อตเป็นกราฟได้อย่างมี ประสิทธิภาพเหนือกว่าเดิม
พัฒนาการเหล่านี้เบอร์เนอร์ส-ลีเรียกว่า Semantic Web หากแปลตรงตัว Semantic จะมีความหมายว่าการศึกษาเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงความหมายของคำหรือสัญลักษณ์ และเป็นคำที่บริษัทไอทีมากมายเชื่อว่านี่คือทิศทางของโลก Web 3.0 ในอนาคต
เบอร์ เนอร์ส-ลีเชื่อว่า อนาคตของโลกเวิลด์ไวด์เว็บจะอยู่บนโทรศัพท์มือถือ ซึ่งปัจจุบันเบราว์เซอร์บนโทรศัพท์มือถือนั้นมีจำนวนให้เลือกใช้งานมากกว่า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กแล้ว "นี่คือสิ่งที่จะน่าตื่นเต้นมากในประเทศกำลังพัฒนา เพราะโทรศัพท์มือถือคือเป็นช่องทางเดียวที่ทำให้ประชากรจำนวนมากสามารถเข้า ถึงอินเทอร์เน็ตอย่างทั่วถึง"
จุด กำเนิดของ www ถูกบันทึกว่าเริ่มต้นขึ้นเมื่อเบอร์เนอร์ส-ลีเขียนโครงการส่งหัวหน้าหน่วย วิจัย CERN ในเดือนมีนาคม 1989 เป็นโครงการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ในทวีปยุโรป โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ CERN ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางนิวเคลียร์ฟิสิกส์ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์โดยใช้ระบบ ไฮเปอร์เท็กซ์ ก่อนจะเริ่มทดสอบโปรแกรมต้นแบบที่พัฒนาขึ้นเพื่อรันบนคอมพิวเตอร์ NeXT ซึ่งเป็นพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ OS X Macintosh ของแอปเปิล
ปีต่อมา เบอร์เนอร์ส-ลีใช้เวลา 2 เดือนในการพัฒนาซอฟต์แวร์ซึ่งสามารถเปิดให้ผู้ใช้แบ่งปันข้อมูลระหว่างกัน ผ่านเครือข่ายอินเทอร์เน็ตโดยใช้ชื่อเรียกเครือข่ายนี้ว่า World Wide Web ชื่อเครือข่ายใยแมงมุมทั่วโลกดังกล่าวเป็นที่รู้จักในวงกว้างช่วงปี 1991 และได้รับการพัฒนาเรื่อยมาจากหน่วยงานบริษัทไอที จนแพร่หลายไปในวงกว้างขึ้นเรื่อยๆเช่นในปัจจุบัน
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 มีนาคม 2552
ซิสโก้พร้อมขายเซิร์ฟเวอร์
ซิสโก้ซิสเต็มส์ (Cisco Systems) เตรียมท้าทายอดีตพันธมิตรซี้ย่ำปึ้กอย่างเอชพี (Hewlett-Packard) และไอบีเอ็ม (IBM) ด้วยการประกาศพร้อมเปิดสายการผลิตคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์แบรนด์ตัวเอง เสริมแกร่งระบบประมวลผลข้อมูลไร้รอยต่อหรือ Unified Computing System (UCS) ของซิสโก้ให้ครบวงจร หลังจากครองเฉพาะตลาดเครือข่ายข้อมูลอย่างเดียวมานาน
จอห์น ชามเบอร์ส (John Chambers) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซิสโกเป็นผู้ประกาศรายละเอียดแผนการเข้าสู่สังเวียน เซิร์ฟเวอร์ ว่าการสร้างเบลดเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองของซิสโก้ในครั้งนี้คือส่วนหนึ่งของ การพัฒนาระบบประมวลผลหนึ่งเดียวหรือ UCS ของค่าย ซึ่งจะจำหน่ายเป็นแพคเก็จบนจุดประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบศูนย์กลางข้อมูลหรือ แพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ยุคหน้า ที่องค์กรจะสามารถใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง
" เรามีความสนใจน้อยมากในตลาดผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ แต่เราเดินตามรอยความคิดที่ว่า จะทำอย่างไรให้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวได้" สอดคล้องกับที่มาริโอ มาซโซลา (Mario Mazzola) รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจเวอร์ซวลไลเซชันและเซอร์ฟเวอร์ของซิสโก้ ระบุว่าเพราะซิสโก้ต้องการสร้างระบบการทำงานเสมือนแบบครบวงจร ซิสโก้จึงตัดสินใจสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองขึ้นมา
ที่ผ่านมา ซิสโก้นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายข้อมูลคอมพิวเตอร์ เช่น เราเตอร์ และสวิตช์ สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร ซึ่งในขณะนี้ ซิสโก้ได้ร่วมมือกับบริษัทซอฟต์แวร์อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft), แอคเซนเจอร์ (Accenture), วีเอ็มแวร์ (VMware), บีเอ็มซีซอฟต์แวร์ (BMC Software) และอีเอ็มซี (EMC) แล้ว เพื่อดำเนินตามนโยบาย UCS ให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบเสมือน
ซิ สโก้ไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มทำตลาดชุดระบบ UCS พร้อมเซิร์ฟเวอร์เมื่อใด แต่คุยฟุ้งว่าระบบการทำงานเสมือนในชุดแพคเก็จ UCS ครบวงจรของซิสโก้นั้นช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานศูนย์กลางข้อมูลลงราว 20 เปอร์เซ็นต์ และลดต้นทุนด้านการปฏิบัติการอีกราว 30 เปอร์เซ็นต์ จะมาในรูปเบลดหรือเซิร์ฟเวอร์ตัวบางที่ใช้ชิปอินเทล ซึ่งเอชพีครองตลาดเบอร์หนึ่ง และไอบีเอ็มครองตลาดเบอร์สอง
แม้ซีอีโอซิสโก้จะให้สัมภาษณ์ต่อวอลล์สตรีทเจอร์นอลว่า ซิสโก้ไม่ได้หวังผลิตคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์มาแข่งขันกับเอชพีหรือไอบีเอ็ม แต่สื่อต่างประเทศเชื่อว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจะทำให้ซิสโก้และเอชพี จะเป็นทั้งมิตรและศัตรูในคราวเดียวกัน เนื่องจากเอชพีเองก็เริ่มไม่ได้ผลิตเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ แต่ได้พัฒนาอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อสร้างระบบ UCS แบบครบวงจรของตัวเองแล้วเช่นกันในชื่อ Adaptive Infrastructure
ชามเบอร์สกล่าวด้วยว่าความเคลื่อนไหวเรื่องผลิตภัณฑ์ระบบ UCS ครบชุดนี้คือก้าวสำคัญที่สุดของซิสโก้นับตั้งแต่ซิสโก้เริ่มพ่วงผลิตภัณฑ์ สวิตช์ลงในเราเตอร์ หลังจากบริษัทตัดสินใจควบรวมบริษัท Crescendo Communications ในปี 1993 เนื่องจากเป็นการตัดสินใจสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์จากการซื้อบริษัทอื่นๆอย่างที่เกิดขึ้นตลอดช่วง สิบกว่าปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ไอดีซีเชื่อว่า ซิสโก้ไม่ได้มุ่งหวังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก แต่จะเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากๆ เช่น ธนาคาร ภาครัฐ และบริษัทโทรคมนาคมที่ต้องการศูนย์กลางข้อมูลสำหรับเก็บบันทึก-เข้าถึง ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ต้องการความสามารถในการรันเว็บเพจขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล หรือการส่งภาพยนตร์จำนวนมากไปรันบนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการสำรวจพบว่าตลาดดังกล่าวมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
เอ ชพีไม่วายเกทับความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของซิสโก้ โดย Jim Ganthier รองประธานฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์สตอเรจและเซิร์ฟเวอร์องค์กร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเอพีว่า ภาพที่ซิสโก้เตรียมวาดไว้ในอนาคตนั้น เอชพีได้วาดเสร็จและพร้อมส่งมอบแล้วในวันนี้ แถมบอกว่าการสร้างเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องประกอบด้วยความตั้งใจระยะยาวในการลงทุนเพื่อพัฒนาต่อเนื่อง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2552
จอห์น ชามเบอร์ส (John Chambers) ประธานเจ้าหน้าที่บริหารซิสโกเป็นผู้ประกาศรายละเอียดแผนการเข้าสู่สังเวียน เซิร์ฟเวอร์ ว่าการสร้างเบลดเซิร์ฟเวอร์ด้วยตัวเองของซิสโก้ในครั้งนี้คือส่วนหนึ่งของ การพัฒนาระบบประมวลผลหนึ่งเดียวหรือ UCS ของค่าย ซึ่งจะจำหน่ายเป็นแพคเก็จบนจุดประสงค์เพื่อสร้างรูปแบบศูนย์กลางข้อมูลหรือ แพลตฟอร์มดาต้าเซ็นเตอร์ยุคหน้า ที่องค์กรจะสามารถใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นแต่มีค่าใช้จ่ายที่ถูกลง
