วันพฤหัสบดีที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เดลล์ส่ง Streak สู้ iPad

เดลล์เตรียมวางจำหน่าย Streak แท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ขนาด 5 นิ้ว ที่มาพร้อมช่องใส่เมมโมรีการ์ดในเดือนหน้า (มิ.ย. 53) มั่นใจ Streak ขึ้นแท่นคู่แข่งเบอร์หนึ่งของ iPad จากแอปเปิลแน่นอน

หน้าจอขนาด 5 นิ้วทำให้ Streak ดูเหมือนเป็นอุปกรณ์ลูกผสมระหว่างโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตคอมพิวเตอร์ โดยจะมีกล้องตัวหน้าสำหรับทำวิดีโอคอนเฟอเรนซ์ (Video conference) หรือวิดีอคอลล์ ซึ่งเดลล์คาดว่านี่จะเป็นฟีเจอร์หลักที่ช่วยให้ Streak สามารถแข่งขันกับ iPad ได้เข้มข้นยิ่งขึ้น

Streak มีหน้าจอขนาด 5 นิ้ว ความละเอียด 800x480 พิกเซล ใช้ซีพียู Snapdragon ความเร็ว 1GHz มีกล้องความละเอียด 5 ล้านพิกเซลพร้อม แฟลช LED และรอรับการเชื่อมต่อ 3G, ไวไฟ และบลูทูธ 2.1

Streak นั้นมีกำหนดการเปิดตัวในประเทศอังกฤษช่วงต้นเดือนมิถุนายนนี้ ผ่านผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ O2 และผู้ค้าปลีกอย่าง Carphone Warehouse โดยในขณะนี้ยังไม่มีการเปิดเผยราคาวางจำหน่ายที่แน่ชัด

เดลล์ถือเป็นผู้ผลิตรายแรกที่ส่งคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตตระกูลแอนดรอยด์มาต่อสู้กับ iPad ได้ก่อนใคร โดยStreak จะทำงานบนระบบปฏิบัติการ Android 2.0 และเดลล์ยืนยันว่าจะสามารถอัปเกรดเป็น Android 2.2 ได้ในอนาคต

สำหรับการเปิดตัว Streak นั้น นักวิเคราะห์หลายรายมองว่า นี่เป็นส่วนหนึ่งของแผนขยายธุรกิจอุปกรณ์พกพาที่จะช่วยเพิ่มยอดรายรับรวมให้เดลล์ หลังจากที่เดลล์ต้องตกอันดับเป็นผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่เป็นอันดับ 3 ของโลกเมื่อไม่นานมานี้

อย่างไรก็ตาม Will Stofega นักวิเคราะห์ของ IDC นั้นเชื่อว่า Streak จะสามารถขายได้ถึงล้านเครื่องในเวลาไม่นานเนื่องจากยอดสั่งจองที่คึกคัก แม้จะไม่มั่นใจว่าแอนดรอยด์จะสามารถต่อกรกับแพลตฟอร์มไอโฟนในตลาดคอมพิวเตอร์พกพาได้หรือไม่

"มันเป็นคอมพิวเตอร์แบบพกพา และโทรศัพท์มือถือ คุณสามารถใส่มันลงไปในกระเป๋าได้อย่างสบาย นอกจากนี้มันยังมีความน่าสนใจ และมีลูกเล่นมากมาย ในขณะนี้แอนดรอยด์ถือเป็นคู่แข่งคนสำคัญของไอโฟนในตลาดสมาร์ทโฟนก็จริง แต่ในตลาดคอมพิวเตอร์แท็บเล็ตนั้นเรายังไม่สามารถพูดได้เช่นนั้น"

เช่นเดียวกับ Charles Golvin นักวิเคราะห์จาก Forrester ที่เชื่อว่า Streak จะสามารถแข่งขันไอแพดได้ เนื่องจากเดลล์มีประสบการณ์ในการผลิตคอมพิวเตอร์มาเป็นเวลานาน เพียงแต่ยังขาดความเชี่ยวชาญในการผลิตซอฟต์แวร์สำหรับ Streak

ก่อนหน้านี้ Stephen Felice ผู้บริหารฝ่ายผลิตภัณฑ์คอนซูเมอร์ของเดลล์ เคยกล่าวในงาน Global Technology ที่เมืองซานฟานซิสโก เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมาว่า ถึงแม้ Streak จะเป็นที่สนใจในตลาดคอมซูมเมอร์ แต่เป้าหมายสำคัญในการผลิตคอมพิวเตอร์ของเดลล์ก็ยังเป็นการผลิตคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ คำกล่าวนี้แปลว่าเดลล์ตั้งใจออกแบบ Streak มาเพื่อการทำงานของนักธุรกิจ ซึ่งเชื่อว่าจะเป็นการปฏิวัติรูปแบบการทำงานนอกออฟฟิศในอนาคตของนักธุรกิจทั่วโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 พฤษภาคม 2553 19:23 น.