" เรามีความสนใจน้อยมากในตลาดผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์ แต่เราเดินตามรอยความคิดที่ว่า จะทำอย่างไรให้ระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมดสามารถรวมเป็นหนึ่งเดียวได้" สอดคล้องกับที่มาริโอ มาซโซลา (Mario Mazzola) รองประธานอาวุโสฝ่ายธุรกิจเวอร์ซวลไลเซชันและเซอร์ฟเวอร์ของซิสโก้ ระบุว่าเพราะซิสโก้ต้องการสร้างระบบการทำงานเสมือนแบบครบวงจร ซิสโก้จึงตัดสินใจสร้างเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองขึ้นมา
ที่ผ่านมา ซิสโก้นั้นเป็นที่รู้จักในฐานะผู้จำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายข้อมูลคอมพิวเตอร์ เช่น เราเตอร์ และสวิตช์ สำหรับเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตหรือเชื่อมโยงระบบคอมพิวเตอร์ภายในองค์กร ซึ่งในขณะนี้ ซิสโก้ได้ร่วมมือกับบริษัทซอฟต์แวร์อย่างไมโครซอฟท์ (Microsoft), แอคเซนเจอร์ (Accenture), วีเอ็มแวร์ (VMware), บีเอ็มซีซอฟต์แวร์ (BMC Software) และอีเอ็มซี (EMC) แล้ว เพื่อดำเนินตามนโยบาย UCS ให้ซอฟต์แวร์เหล่านี้สามารถทำงานร่วมกันได้แบบเสมือน
ซิ สโก้ไม่ได้ระบุว่าจะเริ่มทำตลาดชุดระบบ UCS พร้อมเซิร์ฟเวอร์เมื่อใด แต่คุยฟุ้งว่าระบบการทำงานเสมือนในชุดแพคเก็จ UCS ครบวงจรของซิสโก้นั้นช่วยลดต้นทุนการดำเนินงานศูนย์กลางข้อมูลลงราว 20 เปอร์เซ็นต์ และลดต้นทุนด้านการปฏิบัติการอีกราว 30 เปอร์เซ็นต์ จะมาในรูปเบลดหรือเซิร์ฟเวอร์ตัวบางที่ใช้ชิปอินเทล ซึ่งเอชพีครองตลาดเบอร์หนึ่ง และไอบีเอ็มครองตลาดเบอร์สอง
แม้ซีอีโอซิสโก้จะให้สัมภาษณ์ต่อวอลล์สตรีทเจอร์นอลว่า ซิสโก้ไม่ได้หวังผลิตคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์มาแข่งขันกับเอชพีหรือไอบีเอ็ม แต่สื่อต่างประเทศเชื่อว่าความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นจะทำให้ซิสโก้และเอชพี จะเป็นทั้งมิตรและศัตรูในคราวเดียวกัน เนื่องจากเอชพีเองก็เริ่มไม่ได้ผลิตเฉพาะเซิร์ฟเวอร์ แต่ได้พัฒนาอุปกรณ์เครือข่ายเพื่อสร้างระบบ UCS แบบครบวงจรของตัวเองแล้วเช่นกันในชื่อ Adaptive Infrastructure
ชามเบอร์สกล่าวด้วยว่าความเคลื่อนไหวเรื่องผลิตภัณฑ์ระบบ UCS ครบชุดนี้คือก้าวสำคัญที่สุดของซิสโก้นับตั้งแต่ซิสโก้เริ่มพ่วงผลิตภัณฑ์ สวิตช์ลงในเราเตอร์ หลังจากบริษัทตัดสินใจควบรวมบริษัท Crescendo Communications ในปี 1993 เนื่องจากเป็นการตัดสินใจสร้างผลิตภัณฑ์ด้วยตัวเอง ไม่ใช่การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์จากการซื้อบริษัทอื่นๆอย่างที่เกิดขึ้นตลอดช่วง สิบกว่าปีที่ผ่านมา
นักวิเคราะห์ไอดีซีเชื่อว่า ซิสโก้ไม่ได้มุ่งหวังเป็นเบอร์หนึ่งในตลาดเซิร์ฟเวอร์ทั่วโลก แต่จะเน้นตลาดเฉพาะกลุ่มซึ่งเป็นองค์กรขนาดใหญ่มากๆ เช่น ธนาคาร ภาครัฐ และบริษัทโทรคมนาคมที่ต้องการศูนย์กลางข้อมูลสำหรับเก็บบันทึก-เข้าถึง ข้อมูลได้แบบเรียลไทม์ ต้องการความสามารถในการรันเว็บเพจขนาดใหญ่จำนวนมหาศาล หรือการส่งภาพยนตร์จำนวนมากไปรันบนคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพท์มือถือ ซึ่งการสำรวจพบว่าตลาดดังกล่าวมีมูลค่าราว 2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐต่อปี
เอ ชพีไม่วายเกทับความเคลื่อนไหวครั้งนี้ของซิสโก้ โดย Jim Ganthier รองประธานฝ่ายการตลาดและผลิตภัณฑ์สตอเรจและเซิร์ฟเวอร์องค์กร ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเอพีว่า ภาพที่ซิสโก้เตรียมวาดไว้ในอนาคตนั้น เอชพีได้วาดเสร็จและพร้อมส่งมอบแล้วในวันนี้ แถมบอกว่าการสร้างเซิร์ฟเวอร์นั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะต้องประกอบด้วยความตั้งใจระยะยาวในการลงทุนเพื่อพัฒนาต่อเนื่อง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 มีนาคม 2552
วันเสาร์ที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2552
iPhone 3.0 : เจ้าของไอโฟนโหลดฟรี ส่วนไอพ็อดทัชจ่าย 9.95 ดอลล์
แอปเปิลประกาศอัปเดทซอฟต์แวร์ไอโฟนเวอร์ชันใหม่ล่าสุด iPhone 3.0 ให้ผู้ใช้สามารถตัด คัดลอก และวางข้อความหรือ cut-copy-paste ได้ ถือเป็นคุณสมบัติแสนธรรมดาที่เพิ่งมีในไอโฟน อุปกรณ์มากความสามารถที่ดูเหมือนจะทำงานได้ทุกชนิด แอปเปิลระบุเจ้าของไอโฟนดาวน์โหลดได้ฟรีแต่เจ้าของไอพ็อดทัชต้องเสียค่าบริการ 9.95 ดอลล์ โดยคุณสมบัติใหม่บางตัวสามารถใช้งานบนไอโฟน 3G เท่านั้น
การขาดความสามารถในการตัด คัดลอก และวางข้อความในไอโฟนนั้นถูกร้องเรียนโดยผู้ใช้มาตั้งแต่ไอโฟนเริ่มวางตลาดในปี 2007 โดย iPhone 3.0 พัฒนาให้ผู้ใช้สามารถคัดลอกข้อความระหว่าง บันทึก เว็บเพจ และแอปพลิเคชันได้โดยสะดวก ซึ่งหากผู้ใช้คัดลอกแล้ววางข้อความผิด ก็สามารถยกเลิกการวางนั้นได้โดยการเขย่าไอโฟน
หากพิจารณาสิ่งที่เพิ่มมาใน iPhone 3.0 อื่นๆ จะเห็นได้ชัดว่าแอปเปิลพยายามเพิ่มขีดความสามารถให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันทำงานได้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไอโฟนสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้จะเลือกซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันได้โดยตรง ทั้งในรูปหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือเกม นอกจากนี้นักพัฒนายังสามารถดึงเพลงที่เก็บไว้ในเครื่อง มาใช้เป็นเพลงในเกมได้ด้วย
ขณะเดียวกัน แอปเปิลก็พยายามทำให้ไอโฟนมีประโยชน์ใช้สอยมากยิ่งขึ้น เช่นฟีเจอร์สืบค้นข้อมูลใหม่นาม "Spotlight" ซึ่งแอปเปิลการันตีว่าผู้ใช้จะสามารถหาข้อมูลจากหลายแอปพลิเคชันในครั้งเดียว ทั้งบันทึกธรรมดา ปฏิทินงาน และร้านไอจูนส์
นักวิเคราะห์บางรายมองว่าสิ่งที่แอปเปิลปรับปรุงใน iPhone 3.0 ยังช่วยอำนวยความสะดวกผู้ใช้ในแง่การทำงานธุรกิจด้วย โดยเฉพาะฟีเจอร์ Push ซึ่งผู้บริหารบริษัทไซเบส (Sybase) เคยบอกว่าเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่นักพัฒนาแอปพลิเคชันองค์กรให้ความสนใจมากที่สุด เพราะสามารถนำมาใช้กับระบบ CRM (customer relationship management) ในองค์กรได้แบบเรียลไทม์ เช่นเดียวกับระบบแผนที่ซึ่งแอปเปิลปรับให้สามารถดึงข้อมูลสถานที่มาติดไว้ในภาพถ่ายได้แบบอัตโนมัติ และการเชื่อมโยงข้อมูลในปฏิทินงานก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานของผู้ใช้ไอโฟน
ในแง่ของความบันเทิง แอปเปิลได้พัฒนาให้ผู้ใช้ไอโฟนสามารถ "เขย่าเพื่อเปลี่ยนเพลง" เช่นเดียวกับที่มีในไอพ็อดนาโน (iPod Nano) รุ่นล่าสุด สามารถบันทึกเสียงเพื่อเตือนความจำ รองรับเทคโนโลยีบลูทูธ (Bluetooth) ให้ไอโฟนสามารถใช้งานกับหูฟังและลำโพงบลูทูธได้ รวมถึงปรับให้ไอโฟนสามารถรับส่ง MMS หรือข้อความสั้นมัลติมีเดียที่ประกอบด้วยเพลงและภาพได้
ทั้งหมดนี้ แอปเปิลระบุว่าคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มมาใน iPhone 3.0 นั้นมีจำนวนรวมมากกว่า 100 ฟีเจอร์ โดยยอมรับว่าทุกคุณสมบัติอาจใช้งานไม่ได้กับไอโฟนรุ่นแรก เช่น MMS นั้นสามารถใช้งานบนไอโฟน 3G เท่านั้น โดยแอปเปิลจะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้ไอโฟนดาวน์โหลด iPhone 3.0 ได้ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ บนข้อแม้ว่าผู้ใช้ไอโฟนทุกคนจะได้สิทธิ์ดาวน์โหลดฟรี แต่ผู้ใช้ไอพ็อดทัช (iPod Touch) จะต้องเสียค่าบริการ 9.95 เหรียญหรือประมาณ 340 บาท
Company Related Links : Apple
การขาดความสามารถในการตัด คัดลอก และวางข้อความในไอโฟนนั้นถูกร้องเรียนโดยผู้ใช้มาตั้งแต่ไอโฟนเริ่มวางตลาดในปี 2007 โดย iPhone 3.0 พัฒนาให้ผู้ใช้สามารถคัดลอกข้อความระหว่าง บันทึก เว็บเพจ และแอปพลิเคชันได้โดยสะดวก ซึ่งหากผู้ใช้คัดลอกแล้ววางข้อความผิด ก็สามารถยกเลิกการวางนั้นได้โดยการเขย่าไอโฟน
หากพิจารณาสิ่งที่เพิ่มมาใน iPhone 3.0 อื่นๆ จะเห็นได้ชัดว่าแอปเปิลพยายามเพิ่มขีดความสามารถให้นักพัฒนาแอปพลิเคชันทำงานได้ยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไอโฟนสามารถสร้างแอปพลิเคชันที่ผู้ใช้จะเลือกซื้อสินค้าและบริการผ่านแอปพลิเคชันได้โดยตรง ทั้งในรูปหนังสืออิเล็กทรอนิกส์หรือเกม นอกจากนี้นักพัฒนายังสามารถดึงเพลงที่เก็บไว้ในเครื่อง มาใช้เป็นเพลงในเกมได้ด้วย
ขณะเดียวกัน แอปเปิลก็พยายามทำให้ไอโฟนมีประโยชน์ใช้สอยมากยิ่งขึ้น เช่นฟีเจอร์สืบค้นข้อมูลใหม่นาม "Spotlight" ซึ่งแอปเปิลการันตีว่าผู้ใช้จะสามารถหาข้อมูลจากหลายแอปพลิเคชันในครั้งเดียว ทั้งบันทึกธรรมดา ปฏิทินงาน และร้านไอจูนส์
นักวิเคราะห์บางรายมองว่าสิ่งที่แอปเปิลปรับปรุงใน iPhone 3.0 ยังช่วยอำนวยความสะดวกผู้ใช้ในแง่การทำงานธุรกิจด้วย โดยเฉพาะฟีเจอร์ Push ซึ่งผู้บริหารบริษัทไซเบส (Sybase) เคยบอกว่าเป็นหนึ่งในฟีเจอร์ที่นักพัฒนาแอปพลิเคชันองค์กรให้ความสนใจมากที่สุด เพราะสามารถนำมาใช้กับระบบ CRM (customer relationship management) ในองค์กรได้แบบเรียลไทม์ เช่นเดียวกับระบบแผนที่ซึ่งแอปเปิลปรับให้สามารถดึงข้อมูลสถานที่มาติดไว้ในภาพถ่ายได้แบบอัตโนมัติ และการเชื่อมโยงข้อมูลในปฏิทินงานก็เชื่อว่าจะเป็นประโยชน์ในการทำงานของผู้ใช้ไอโฟน
ในแง่ของความบันเทิง แอปเปิลได้พัฒนาให้ผู้ใช้ไอโฟนสามารถ "เขย่าเพื่อเปลี่ยนเพลง" เช่นเดียวกับที่มีในไอพ็อดนาโน (iPod Nano) รุ่นล่าสุด สามารถบันทึกเสียงเพื่อเตือนความจำ รองรับเทคโนโลยีบลูทูธ (Bluetooth) ให้ไอโฟนสามารถใช้งานกับหูฟังและลำโพงบลูทูธได้ รวมถึงปรับให้ไอโฟนสามารถรับส่ง MMS หรือข้อความสั้นมัลติมีเดียที่ประกอบด้วยเพลงและภาพได้
ทั้งหมดนี้ แอปเปิลระบุว่าคุณสมบัติใหม่ที่เพิ่มมาใน iPhone 3.0 นั้นมีจำนวนรวมมากกว่า 100 ฟีเจอร์ โดยยอมรับว่าทุกคุณสมบัติอาจใช้งานไม่ได้กับไอโฟนรุ่นแรก เช่น MMS นั้นสามารถใช้งานบนไอโฟน 3G เท่านั้น โดยแอปเปิลจะเริ่มเปิดให้ผู้ใช้ไอโฟนดาวน์โหลด iPhone 3.0 ได้ในเดือนพฤษภาคมปีนี้ บนข้อแม้ว่าผู้ใช้ไอโฟนทุกคนจะได้สิทธิ์ดาวน์โหลดฟรี แต่ผู้ใช้ไอพ็อดทัช (iPod Touch) จะต้องเสียค่าบริการ 9.95 เหรียญหรือประมาณ 340 บาท
Company Related Links : Apple
เอชพีผนึกเอไอเอสออกโน้ตบุ๊กใช้ซิมโทร.มือถือ
เอชพีจับมือเอไอเอสทำตลาดแบบ win win ด้วยการออกโน้ตบุ๊กรุ่น HP Pavilion dv4 ที่ใช้ซิมพรีเพดมือถือเป็นตัวกระตุ้นยอดขาย และเป็นการเจาะเส้นทางการตลาดไอทีใหม่ที่มีสินค้าอัดแน่น พร้อมเปิดตัวในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2009 ร่วมกับรุ่น HP Pavilion dv2
นายปวิณ วรพฤกษ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) หรือเอชพี กล่าวว่า เอชพีต้องการจะโตในตลาดคอนซูเมอร์ของผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าเอชพีมีอัตราการโตในตลาดนี้ แต่ปัจจุบันการทำตลาดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่เป็นร้านไอทีสำหรับเอชพีที่มีไลน์สินค้าที่หลากหลายทำให้เกิดการแออัดของผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องหาช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ โดยการร่วมมือกับพันธมิตรหรือพาร์ตเนอร์ และการทำโปรโมชันในรูปแบบต่างๆ เพราะเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ ซึ่งผู้บริโภคไม่ต้องรองานคอมมาร์ต หรืองานแสดงสินค้าไอที
“การทำตลาดสินค้าที่อาศัยเพียงช่องทางจำหน่ายด้านไอทีอาจไม่เหมาะกับเอชพีที่มีสินค้าหลากหลาย เราจึงจำเป็นต้องสร้างช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์'
ล่าสุดเอชพีได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ในไทย เพื่อทำตลาดร่วมกัน โดยเอชพีจะมีการเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น HP Pavilion dv4 ที่สามารถใช้ร่วมกับซิมประเภทเติมเงินหรือพรีเพดโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มมากขึ้น เพราะเอไอเอสมีเครือข่ายครอบคลุมมากที่สุด และมีฐานลูกค้าใหญ่ที่สุด
โดย HP Pavilion dv4 จะมีการเปิดตัวในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2009 วันนี้ (19 มี.ค.) โดยจะจำหน่ายในราคา 33,900 บาท ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายยังจะขายผ่านร้านไอที เป็นหลัก ยังไม่ถึงขั้นไปวางขายในร้านจำหน่ายมือถือ เพราะโน้ตบุ๊กยังมีขนาดใหญ่ทำให้กินพื้นที่ในการวางขาย
ผู้บริหารเอชพีกล่าวว่า การร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ยังไม่ได้คาดหวังถึงยอดขาย แต่ต้องการให้ผู้บริโภคได้ใช้งานโน้ตบุ๊กร่วมกับเครือข่ายมือถืออย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งการทำตลาดในลักษณะนี้จะเห็นได้ถึงอัตราการโต โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด
นอกจาก HP Pavilion dv4 ที่จะเปิดตัวในงานคอมมาร์ตแล้ว เอชพียังมีรุ่น HP Pavilion dv2 Entertainment Notebook PC นวัตกรรมคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับความบางเบากะทัดรัด เหมาะสำหรับการพกพา เพราะนอกจากรูปลักษณ์ของตัวเครื่องที่บางเพียง 1 นิ้วและน้ำหนักเริ่มต้นเพียง 1.64 กิโลกรัมแล้ว โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ยังพรั่งพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่พร้อมรองรับการใช้งานในอนาคต ประกอบกับความสามารถด้านไฮ-เดฟินิชันและกราฟิก
HP Pavilion dv2 Entertainment Notebook PC ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่า จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว ในราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และมีวางจำหน่ายตามตัวแทนจำหน่ายของเอชพีทั่วประเทศ
Company Related Links : HP
นายปวิณ วรพฤกษ์ ผู้จัดการกลุ่มผลิตภัณฑ์และการตลาด กลุ่มธุรกิจเพอร์ซันแนล ซิสเต็มส์ บริษัท ฮิวเลตต์-แพคการ์ด (ประเทศไทย) หรือเอชพี กล่าวว่า เอชพีต้องการจะโตในตลาดคอนซูเมอร์ของผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก และที่ผ่านมาก็พิสูจน์แล้วว่าเอชพีมีอัตราการโตในตลาดนี้ แต่ปัจจุบันการทำตลาดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่เป็นร้านไอทีสำหรับเอชพีที่มีไลน์สินค้าที่หลากหลายทำให้เกิดการแออัดของผลิตภัณฑ์ จำเป็นต้องหาช่องทางการทำตลาดใหม่ๆ โดยการร่วมมือกับพันธมิตรหรือพาร์ตเนอร์ และการทำโปรโมชันในรูปแบบต่างๆ เพราะเชื่อว่าจะสามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ทั่วประเทศ ซึ่งผู้บริโภคไม่ต้องรองานคอมมาร์ต หรืองานแสดงสินค้าไอที
“การทำตลาดสินค้าที่อาศัยเพียงช่องทางจำหน่ายด้านไอทีอาจไม่เหมาะกับเอชพีที่มีสินค้าหลากหลาย เราจึงจำเป็นต้องสร้างช่องทางจำหน่ายใหม่ๆ โดยการร่วมมือกับพาร์ตเนอร์'
ล่าสุดเอชพีได้ร่วมมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอส ผู้ให้บริการมือถือรายใหญ่ในไทย เพื่อทำตลาดร่วมกัน โดยเอชพีจะมีการเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่น HP Pavilion dv4 ที่สามารถใช้ร่วมกับซิมประเภทเติมเงินหรือพรีเพดโทรศัพท์มือถือได้ ซึ่งจะช่วยให้ประสิทธิภาพการทำงานเพิ่มมากขึ้น เพราะเอไอเอสมีเครือข่ายครอบคลุมมากที่สุด และมีฐานลูกค้าใหญ่ที่สุด