วันพุธที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ซีเกตคลอดฮาร์ดไดร์ฟแล็บท็อบใหม่"เร็วที่สุด"

ซีเกตส่ง Momentus XT เขย่าวงการหน่วยความจำฮาร์ดไดร์ฟสำหรับคอมพิวเตอร์พกพา จุดเด่นคือการเป็นฮาร์ดไดร์ฟความจุ 500GB ที่ประกาศความเร็วรอบ 7,200 rpm ก็จริง แต่สามารถทำงานได้เร็วกว่าไดร์ฟ 7,200 rpm ปกติถึง 80% เปิดตัวครั้งแรกในแล็บท็อบอัสซุส สนนราคาจำหน่ายแก่ผู้ผลิตหรือโออีเอ็มคือ 113 เหรียญสหรัฐ ราว 3,850 บาท

ซีเกต การันตีว่า Momentus XT คือไดร์ฟสำหรับแล็บท็อบที่มีความเร็วที่สุดในโลกขณะนี้ เพราะความเป็นไดร์ฟลูกผสมที่ใช้ทั้งเทคโนโลยีจานแม่เหล็กแบบหัวเข็ม (spinning-disk) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟดั้งเดิม และเทคโนโลยีฮาร์ดไดร์ฟแบบชิปหน่วยความจำ (solid-state) ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีฮาร์ดไดร์ฟยุคใหม่ที่ใช้เวลาอ่านเขียนข้อมูลเร็วกว่า และสามารถลดการผลาญพลังงานได้มากกว่า

Momentus XT ไม่ใช่ไดร์ฟลูกผสมสำหรับแล็บท็อบรุ่นแรกที่เริ่มวางตลาด เพราะซีเกตและซัมซุง เคยเปิดตัวโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่ใช้ไดร์ฟลูกผสมนี้ตั้งแต่ปี 2007 แต่กลับไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควรเนื่องจากตัวโน้ตบุ๊กยังไม่สามารถสร้างสถิติการประหยัดพลังงานและมีประสิทธิภาพสูงพอที่จะดึงดูดใจผู้บริโภค เมื่อเวลาผ่านไปแล้ว 3 ปี ซีเกตจึงเชื่อว่าปี 2010 คือเวลาแจ้งเกิดโน้ตบุ๊กไดร์ฟลูกผสมที่เหมาะสม เนื่องจากผู้ผลิตโน้ตบุ๊กทั้งอัสซุส เอชพี และเดลล์ ต่างมีเทคโนโลยีที่พร้อมจะเสริมจุดขายด้านประสิทธิภาพและพลังงานอย่างเต็มที่

ซีเกตคุยว่า Momentus XT สามารถทำงานได้เร็วกว่าไดร์ฟ 7200 rpm ดั้งเดิมถึง 80% ผลจากชิปเอสเอสดีไดร์ฟ (solid-state drive) ทำให้เครื่องสามารถเปิดการทำงานได้ในไม่กี่วินาที ภายในประกอบด้วยชิป SSD ขนาด 4GB ขณะเดียวกันก็ใช้ไดร์ฟ SATA ขนาด 2.5 นิ้วร่วมด้วย มาพร้อมแคชเมมโมรี่ DDR3 ขนาด 32MB

ซีเกตการันตีว่า ปัญหาไดร์เวอร์ของไดร์ฟลูกผสมถูกแก้ไขแล้วใน Momentus XT เนื่องจากเมื่อ 3 ปีที่แล้ว ไดร์ฟลูกผสมมีข้อจำกัดว่าจะต้องใช้งานกับไดร์ฟเวอร์ที่รองรับระบบปฏิบัติการวินโดวส์วิสต้า เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ ไดร์ฟลูกผสมสามารถทำงานได้บนระบบปฏิบัติการต่างค่ายหลากหลายแล้ว ทั้งแมคโอเอส , ลินุกซ์ รวมถึงวินโดวส์เซเว่น

สำหรับโน้ตบุ๊กรุ่นแรกที่จะมี Momentus XT เป็นตัวเสริมบารมี อัสซุสระบุว่าคือรุ่น Republic of Gamers G73Jh หรือที่เรียกกันว่า ROG G73JH รุ่นใหม่ซึ่งอัสซุสจะเปิดเปิดตัวเลือกให้ผู้ซื้ออัปเกรดได้ โดยจะมาพร้อมซีพียู Intel Core i7 720Qm ความเร็ว 1.60GHz, เมมโมรี่ DDR3 8GB เต็มที่กับงานกราฟิกด้วย ATI Radeon Mobility HD 5870 เชื่อว่าจะถูกใจคอเกมทั่วโลก

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 25 พฤษภาคม 2553 17:39 น.