โดย HP Pavilion dv4 จะมีการเปิดตัวในงานคอมมาร์ต ไทยแลนด์ 2009 วันนี้ (19 มี.ค.) โดยจะจำหน่ายในราคา 33,900 บาท ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายยังจะขายผ่านร้านไอที เป็นหลัก ยังไม่ถึงขั้นไปวางขายในร้านจำหน่ายมือถือ เพราะโน้ตบุ๊กยังมีขนาดใหญ่ทำให้กินพื้นที่ในการวางขาย
ผู้บริหารเอชพีกล่าวว่า การร่วมมือกับเอไอเอสในครั้งนี้ยังไม่ได้คาดหวังถึงยอดขาย แต่ต้องการให้ผู้บริโภคได้ใช้งานโน้ตบุ๊กร่วมกับเครือข่ายมือถืออย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า และครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งการทำตลาดในลักษณะนี้จะเห็นได้ถึงอัตราการโต โดยเฉพาะตลาดต่างจังหวัด
นอกจาก HP Pavilion dv4 ที่จะเปิดตัวในงานคอมมาร์ตแล้ว เอชพียังมีรุ่น HP Pavilion dv2 Entertainment Notebook PC นวัตกรรมคอนซูเมอร์โน้ตบุ๊กที่มาพร้อมกับความบางเบากะทัดรัด เหมาะสำหรับการพกพา เพราะนอกจากรูปลักษณ์ของตัวเครื่องที่บางเพียง 1 นิ้วและน้ำหนักเริ่มต้นเพียง 1.64 กิโลกรัมแล้ว โน้ตบุ๊กรุ่นนี้ยังพรั่งพร้อมไปด้วยฟีเจอร์ต่างๆ ที่พร้อมรองรับการใช้งานในอนาคต ประกอบกับความสามารถด้านไฮ-เดฟินิชันและกราฟิก
HP Pavilion dv2 Entertainment Notebook PC ผู้บริหารเอชพีเชื่อว่า จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างลงตัว ในราคาเริ่มต้นที่ 24,900 บาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) และมีวางจำหน่ายตามตัวแทนจำหน่ายของเอชพีทั่วประเทศ
Company Related Links : HP
ลือไอบีเอ็มเตรียมซื้อซันไมโครซิสเต็มส์
หนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นอล (Wall Street Journal) รายงานว่ายักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) กำลังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อคู่แข่งอย่างซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems) ด้วยเงินมูลค่าไม่ต่ำกว่า 6.5 พันล้านเหรียญ (ประมาณ 2.27 แสนล้านบาท) เชื่อหากการซื้อขายเกิดขึ้นจริงอาจจะเป็นการเพิ่มแรงกดดันในธุรกิจผลิตภัณฑ์คอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ โดยเฉพาะเอชพี (Hewlett-Packard)
แหล่งข่าวนิรนามของวอลล์สตรีทเจอร์นอลระบุว่า การเจรจาซื้อบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ของไอบีเอ็มจะครอบคลุมหุ้นทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ของซัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 4.97 เหรียญต่อหุ้น โดยยังไม่มีรายงานการยืนยันข่าวลือที่เกิดขึ้นทั้งจากซันและไอบีเอ็มในขณะนี้ ซันนั้นถูกลือมานานแล้วว่าเป็นเป้าหมายที่บริษัทไอทีหลายแห่งต้องการควบรวมด้วย ทั้งไอบีเอ็ม เอชพี เดลล์ (Dell) หรือแม้แต่ซิสโก้ (Cisco Systems) ซึ่งเพิ่งเปิดเผยแผนการผลิตเบลดเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหากมองในมุมของนักการธนาคารและนักวิเคราะห์ ซันยังมีปัญหาเรื่องมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการที่ยังไม่โดดเด่นนัก จนนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ซันเป็นบริษัทที่ไม่เคยฟื้นตัวได้จากวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000
โรเบิร์ต จาคอบเซ่น (Robert Jakobsen) นักวิเคราะห์ของบริษัท Jyske Bank สัญชาติเดนมาร์กให้ความเห็นว่า ข่าวลือนี้สมเหตุสมผลหากมองในมุมการรวมพลังของอุตสาหกรรมไอที แต่หากมองในมุมผลประกอบการช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าซันไม่ใช่ตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ไอบีเอ็มจะซื้อ
"หากการซื้อขายเกิดขึ้น ชัดเจนว่านี่จะเป็นการควบรวมธุรกิจระหว่างสองบริษัทครั้งใหญ่ แต่อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ที่อยู่ในตลาดระบบศูนย์กลางข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ได้น้อย เนื่องจากซันกินสัดส่วนตลาดได้ไม่มากนักตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ในมุมมองของผมเชื่อว่าการควบรวมนี้จะมีมูลค่าไม่สูงนัก"
มูลค่าหุ้นของซันนั้นเพิ่มขึ้น 54 เปอร์เซ็นต์ทันทีที่วอลล์สตรีทเจอร์นอลรายงานข่าวลือนี้ในเว็บไซต์ โดยระบุว่าไอบีเอ็มอาจลงมือเซ็นสัญญากับซันภายในสัปดาห์นี้หรืออาจจะเจรจาล้มเหลวก็ได้ ซึ่งหากไอบีเอ็มตัดสินใจซื้อซันจริง การซื้อขายที่เกิดขึ้นจะเป็นการควบรวมบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดของไอบีเอ็มนับตั้งแต่การเข้าซื้อบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติแคนาเดียนนาม Cognos ด้วยเงิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมกราคมปี 2008
ไอบีเอ็มนั้นเป็นผู้ครองตลาดอันดับ 1 ในตลาดคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ช่วงไตรมาสสี่ของปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งการตลาด 36.3 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือเอชพี 29 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 3 คือเดลล์ 10.6 เปอร์เซ็นต์ ซันคืออันดับ 4 มีส่วนแบ่งตลาด 9.3 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 5 คือฟูจิตสึ (Fujitsu) 4.2 เปอร์เซ็นต์
ล่าสุด ซันนั้นเปิดตัวบริการใหม่ Sun Cloud บริการเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์ที่พุ่งกลุ่มตลาดไปที่นักศึกษา โปรแกรมเมอร์ และบริษัทไอทีรายย่อยที่ไม่ต้องการซื้อเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลของตัวเอง รายงานระบุว่าซันได้สาธิตการทำงานของระบบใหม่ในงานประชุมนักพัฒนาซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์กในวันพุธที่ 18 มีนาคม ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งในงานนี้จะมีการเปิดเผนแผนพัฒนาซอฟต์แวร์ของซัน ทั้ง Java, MySQL และ OpenSolaris สำหรับนำมาใช้ในการประมวลผลกลุ่มเมฆหรือ cloud computing
Company Related Links : IBM SUN
แหล่งข่าวนิรนามของวอลล์สตรีทเจอร์นอลระบุว่า การเจรจาซื้อบริษัทซันไมโครซิสเต็มส์ของไอบีเอ็มจะครอบคลุมหุ้นทั้ง 100 เปอร์เซ็นต์ของซัน ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 4.97 เหรียญต่อหุ้น โดยยังไม่มีรายงานการยืนยันข่าวลือที่เกิดขึ้นทั้งจากซันและไอบีเอ็มในขณะนี้ ซันนั้นถูกลือมานานแล้วว่าเป็นเป้าหมายที่บริษัทไอทีหลายแห่งต้องการควบรวมด้วย ทั้งไอบีเอ็ม เอชพี เดลล์ (Dell) หรือแม้แต่ซิสโก้ (Cisco Systems) ซึ่งเพิ่งเปิดเผยแผนการผลิตเบลดเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา แต่การซื้อขายไม่ได้เกิดขึ้นเพราะหากมองในมุมของนักการธนาคารและนักวิเคราะห์ ซันยังมีปัญหาเรื่องมูลค่าตลาดซอฟต์แวร์ ฮาร์ดแวร์ และบริการที่ยังไม่โดดเด่นนัก จนนักวิเคราะห์หลายรายมองว่า ซันเป็นบริษัทที่ไม่เคยฟื้นตัวได้จากวิกฤติฟองสบู่ดอทคอมแตกในปี 2000
โรเบิร์ต จาคอบเซ่น (Robert Jakobsen) นักวิเคราะห์ของบริษัท Jyske Bank สัญชาติเดนมาร์กให้ความเห็นว่า ข่าวลือนี้สมเหตุสมผลหากมองในมุมการรวมพลังของอุตสาหกรรมไอที แต่หากมองในมุมผลประกอบการช่วง 2 ปีที่ผ่านมา เชื่อว่าซันไม่ใช่ตัวเลือกอันดับหนึ่งที่ไอบีเอ็มจะซื้อ