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทหารมะกันรอใส่ 'Dick Tracy watch' นาฬิกาไฮเทคเอชพี

เอชพี (Hewlett-Packard) ซุ่มพัฒนา"นาฬิกาข้อมือยุคหน้า"เพื่อเสริมศักยภาพกองทัพสหรัฐฯให้เกรียงไกรยิ่งขึ้น ระบุจะใช้หน้าจอพลาสติกพิเศษทำให้ทหารหาญสามารถดูข้อมูลที่จำเป็น ทั้งแผนที่และข้อมูลยุทธวิธีในสมรภูมิรบที่ห่างไกลและกันดาร ประหยัดพลังงานเป็นยอดเพราะสามารถชาร์จไฟด้วยแสงอาทิตย์ เชื่อจะสามารถโชว์ต้นแบบนาฬิกาได้ภายในปีนี้

คาร์ล ทอสสิก (Carl Taussig) ผู้อำนวยการฝ่ายข้อมูลสถาบันวิจัยเอชพีแล็บส์ ในพาโลอัลโต แคลิฟอร์เนีย ให้สัมภาษณ์ว่าเอชพีให้เรียกชื่อนาฬิกาอัจฉริยะนี้ว่า "Dick Tracy watch" ตามการ์ตูนนักสืบชื่อดังยอดฮิตในช่วง 50 ปีก่อน ซึ่งมีนาฬิกาไฮเทคคู่ใจเป็นตัวช่วยในการปฏิบัติภารกิจ

ส่วนประกอบสำคัญที่จะทำให้นาฬิกาธรรมดากลายเป็นนาฬิกาไฮเทคได้คือหน้าจอที่สามารถแสดงผลข้อมูลได้โดยไม่สิ้นเปลืองแบตเตอรี่ เอชพีซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตเครื่องพิมพ์และคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของโลกจึงลงมือพัฒนาหน้าจอแสดงผลที่ทำจากพลาสติกอ่อนโค้งงอได้ แทนที่จะเป็นกระจกแบบปกติ ขณะเดียวกันก็พัฒนาให้ใช้งานง่ายและลดความต้องการกำลังไฟฟ้าลงให้ต่างจากอุปกรณ์ไฮเทคทั่วไป

"มันจะไม่แตก มีขนาดบาง และยืดหยุ่นโค้งงอได้" ทอสสิกกล่าว โดยอธิบายว่าจอพลาสติกโค้งงอได้ซึ่งจะถูกติดตั้งในนาฬิกาเพื่อพลทหารสหรัฐฯ จะใช้เทคโนโลยีชาร์จพลังแสงอาทิตย์ของบริษัทนาม PowerFilm ซึ่งเป็นผู้พัฒนาเต้นท์พลังงานแสงอาทิตย์แก่กองทัพสหรัฐฯในขณะนี้

*** เทรนด์แรง"จอพลาสติก"

ผู้บริหารเอชพีมั่นใจว่าหน้าจอพลาสติกโค้งงอได้คือเทรนด์แรงแห่งอนาคต เชื่อว่าอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับผู้บริโภคทุกชนิดในอนาคตจะหันมาใช้จอพลาสติกแทนจอแก้วในไม่กี่ปีนับจากนี้ เนื่องจากจอพลาสติกนั้นมีน้ำหนักเบากว่า ใช้พลังงานน้อยกว่า ถูกทำลายได้ยากกว่า แถมยังประหยัดวัตถุดิบกว่าจอแก้วถึง 40 เท่า

"เอชพีมีแผนจะนำหน้าจอพลาสติกมาใช้กับคอมพิวเตอร์พกพา เครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ เช่นเดียวกับผู้ผลิตสินค้าไอทีรายอื่น ที่กำลังพัฒนาเทคโนโลยีลักษณะนี้เหมือนกัน"

ตรงกับคำให้สัมภาษณ์ของศรีราม เปรูเว็มบา (Sriram Peruvemba) รองประธานฝ่ายการตลาดของบริษัท E Ink ผู้ผลิตหน้าจอประหยัดพลังงานสำหรับเครื่องอ่านอีบุ๊กหลายยี่ห้อรวมถึงอเมซอน คินเดิล ที่เชื่อว่าจอพลาสติกงอได้จะมีอิทธิพลในวงการสินค้าไอทีแน่นอน

"หน้าจอพลาสติกโค้งงอได้นั้นมีอยู่ในตลาดปัจจุบันแล้วมากกว่า 20 ล้านชิ้น แต่ยังมีขนาดเล็กสำหรับนำไปประกอบในนาฬิกาข้อมือ เมมโมรี่สติค และฉลากบอกราคาบนชั้นวางสินค้าในร้านค้าชั้นนำเท่านั้น" โดยเปรูเว็มบาเชื่อว่าหน้าจอพลาสติกโค้งงอได้จะถูกพัฒนาให้มีขนาดใหญ่ขึ้นได้สำเร็จในไม่กี่ปีนับจากนี้ เพื่อใช้งานในคอมพิวเตอร์พกพาและเครื่องอ่านอีบุ๊ก

นอกจากนาฬิกาอัจฉริยะและสินค้าไอที ทอสสิกเชื่อว่าจอพลาสติกนี้จะสามารถพัฒนาเป็นโซลูชันเพื่อการพาณิชย์ยุคหน้าได้ด้วย เช่น ร้านค้าปลีกอาจใช้จอพลาสติกนี้เป็นป้ายราคาสินค้าประเภทผักและผลไม้ในอนาคต ทำให้ผู้จัดการร้านจะสามารถเปลี่ยนแปลงราคาสินค้าได้เร็วกว่าการเปลี่ยนป้ายกระดาษ และไม่ต้องกังวลว่าหน้าจอนี้จะสิ้นเปลืองพลังงานไฟฟ้า

รายงานระบุว่า ศูนย์วิจัยเอชพีแล็บส์นั้นพัฒนากระบวนการพิมพ์หรือการผลิตส่วนประกอบหน้าจอพลาสติกมานานกว่า 10 ปี โดยใช้พื้นฐานเทคโนโลยีวาดวงจรในผลิตภัณฑ์หน่วยความจำ เคลือบพลาสติกด้วยโลหะบนความบางเพียง 50 ไมครอน (เทียบเท่ากับความหนาครึ่งหนึ่งของเส้นผมมนุษย์) ภายในประกอบด้วยทรานซิสเตอร์หลายตัวเพื่อการประมวลผลจนนำไปสู่การแสดงผลที่คมชัด ซึ่งทั้งหมดเอชพีเชื่อว่ายังไม่มีผู้ผลิตรายใดสามารถทำได้

***ปีนี้คลอดต้นแบบ

เอชพีเชื่อว่านาฬิกาต้นแบบพร้อมหน้าจอพลาสติกนี้จะเริ่มทดลองใช้งานจริงได้ในปีนี้ โดยผู้บริหารเอชพีระบุว่ากองทัพสหรัฐฯวางแผนใช้นาฬิกาไฮเทครุ่นต้นแบบนี้กับพลทหารเฉพาะกลุ่มก่อนจะขยายไปทั่วทุกนาย เพื่อประเมินผลดีผลเสียที่ทหารอเมริกันจะได้รับหากใช้งานอุปกรณ์เทคโนโลยีที่ยุ่งยากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่าทหารจะใช้งานนาฬิกาไฮเทคในสมรภูมิอย่างไร โดยรายงานจากซีเอ็นเอ็นระบุว่าโฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯปฏิเสธว่าไม่ทราบเรื่องโครงการดังกล่าว

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ค่ายไอทีมีแนวคิดพัฒนานาฬิกาอัจฉริยะของนักสืบ Dick Tracy ปี 2546 บริษัทนาฬิกาเชื่อดังอย่างฟอสซิล ได้จับมือกับไมโครซอฟท์และปาล์มพัฒนานาฬิกาข้อมือพีดีเอที่สามารถทำงานได้ทุกอย่างเหมือนเครื่องปาล์ม สามารถรับข้อมูลเช่น ราคาหุ้น ผลกีฬา และสภาพอากาศผ่านคลื่นวิทยุ ซึ่งเป็นไปตามนาฬิกาข้อมือรูปทรงเพรียวที่สามารถใช้เป็นโทรศัพท์ติดต่อได้ของนักสืบ Dick Tracy การ์ตูนอมตะซึ่งแจ้งเกิดในปี 1946

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2553 19:02 น.