"หากการซื้อขายเกิดขึ้น ชัดเจนว่านี่จะเป็นการควบรวมธุรกิจระหว่างสองบริษัทครั้งใหญ่ แต่อาจจะเพิ่มแรงกดดันให้กับผู้ที่อยู่ในตลาดระบบศูนย์กลางข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ได้น้อย เนื่องจากซันกินสัดส่วนตลาดได้ไม่มากนักตลอด 12 เดือนที่ผ่านมา ในมุมมองของผมเชื่อว่าการควบรวมนี้จะมีมูลค่าไม่สูงนัก"
มูลค่าหุ้นของซันนั้นเพิ่มขึ้น 54 เปอร์เซ็นต์ทันทีที่วอลล์สตรีทเจอร์นอลรายงานข่าวลือนี้ในเว็บไซต์ โดยระบุว่าไอบีเอ็มอาจลงมือเซ็นสัญญากับซันภายในสัปดาห์นี้หรืออาจจะเจรจาล้มเหลวก็ได้ ซึ่งหากไอบีเอ็มตัดสินใจซื้อซันจริง การซื้อขายที่เกิดขึ้นจะเป็นการควบรวมบริษัทครั้งใหญ่ที่สุดของไอบีเอ็มนับตั้งแต่การเข้าซื้อบริษัทซอฟต์แวร์สัญชาติแคนาเดียนนาม Cognos ด้วยเงิน 5 พันล้านเหรียญสหรัฐในเดือนมกราคมปี 2008
ไอบีเอ็มนั้นเป็นผู้ครองตลาดอันดับ 1 ในตลาดคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ช่วงไตรมาสสี่ของปีที่ผ่านมา มีส่วนแบ่งการตลาด 36.3 เปอร์เซ็นต์ รองลงมาคือเอชพี 29 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 3 คือเดลล์ 10.6 เปอร์เซ็นต์ ซันคืออันดับ 4 มีส่วนแบ่งตลาด 9.3 เปอร์เซ็นต์ อันดับ 5 คือฟูจิตสึ (Fujitsu) 4.2 เปอร์เซ็นต์
ล่าสุด ซันนั้นเปิดตัวบริการใหม่ Sun Cloud บริการเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์ที่พุ่งกลุ่มตลาดไปที่นักศึกษา โปรแกรมเมอร์ และบริษัทไอทีรายย่อยที่ไม่ต้องการซื้อเซิร์ฟเวอร์และอุปกรณ์เก็บข้อมูลของตัวเอง รายงานระบุว่าซันได้สาธิตการทำงานของระบบใหม่ในงานประชุมนักพัฒนาซึ่งจัดขึ้นที่นิวยอร์กในวันพุธที่ 18 มีนาคม ตามเวลาในสหรัฐฯ ซึ่งในงานนี้จะมีการเปิดเผนแผนพัฒนาซอฟต์แวร์ของซัน ทั้ง Java, MySQL และ OpenSolaris สำหรับนำมาใช้ในการประมวลผลกลุ่มเมฆหรือ cloud computing
Company Related Links : IBM SUN
"IE8"เปิดโหลดทั่วโลกตามหลัง"Chrome"เบต้า2.0
ไมโครซอฟท์ (Microsoft) พร้อมเปิดให้นักท่องเน็ตทั่วโลกดาวน์โหลดโปรแกรมเบราว์เซอร์ล่าสุด Internet Explorer 8 หรือ IE8 อย่างเป็นทางการในวันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม 9.00 น.เวลาในคาบสมุทรแปซิฟิก ตามหลัง Chrome ซึ่งกูเกิลเปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดเวอร์ชันทดลองฉบับปรับปรุงใหม่ 2.0 เพียงไม่กี่วัน
เช่นเดียวกับเบราว์เซอร์ IE ทุกเวอร์ชัน ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์แบบถูกลิขสิทธิ์จะมีสิทธิ์ดาวน์โหลดโปรแกรมไปใช้งานได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ หลังจากที่ IE8 ถูกทดสอบโดยนักวิจัยและนักท่องเน็ตทั่วโลกนานเกือบ 1 ปี ซึ่งแม้ IE8 จะถูกเตรียมจำหน่ายพ่วงไปกับ Windows 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่อจากวิสต้าซึ่งคาดว่าจะวางตลาดในปีหน้า แต่ไมโครซอฟท์ระบุว่า IE8 สามารถทำงานร่วมกับ Windows Vista และ Windows XP ได้ดี
ส่วนแบ่งตลาดของ IE ยังคงกินสัดส่วนใหญ่ที่สุด คิดเป็น 72.2% ของตลาดรวม รองลงมาคือ Firefox ของมูลนิธิมอซิลลา (Mozilla) ที่มีส่วนแบ่ง 17.2% อันดับที่ 3 คือ Chrome ที่มีผู้ใช้ราว 2.8% โดยบราว์เซอร์ Safari ของแอปเปิลมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
หนึ่งในความสามารถโดดเด่นของ IE8 ที่เพิ่มจาก IE7 เวอร์ชันก่อนหน้านี้คือ accelerator ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้คลิกขวาบนที่อยู่หรือเนื้อหาบริการออนไลน์อื่นๆ เพื่อสั่งค้นหาข้อมูลนั่นๆบนแผนที่ เว็บล็อก หรือเว็บไซต์อื่นๆได้ทันที นอกจากนี้ ผู้ใช้ IE8 ยังสามารถพิมพ์คีย์เวิร์ดลงในแอดเดรสบาร์เพื่อสืบค้นลิงก์ที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องเข้าสู่เว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นให้ยุ่งยาก ขณะเดียวกันก็มีการป้องกันความปลอดภัยเต็มที่ด้วยการแสดงข้อความเตือนให้ผู้ใช้รู้ตัวว่ากำลังดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอยู่
การเปิดให้ดาวน์โหลด IE8 นี้เกิดขึ้นหลังจากกูเกิล (Google) เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกทดสอบการทำงานของ Chrome เวอร์ชันใหม่ไม่นานนัก โดยกูเกิลการันตีว่า Chrome 2.0 beta จะสามารถทำงานกับโปรแกรมภาษา Javascript ได้เร็วขึ้นถึง 25-35% ถือว่าเร็วกว่า Chrome 1.0 ถึง 2 เท่าตัว
นอกจากจะสามารถทำงานได้เร็วขึ้น การประเดิมการอัปเดทซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่หลังจากเคยอัปเดท Chrome อย่างเป็นทางการเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังทำให้ผู้ใช้ Chrome 2.0 beta สามารถตั้งค่าเพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวบนแบบฟอร์มออนไลน์ได้แบบอัตโนมัติ สามารถซูมหน้าเว็บเพจทั้งหน้าซึ่งกูเกิลการันตีว่าจะขยายได้ทั้งภาพและข้อความ รวมถึงสามารถเลื่อนหน้าเว็บขึ้นลงแบบอัตโนมัติเพียงกดปุ่ม scroll บนเมาส์
ก่อนหน้านี้ มอซิลลาและแอปเปิลได้เปิดอัปเดทซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์ของตัวเองแล้วเช่นกัน โดยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มอซิลลาเปิดให้นักท่องเน็ตร่วมทดสอบ Firefox 3.1 ที่สามารถรองรับ 64 ภาษา ระบุว่าพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับ Javascript ได้เร็วขึ้น เพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างเว็บ ทั้งในส่วนของการเชื่อมโยงข้อมูลภาพ เสียง และวีดีโอยิ่งขึ้น
Company Related Links : Apple Firefox Google Microsoft
เช่นเดียวกับเบราว์เซอร์ IE ทุกเวอร์ชัน ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์แบบถูกลิขสิทธิ์จะมีสิทธิ์ดาวน์โหลดโปรแกรมไปใช้งานได้ฟรีผ่านเว็บไซต์ของไมโครซอฟท์ หลังจากที่ IE8 ถูกทดสอบโดยนักวิจัยและนักท่องเน็ตทั่วโลกนานเกือบ 1 ปี ซึ่งแม้ IE8 จะถูกเตรียมจำหน่ายพ่วงไปกับ Windows 7 ระบบปฏิบัติการรุ่นต่อจากวิสต้าซึ่งคาดว่าจะวางตลาดในปีหน้า แต่ไมโครซอฟท์ระบุว่า IE8 สามารถทำงานร่วมกับ Windows Vista และ Windows XP ได้ดี
ส่วนแบ่งตลาดของ IE ยังคงกินสัดส่วนใหญ่ที่สุด คิดเป็น 72.2% ของตลาดรวม รองลงมาคือ Firefox ของมูลนิธิมอซิลลา (Mozilla) ที่มีส่วนแบ่ง 17.2% อันดับที่ 3 คือ Chrome ที่มีผู้ใช้ราว 2.8% โดยบราว์เซอร์ Safari ของแอปเปิลมีส่วนแบ่งตลาดน้อยกว่า 1 เปอร์เซ็นต์
หนึ่งในความสามารถโดดเด่นของ IE8 ที่เพิ่มจาก IE7 เวอร์ชันก่อนหน้านี้คือ accelerator ที่สามารถอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้คลิกขวาบนที่อยู่หรือเนื้อหาบริการออนไลน์อื่นๆ เพื่อสั่งค้นหาข้อมูลนั่นๆบนแผนที่ เว็บล็อก หรือเว็บไซต์อื่นๆได้ทันที นอกจากนี้ ผู้ใช้ IE8 ยังสามารถพิมพ์คีย์เวิร์ดลงในแอดเดรสบาร์เพื่อสืบค้นลิงก์ที่เกี่ยวข้องได้โดยไม่ต้องเข้าสู่เว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นให้ยุ่งยาก ขณะเดียวกันก็มีการป้องกันความปลอดภัยเต็มที่ด้วยการแสดงข้อความเตือนให้ผู้ใช้รู้ตัวว่ากำลังดาวน์โหลดซอฟต์แวร์ประสงค์ร้ายอยู่
การเปิดให้ดาวน์โหลด IE8 นี้เกิดขึ้นหลังจากกูเกิล (Google) เปิดให้ผู้ใช้ทั่วโลกทดสอบการทำงานของ Chrome เวอร์ชันใหม่ไม่นานนัก โดยกูเกิลการันตีว่า Chrome 2.0 beta จะสามารถทำงานกับโปรแกรมภาษา Javascript ได้เร็วขึ้นถึง 25-35% ถือว่าเร็วกว่า Chrome 1.0 ถึง 2 เท่าตัว
นอกจากจะสามารถทำงานได้เร็วขึ้น การประเดิมการอัปเดทซอฟต์แวร์ครั้งใหญ่หลังจากเคยอัปเดท Chrome อย่างเป็นทางการเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ยังทำให้ผู้ใช้ Chrome 2.0 beta สามารถตั้งค่าเพื่อกรอกข้อมูลส่วนตัวบนแบบฟอร์มออนไลน์ได้แบบอัตโนมัติ สามารถซูมหน้าเว็บเพจทั้งหน้าซึ่งกูเกิลการันตีว่าจะขยายได้ทั้งภาพและข้อความ รวมถึงสามารถเลื่อนหน้าเว็บขึ้นลงแบบอัตโนมัติเพียงกดปุ่ม scroll บนเมาส์
ก่อนหน้านี้ มอซิลลาและแอปเปิลได้เปิดอัปเดทซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์ของตัวเองแล้วเช่นกัน โดยเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มอซิลลาเปิดให้นักท่องเน็ตร่วมทดสอบ Firefox 3.1 ที่สามารถรองรับ 64 ภาษา ระบุว่าพัฒนาให้สามารถทำงานร่วมกับ Javascript ได้เร็วขึ้น เพิ่มความสามารถในการทำงานร่วมกันระหว่างเว็บ ทั้งในส่วนของการเชื่อมโยงข้อมูลภาพ เสียง และวีดีโอยิ่งขึ้น
Company Related Links : Apple Firefox Google Microsoft
ทำเงินบนโลกไอที (1) : Search Engine Marketing รู้จักไว้มีแต่ได้
ใครว่าบทความไอทีอ่านแล้วจะมีแต่เรื่องเสียเงิน ทั้งเทคโนโลยีล้ำสมัยหรือสินค้ารุ่นใหม่ที่มักปลุกกิเลสให้ชาวไอทีควักเงินในกระเป๋าออกมาจับจ่ายอยู่ตลอดเวลา ต่อไปนี้คือบทความไอทีที่เชื่อว่าจะทำให้ผู้อ่านสามารถทำเงินจากโลกไอทีได้ หากตั้งใจแน่วแน่กับการศึกษาและปฏิบัติจริง
"ผู้จัดการไซเบอร์" ขอนำเสนอบทความชุดเรื่อง "ทำเงินบนโลกไอที" เพื่อแสดงมุมมองของการตลาดออนไลน์ในยุค 2009 จากนานาเจ้าของเว็บไซต์และบริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ชไทย โดยเราจะนำท่านไปทำความรู้จักกับการทำเงินขั้นพื้นฐานในสัปดาห์แรก และจะต่อยอดการทำเงินขั้นสูงขึ้นในสัปดาห์ถัดไป
*** เจาะตลาดโลกด้วย SEM (บทความโดย ปภาดา อมรนุรัตน์กุล paphada@redrank.co.th)
คุณมีเว็บไซต์หรือยังค่ะ?? แล้วตอนนี้มีคนเข้าเว็บไซต์ของคุณเป็นจำนวนเท่าไร?? มียอดซื้อออนไลน์มากน้อยขนาดไหน? ปัญหาเหล่านี้จะหมดไป หากคุณได้รู้จักกับ Search Engine Marketing
คนส่วนใหญ่ที่เปิดเว็บไซต์มาหลายปีแต่ขายสินค้าได้น้อย มักจะคิดว่าเป็นเพราะการไม่มีความรู้เรื่องเว็บไซต์ หรือเพราะการใช้เว็บสำเร็จรูปในการเปิดร้านขายของ จนหลายคนทำใจได้และพอใจกับการขายสินค้าได้แค่นั้น แต่ความเป็นจริงแล้ว ปัจจุบันมีเว็บไซต์ขนาดเล็กจำนวนไม่น้อยที่ใช้เว็บไซต์สำเร็จรูปธรรมดา ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรมากมาย ที่สามารถทำยอดขายได้เพิ่มขึ้นถึง 400%
เคล็ดลับความสำเร็จอยู่ที่เขาได้รู้จักกับการทำตลาดออนไลน์ ที่เรียกกันว่า SEM ซึ่งหากเราเป็นผู้ประการธุรกิจแบบ ecommerce เราจะสามารถวัดค่า ROI (Return Of Investment) ได้ดีทีเดียว
ใช้เสิร์ชเอนจิ้นเป็นเครื่องมือ Search Engine Marketing คำนี้ไม่ได้เป็นศัพท์ใหม่ หลายๆ คนรู้จักกันมานานแล้ว แต่ในประเทศเราเองนั้น เพิ่งจะเริ่มตื่นตัวกับการทำ SEM นี้ในช่วง 5 ปีหลังที่ผ่านมานี้เอง หากใครยังไม่รู้ว่า Search Engine Marketing คืออะไร จะขออธิบายดังนี้
SEM หรือ Search Engine Marketing นั้น หากแปลเป็นภาษาไทยง่ายๆ จะหมายถึงการตลาดผ่านเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งเครื่องมือค้นหาทางอินเทอร์เน็ต ที่เด่นๆ นั้นก็ได้แก่ Google, Yahoo และ Live (MSN) โดยการทำ SEM นี้ แบ่งออกเป็น 2 ส่วนคือ
การทำ Search Engine Optimization (SEO) คือการปรับแต่งหน้าเว็บไซต์ของเราให้โดนใจ Search Engine ต่างๆ อาจจะมีการปรับโครงสร้างภายใน code, โครงสร้าง link หรือ บางทีเมื่อก่อนที่เราเคยโปรโมทเว็บเราด้วยการแลกลิงค์ (link exchange) นั้น ก็ถือว่า เป็นการทำ SEO แบบหนึ่งอีกด้วย
แต่การจะทำ SEO ได้นั้น ต้องใช้ปัจจัยหลายอย่างด้วยกัน ทั้ง off-page และ on-page factor ซึ่งสิ่งเหล่านี้ ล้วนมีผลกระทบกับการทำ SEO เป็นอย่างยิ่ง แต่อะไรจะมีคะแนนมากหรือน้อย อย่างไรนั้น ต้องไปทดลองทำด้วยตนเองถึงจะรู้ เมื่อเราทำ SEO แล้วนั้น เว็บไซต์ที่เราทำจะไปปรากฏบริเวณด้านซ้ายมือของผลการค้นหา ซึ่งแน่นอนว่า บริเวณนี้จะมีคนคลิกเป็นจำนวนมาก และคนส่วนใหญ่จะคลิกเว็บไซต์ที่ปรากฏผลในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาเป็นจำนวนมาก
เรียกได้ว่า ใครมีเว็บไซต์อยู่ในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาจะสามารถทำเงินได้อย่างสบายๆ
เรามาดูอีกฝั่งของผลการค้นหากันบ้าง ผลการค้นหาฝั่งขวามือนั้น เราจะเรียกกันว่า เป็น Pay per click (PPC) เราซึ่งเป็นเจ้าของเว็บไซต์ไม่ต้องกลุ้มใจกับอันดับที่ไม่ขึ้นในฝั่งซ้าย (SEO) เพราะเราสามารถทำให้เว็บไซต์ของเราขึ้นอันดับในฝั่งขวาของผลการค้นหาได้ง่ายๆ ด้วยการจ่ายเงินค่าโฆษณาให้กับ Search Engine โดยค่าใช้จ่ายนั้น จะมีการจ่ายเป็นต่อคลิก คือ เมื่อใดก็ตามที่มีคนเข้ามาคนค้นหาแล้วโฆษณาเว็บไซต์ของเราปรากฏขึ้นบนฝั่งขวามือ เราจะยังคงไม่เสียค่าโฆษณา
แต่หากผู้ค้นหาสนใจสินค้าหรือบริการของเรา แล้วคลิกโฆษณาเพื่อเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราแล้วล่ะก็ เราจึงจะเสียค่าใช้จ่าย ต่อการคลิกของลูกค้าแต่ละคน ซึ่งแน่นอนว่า ยอดคนเข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์ของเราสักคน ก็มีโอกาสที่เขาจะพัฒนามาเป็นลูกค้าของเราได้ต่อไปในอนาคต เพราะนี่คือ สิ่งที่เขากำลังค้นหาอยู่จริงๆ ซึ่งถือเป็นการลงทุนที่ต่ำมาก ต่ำกว่าการใช้งบโฆษณาไปกับสื่ออื่นๆ ที่ไม่ตรงกลุ่มเป้าหมาย
ลองคิดดูซิว่า หากเรามีการลงโฆษณาในหน้าหนังสือพิมพ์สักฉบับนึง ประมาณ 10,000 บาท แน่นอนว่า คนที่อ่านหนังสือพิมพ์จะได้เห็นโฆษณาเรา แต่ใน 200,000 คนที่อ่านหนังสือพิมพ์นั้น อาจจะมีคนสนใจสินค้าเราเพียงแค่ 500 คนเท่านั้น และภายใน 500 คนจะกลายเป็นลูกค้าเราจริงๆ เพียงแค่ 50 คนเท่านั้น ในขณะที่เราลงโฆษณาด้วย pay per click คนที่เข้ามาค้นหาข้อมูลบน Search Engine นั้น จะเป็นคนที่มีความสนใจในสินค้านั้นๆ อยู่แล้ว หากเรามีการเขียนคำโฆษณาที่ดี และดึงดูดให้เขาคลิกได้โอกาสที่เขาจะกลายเป็นลูกค้าของเราจะมีมากกว่าการลงทุนโฆษณาในแบบอื่นๆ ซึ่งการทำ ppc นั้นสามารถวัดผล ROI ได้อย่างชัดเจนจากการเริ่มทำกันเลยทีเดียว
Pay per click นั้นมีชื่อเรียกกันหลากหลายชื่อเลยทีเดียว หากใครไปได้ยินชื่อที่เรียกว่า Keywords Advertising, Cost Per Click (CPC), Sponsored Link, Paid Placement และจะมีชื่อเรียกไปตาม Search Engine ต่างๆ ด้วย เช่น Google ก็จะเรียกว่า “Google AdWords” ส่วน Yahoo ก็จะเรียกว่า “Y!SM Yahoo Search Marketing” เป็นต้น แต่ขอให้รู้ไว้ว่า มันคือกระบวนการทำงานแบบเดียวกันนั่นเอง
SEO หรือ PPC อย่างไหนดีกว่า จากประสบการณ์ของผู้เขียน ถ้าให้ถามว่า การทำ SEM แบบไหนดีกว่ากัน? ระหว่างการทำ SEO กับ PPC ผู้เขียนก็บอกได้เลยว่า ดีไปกันคนละแบบ ในฝั่งขวาที่เป็น ppc นั้น เราสามารถเขียนคำโฆษณาที่เราต้องการหรือสิ่งที่เราอยากจะสื่อความคิดของเราให้กลุ่มเป้าหมายของเราได้ชัดเจน เช่น ถ้าเราจะขายบ้านสักหลัง เราอาจะเขียนโฆษณาในฝั่งขวาว่า บ้านสวย พร้อมอยู่ ใกล้รถไฟฟ้า แถวบางนา จองวันนี้ เพียง 1.3 ล้านบาท โดยเราจะใช้ keyword ว่า บ้านบางนา เป็นต้น เพราะนั่นหมายความว่า คนที่เข้ามาค้นหาคำว่า “บ้านบางนา” เขามองหา บ้านที่อยู่บางนา ซึ่งถ้าเราเขียนคำโฆษณาได้โดนใจคนค้นหา สิ่งที่เขียนอาจจะโดนใจด้วยคำว่า ราคาแค่ 1.3 ล้านบาท ซึ่งเป็นงบประมาณ ที่คนค้นหาต้องการพอดี ก็แน่นอนว่า โอกาสที่คนค้นหานี้จะเป็นลูกค้าเรามีสูงมากแล้ว แต่การจะกลายเป็นลูกค้าของเราได้หรือไม่นั้น ต้องขึ้นอยู่กับ หน้าตาของเว็บไซต์ และรูปแบบของบ้านเป็นสำคัญอีกด้วย
มาดูในฝั่ง SEO กันบ้าง ถึงแม้ว่า เราจะไม่สามารถเขียนคำโฆษณาอย่างที่เราต้องการได้ แต่อย่างที่เราๆ ท่านรู้กันดีอยู่ว่า เมื่อไรก็ตามที่เรามีการค้นหา เราจะคลิกฝั่งซ้ายมือก่อนเสมอ บางทีเว็บไซต์อันดับที่ 1 นั้นไม่ได้มีสิ่งที่เราต้องการเลย แต่คนส่วนใหญ่ก็มักจะคลิกอันดับหนึ่งของผลการค้นหาก่อนเสมอ ถ้าไม่ใช่แล้วค่อยกลับมาหาอันดับที่ 2 3 4 ต่อไปตามลำดับ นี่เองเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมแต่ละเว็บไซต์จึงอยากให้เว็บไซต์ของตัวเอง ติดในอันดับต้นๆ ของผลการค้นหาใน Search Engine กันเหลือเกิน ไม่ต้องขายของก็รวยได้
เว็บไซต์ของบางคนก็ไม่ได้มีการขายของผ่านทางหน้าเว็บ แต่ก็มาจ้างทำ SEM ก็มีเหมือนกัน หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วถ้าเขาไม่ได้ขายของ เว็บไซต์ของเราจะอยากติดหน้าแรกไปทำไมกัน อยากดังแค่นั้นหรือ? จริงๆ แล้ว ความอยากดัง อาจเป็นส่วนหนึ่ง แต่ถ้าให้มองกันดีๆ เราจะพบว่า หากเว็บไซต์ของเรา ที่ไม่ได้มีขายของอะไร แต่มีคนเขาเยี่ยมชมมากมาย และมีคนเข้ามาเยี่ยมชมอยู่สม่ำเสมอแล้ว เราไม่จำเป็นต้องหาของมาขายเลย เพราะแค่ขาย Banner ก็รวยแล้วค่ะ
เว็บไซต์อย่างเช่น sanook, kapook หรือ manager เป็นเว็บไซต์ที่ไม่ได้ขายของ และเน้นข้อมูล-ความบันเทิงเป็นหลัก แต่มีคนเข้าชมวันละไม่ต่ำกว่า 100,000 uip ซึ่งแน่นอนว่า ต้องมีอีกหลายๆ บริษัทฯ ที่อยากได้ลูกค้าจากคนในเว็บไซต์นี้แน่นอน ถ้าคิดว่า แบ่งสัก 10% คนที่เข้าเยี่ยมชมเว็บไซต์นี้ไปให้คนที่นำ banner มาติด ก็จะพบว่า ใน 1 วัน เว็บไซต์ของเราจะมีคนเข้าชมประมาณ 10,000 uip เลยทีเดียว
เพราะฉะนั้นแล้วไม่ว่าเราจะมีเว็บไซต์ประเภทใด หากมีการติดอันดับในผลการค้นหา ไม่ว่าจะเป็นฝั่งขวามือหรือซ้ายมือ มันก็จะช่วยให้เราสามารถทำเงินได้เช่นกัน!!
***ทำเงินบนโลกไอทีสัปดาห์หน้า จะพูดถึงการตลาดด้วยเว็บล็อก อย่าพลาดนะคะ
วันพุธที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2552
AMD เผยโฉม “Istanbul” โปรเซสเซอร์ 6 คอร์รุ่นใหม่สำหรับเซิร์ฟเวอร์
เอเอ็มดีได้เปิดตัวและแสดงสมรรถนะของโปรเซสเซอร์ AMD Opteron™ รุ่นใหม่ต่อสาธารณชน โปรเซสเซอร์ดังกล่าวมีโค้ดเนมว่า “Istanbul” (อิสตันบูล) เป็นโปรเซสเซอร์ 6 คอร์และผลิตด้วยเทคโนโลยี 45 นาโนเมตร มีกำหนดวางตลาดในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ และคาดว่าจะเป็นโปรเซสเซอร์ x86 6 คอร์เพียงรุ่นเดียวที่มีอยู่ในตลาด รองรับการทำงานบนเซิร์ฟเวอร์ระบบ 2-Socket, 4-Socket หรือสูงกว่านั้น
คุณสมบัติพิเศษต่างๆ มากมายของโปรเซสเซอร์ “Istanbul” ไม่ว่าจะเป็นการอัพเกรดระบบคอมพิวเตอร์จากโปรเซสเซอร์ 45nm Quad-Core AMD Opteron ไปเป็น “Istanbul” ได้ง่ายเพียงสับเปลี่ยนตัวโปรเซสเซอร์เท่านั้น โดยที่ไม่ต้องปรับอะไรเพิ่มเติม โปรเซสเซอร์ “Istanbul” จะใช้สถาปัตยกรรม Socket แบบเดียวกับโปรเซสเซอร์รุ่นก่อนหน้า รวมถึงปริมาณความร้อนที่เกิดขึ้นในระบบระหว่างทำงานด้วย นั่นหมายความว่าเราไม่ต้องไปแตะต้องใดๆ เลยกับระบบระบายความร้อนที่มีอยู่ แพลตฟอร์มของเอเอ็มดีมีจุดมุ่งหมายเพื่อช่วยลดเวลาในการพัฒนาระบบให้กับผู้ผลิตโออีเอ็มและผู้จัดหาโซลูชั่น ขณะที่ผู้ใช้ทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากความสามารถในการอัพเกรด
“เราได้เห็นตัวเลขสมรรถนะและสมรรถนะต่อวัตต์ที่น่าประทับใจในการทดสอบ ‘Istanbul’ ไปแล้ว เราคาดว่าผู้ผลิตโออีเอ็มและผู้จัดหาโซลูชั่นทั่วโลกจะเริ่มวางจำหน่ายระบบที่ใช้โปรเซสเซอร์ ‘Istanbul’ ในครึ่งหลังของปีนี้” มร. จอห์น ฟรูห์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ กลุ่มผลิตภัณฑ์เซิร์ฟเวอร์และเวิร์คสเตชั่น บริษัทเอเอ็มดี กล่าวหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
วันจันทร์ที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2552
อเมซอนให้สิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ เปิด-ปิดฟีเจอร์อ่านออกเสียงใน Kindle2
หวั่นฟีเจอร์อ่านออกเสียงในเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นาม Kindle2 รุ่นใหม่ล่าสุดละเมิดลิขสิทธิ์ผู้แต่งหนังสือ ล่าสุด อเมซอน (Amazon) สางปมความกังวลด้วยการตัดสินใจเปิดทางให้ผู้แต่งมีสิทธิ์เลือกได้ว่ายินยอมให้ฟีเจอร์อ่านออกเสียงทำงานกับบทความของตัวเองได้หรือไม่ แม้จะยืนยันว่าฟีเจอร์ดังกล่าวไม่มีทางผิดลิขสิทธิ์แน่นอนเนื่องจากไม่มีการทำซ้ำ และไม่มีการสร้างผลงานแตกแขนงออกมาอย่างเป็นชิ้นเป็นอัน
หลังจาก Kindle 2 เริ่มตีตลาดสหรัฐฯในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ สมาคมนักเขียนสหรัฐฯหรือ US Authors Guild ได้ออกมาประกาศเตือนว่า ฟีเจอร์อ่านออกเสียงใน Kindle2 อาจจะเป็นอันตรายต่ออุสหกรรมสิ่งพิมพ์ แถมยังมีการบอกเป็นนัยว่าทางกลุ่มอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเพื่อหาทางดำเนินมาตรการตามกฎหมายในอนาคตอย่างจริงจัง
อเมซอนนั้นยืนยันว่า ฟีเจอร์ text-to-speech สำหรับแปลงข้อความให้อยู่ในรูปเสียงใน Kindle 2 นั้นไม่เข้าข่ายผิดกฏหมาย เนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวไม่มีการคัดสำเนา ทำซ้ำ และไม่มีการมอบสิทธิ์ใดๆ โดยเชื่อว่าฟีเจอร์ดังกล่าวจะเป็นผลดีกับผู้ถือลิขสิทธิ์บทความ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคมีช่องทางในการรับข้อมูลบทความที่สะดวกสบายกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม อเมซอนตัดสินใจให้ผู้ถือลิขสิทธิ์หนังสือทุกรายสามารถกำหนดได้ว่าต้องการให้ฟีเจอร์อ่านออกเสียงใน Kindle 2 สามารถทำงานบนบทความของตัวเองหรือไม่ โดยในแถลงการณ์ของอเมซอนแสดงความเชื่อมั่นว่า ผู้ถือสิทธิ์ส่วนใหญ่จะยินดีใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว
"เราเริ่มทำงานด้านเทคนิกเพื่อปรับระบบให้ผู้แต่งหรือผู้พิมพ์หนังสือตัดสินใจเองแล้ว ระบบใหม่จะทำให้ผู้แต่งหรือผู้พิมพ์หนังสือสามารถตัดสินใจเลือกได้ด้วยตัวเองว่า มีความสนใจในการจำหน่ายหนังสือบนฟังก์ชันอ่านออกเสียงหรือไม่ ซึ่งเรามั่นใจว่า ส่วนใหญ่จะตัดสินใจไม่ยกเลิกฟังก์ชันนี้"
กลุ่ม Authors Guild นั้นแสดงความกังวลว่า ฟีเจอร์อ่านออกเสียงในอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของอเมซอนนั้นจะกระทบกับตลาดหนังสือเสียงหรือ audiobook ซึ่งอาจทำให้ตลาดดังกล่าวถูกกลืนหายไป ขณะที่อเมซอนออกมาแย้งว่า เมื่อผู้บริโภคซื้อหนังสือแล้ว ก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะอ่านหนังสือหรือฟังก็ได้
หลังจาก Kindle 2 เริ่มตีตลาดสหรัฐฯในช่วงกลางเดือนกุมภาพันธ์ สมาคมนักเขียนสหรัฐฯหรือ US Authors Guild ได้ออกมาประกาศเตือนว่า ฟีเจอร์อ่านออกเสียงใน Kindle2 อาจจะเป็นอันตรายต่ออุสหกรรมสิ่งพิมพ์ แถมยังมีการบอกเป็นนัยว่าทางกลุ่มอยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเพื่อหาทางดำเนินมาตรการตามกฎหมายในอนาคตอย่างจริงจัง
อเมซอนนั้นยืนยันว่า ฟีเจอร์ text-to-speech สำหรับแปลงข้อความให้อยู่ในรูปเสียงใน Kindle 2 นั้นไม่เข้าข่ายผิดกฏหมาย เนื่องจากฟีเจอร์ดังกล่าวไม่มีการคัดสำเนา ทำซ้ำ และไม่มีการมอบสิทธิ์ใดๆ โดยเชื่อว่าฟีเจอร์ดังกล่าวจะเป็นผลดีกับผู้ถือลิขสิทธิ์บทความ ซึ่งจะได้ประโยชน์จากการที่ผู้บริโภคมีช่องทางในการรับข้อมูลบทความที่สะดวกสบายกว่าเดิม
อย่างไรก็ตาม อเมซอนตัดสินใจให้ผู้ถือลิขสิทธิ์หนังสือทุกรายสามารถกำหนดได้ว่าต้องการให้ฟีเจอร์อ่านออกเสียงใน Kindle 2 สามารถทำงานบนบทความของตัวเองหรือไม่ โดยในแถลงการณ์ของอเมซอนแสดงความเชื่อมั่นว่า ผู้ถือสิทธิ์ส่วนใหญ่จะยินดีใช้งานฟีเจอร์ดังกล่าว
"เราเริ่มทำงานด้านเทคนิกเพื่อปรับระบบให้ผู้แต่งหรือผู้พิมพ์หนังสือตัดสินใจเองแล้ว ระบบใหม่จะทำให้ผู้แต่งหรือผู้พิมพ์หนังสือสามารถตัดสินใจเลือกได้ด้วยตัวเองว่า มีความสนใจในการจำหน่ายหนังสือบนฟังก์ชันอ่านออกเสียงหรือไม่ ซึ่งเรามั่นใจว่า ส่วนใหญ่จะตัดสินใจไม่ยกเลิกฟังก์ชันนี้"
กลุ่ม Authors Guild นั้นแสดงความกังวลว่า ฟีเจอร์อ่านออกเสียงในอุปกรณ์อ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ของอเมซอนนั้นจะกระทบกับตลาดหนังสือเสียงหรือ audiobook ซึ่งอาจทำให้ตลาดดังกล่าวถูกกลืนหายไป ขณะที่อเมซอนออกมาแย้งว่า เมื่อผู้บริโภคซื้อหนังสือแล้ว ก็มีสิทธิ์เต็มที่ที่จะอ่านหนังสือหรือฟังก็ได้
กูเกิลเปิดตัวแผนที่ดิจิตอลเวอร์ชันไทย
กูเกิล เปิดตัว Google Maps ประเทศไทย ด้วยการนำเสนอแผนที่เสมือนจริงของประเทศไทยที่ครบถ้วนสมบูรณ์ พร้อมรองรับการค้นหาข้อมูลทั่วประเทศ
พรทิพย์ กองชุน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย กูเกิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มการค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ในเวอร์ชันท้องถิ่น ที่มีความยืดหยุ่นและเอื้อต่อการทำงานร่วมกันแก่ผู้ใช้งาน พร้อมรองรับการทำงานร่วมกันอย่างยืดหยุ่น กูเกิลจึงได้เปิดตัว Google Maps ประเทศไทย (http://maps.google.co.th) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการค้นหาแบบใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ชาวไทยสามารถค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ออนไลน์ ภาพถ่ายดาวเทียม เส้นทางการขับรถ ที่อยู่ และรายชื่อองค์กรธุรกิจ บนเครื่องพีซีหรือโทรศัพท์มือถือ และเป็นภาษาไทย
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบเปิดกว้างนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้องค์กรธุรกิจ และนักพัฒนาในเมืองไทยสามารถแลกเปลี่ยนแผนที่และความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น เพื่อสร้างภาพรวมของประเทศไทยตามมุมมองและประสบการณ์ของคนไทย พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับถนนหนทาง ที่อยู่ ของบริษัทห้างร้านและองค์กรธุรกิจหลายแสนแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นได้อย่างสะดวกรวดเร็วและครบถ้วนสมบูรณ์
Google Maps จะแสดงชื่อสถานที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อให้ชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถสร้างข้อมูลและแบ่งปันให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเมืองไทย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของแผนที่ประเทศไทยที่ใช้งานง่ายและครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด
นอกจากการค้นหาพิกัดทางภูมิศาสตร์ในระดับท้องถิ่นแล้ว ข้อมูลและเครื่องมือบน Google Maps ประเทศไทย และเว็บไซต์ต่างๆ ยังผสานรวมอย่างกลมกลืนเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ชาวไทย องค์กรต่างๆ ในเมืองไทย เช่น HSBC (everydaydiningdelight.com), ไอซีเว็บ(bkkmenu.com), โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ , ไทยทิคเก็ตเมเจอร์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, แวร์ อิน ไทยแลนด์ และสเปซ ไมเนอร์ สนับสนุนการพัฒนา Google Maps เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งขององค์กรธุรกิจและสถานที่ที่น่าสนใจ ตรวจสอบกิจกรรมและภาพยนตร์ที่กำลังฉายในละแวกใกล้เคียง แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่เพื่อนชาวต่างชาติ ค้นหาร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ
ผู้บริหารกูเกิลกล่าวว่า กูเกิลมุ่งเน้นการจัดระเบียบข้อมูลของโลก เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ คน การเปิดตัว Google Maps ประเทศไทยครั้งนี้ เป็นอีกย่างก้าวที่สำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้ชาวไทยสามารถค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ตามที่ต้องการเป็นภาษาไทย โดยคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะเพื่อการทำงานหรือความบันเทิง Google Maps ประเทศไทย เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่รองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้
พรทิพย์ กองชุน ผู้จัดการฝ่ายการตลาดประจำประเทศไทย กูเกิล เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า ไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่พร้อมเปิดตัวแพลตฟอร์มการค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ในเวอร์ชันท้องถิ่น ที่มีความยืดหยุ่นและเอื้อต่อการทำงานร่วมกันแก่ผู้ใช้งาน พร้อมรองรับการทำงานร่วมกันอย่างยืดหยุ่น กูเกิลจึงได้เปิดตัว Google Maps ประเทศไทย (http://maps.google.co.th) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มการค้นหาแบบใหม่ที่จะช่วยให้ผู้ใช้ชาวไทยสามารถค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ เช่น แผนที่ออนไลน์ ภาพถ่ายดาวเทียม เส้นทางการขับรถ ที่อยู่ และรายชื่อองค์กรธุรกิจ บนเครื่องพีซีหรือโทรศัพท์มือถือ และเป็นภาษาไทย
นอกจากนี้ แพลตฟอร์มการทำงานร่วมกันแบบเปิดกว้างนี้ เปิดโอกาสให้ผู้ใช้องค์กรธุรกิจ และนักพัฒนาในเมืองไทยสามารถแลกเปลี่ยนแผนที่และความรู้เกี่ยวกับท้องถิ่น เพื่อสร้างภาพรวมของประเทศไทยตามมุมมองและประสบการณ์ของคนไทย พร้อมข้อมูลเกี่ยวกับถนนหนทาง ที่อยู่ ของบริษัทห้างร้านและองค์กรธุรกิจหลายแสนแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่นได้อย่างสะดวกรวดเร็วและครบถ้วนสมบูรณ์
Google Maps จะแสดงชื่อสถานที่เป็นภาษาไทยและภาษาอังกฤษ เพื่อให้ชาวไทยและชาวต่างชาติสามารถสร้างข้อมูลและแบ่งปันให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับเมืองไทย ซึ่งจะช่วยปรับปรุงคุณภาพของแผนที่ประเทศไทยที่ใช้งานง่ายและครบถ้วนสมบูรณ์มากที่สุด
นอกจากการค้นหาพิกัดทางภูมิศาสตร์ในระดับท้องถิ่นแล้ว ข้อมูลและเครื่องมือบน Google Maps ประเทศไทย และเว็บไซต์ต่างๆ ยังผสานรวมอย่างกลมกลืนเข้ากับชีวิตประจำวันของผู้ใช้ชาวไทย องค์กรต่างๆ ในเมืองไทย เช่น HSBC (everydaydiningdelight.com), ไอซีเว็บ(bkkmenu.com), โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ , ไทยทิคเก็ตเมเจอร์, การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, แวร์ อิน ไทยแลนด์ และสเปซ ไมเนอร์ สนับสนุนการพัฒนา Google Maps เพื่อให้ผู้ใช้สามารถค้นหาตำแหน่งขององค์กรธุรกิจและสถานที่ที่น่าสนใจ ตรวจสอบกิจกรรมและภาพยนตร์ที่กำลังฉายในละแวกใกล้เคียง แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวให้แก่เพื่อนชาวต่างชาติ ค้นหาร้านอาหารและร้านค้าต่างๆ
ผู้บริหารกูเกิลกล่าวว่า กูเกิลมุ่งเน้นการจัดระเบียบข้อมูลของโลก เพื่อให้สามารถเข้าถึงได้ง่ายและเป็นประโยชน์สำหรับทุกๆ คน การเปิดตัว Google Maps ประเทศไทยครั้งนี้ เป็นอีกย่างก้าวที่สำคัญในการช่วยให้ผู้ใช้ชาวไทยสามารถค้นหาข้อมูลทางภูมิศาสตร์ตามที่ต้องการเป็นภาษาไทย โดยคลิกเมาส์เพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น ไม่ว่าจะเพื่อการทำงานหรือความบันเทิง Google Maps ประเทศไทย เป็นแพลตฟอร์มแบบเปิดที่รองรับการทำงานร่วมกันได้อย่างยืดหยุ่นสำหรับผู้ใช้
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)