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รัฐบาลยืนยัน ไม่ได้บล็อกเฟสบุ๊ก

เป็นเรื่องเมื่อการใช้งานเฟสบุ๊กในค่ำวันที่ 19 พ.ค. ซึ่งเป็นวันประกาศเคอร์ฟิววันแรกของรัฐบาลไทยเกิดขัดข้อง ล่าช้า และผู้ใช้บางรายพบข้อความชี้แจงการระงับให้บริการในนาม ศอฉ. ด้วย ล่าสุด (20 พ.ค.) เฟสบุ๊กสามารถใช้งานได้ลื่นไหลตามปกติแล้ว ท่ามกลางคำแถลงจากนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งระบุในทวิตเตอร์ว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายปิดกั้นใด ๆ ตามข่าวลือ

"ขอยืนยันว่ารัฐบาลไม่มีนโยบายปิดกั้น social network ตามที่มีข่าวลือกัน" ตามข้อความที่ @SatitTrang หรือนายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส่งข้อความชี้แจงผ่านทวิตเตอร์ เมื่อวันที่ 19 พ.ค. ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม ข้อความทวีตจาก @SatitTrang นี้เกิดขึ้นก่อนภาวะการใช้งานเฟสบุ๊กขัดข้องในช่วงเวลา 21.00 น.-23.00 น. ซึ่งผู้ใช้บางรายระบุว่าพบข้อความขอระงับให้บริการโดย ศอฉ. ขณะที่บางรายใช้งานเฟสบุ๊กได้แต่ต้องใช้เวลารอนานกว่าปกติ จนปรากฏเป็นข้อความต่อต้านการปิดกั้นที่ส่งต่ออย่างรวดเร็วบนเครือข่ายสังคม เนื่องจากทุกคนมองไม่เห็นประโยชน์ของการปิดกั้นข่าวสารในสถานการณ์ขับคันที่ประเทศไทยกำลังเผชิญ

ต้องยอมรับว่าการบล็อกเฟสบุ๊กนั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เช่น จีน ประเทศคอมมิวนิสต์ที่บล็อกไม่ให้คอมพิวเตอร์ในเขตจีนแผ่นดินใหญ่เปิดใช้งานเครือข่ายสังคมยอดฮิตอย่างเฟสบุ๊ก โดยอ้างว่าเพื่อป้องกันการปลุกระดมที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของประเทศ

ปากีสถานคือประกาศล่าสุดที่ประกาศบล็อกเฟสบุ๊กอย่างเป็นทางการ แต่เป็นการบล็อกเฉพาะเพจเดียวซึ่งก่อกวนความรู้สึกของผู้นับถือศาสนาอิสลามด้วยการเชิญชวนให้ผู้ใช้ร่วมส่งภาพวาดของ"นบีมุฮัมมัด"พระศาสดาของศาสนาอิสลาม เพื่อร่วมประกวดชิงรางวัล

สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการดูหมิ่นและปั่นป่วนศาสนาอิสลามเนื่องจากผิดกฏของศาสนาที่ห้ามไม่ให้มีการวาดภาพหรือหล่อรูปจำลองใดๆ ซึ่งก่อนหน้านี้ ปากีสถานซึ่งเป็นประเทศที่มีประชากรมุสลิมมากเป็นอันดับ 2 ของโลก เคยร่วมประท้วงการ์ตูนล้อเลียนพระนบีมุฮัมมัดที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เดนมาร์กในปี 2005 อย่างจริงจังด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2553 10:56 น.

กูเกิลติดอาวุธ"โครม"ด้วยแอปสโตร์

กูเกิล (Google) ประกาศแผนเปิดแอปสโตร์หรือร้านดาวน์โหลดแอปพลิเคชันออนไลน์ (Web applications store) ของตัวเองภายในปีนี้เพื่อเปิดทางสะดวกให้ชาวเน็ตสามารถค้นหาและตั้งโปรแกรมในเบราวเซอร์โครม (Chrome) ได้สะดวกและถูกใจกว่าเดิม

กูเกิลนั้นโชว์ตัวร้านออนไลน์ในชื่อ Chrome Web Store ต่อหน้านักพัฒนาที่เข้าร่วมงานประชุม Google I|O เมื่อวันพุธที่ 19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โดยสาธิตแนวคิดนี้บนคอมพิวเตอร์แล็ปท็อปรุ่นจิ๋วราคาประหยัดหรือเน็ตบุ๊ก (netbook) ซึ่งมาพร้อมเบราว์เซอร์ Chrome และระบบปฏิบัติการ Chrome OS ตัวเครื่องไม่มีฮาร์ดไดร์ฟและต้องเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตทุกครั้งที่มีการรันแอปพลิเคชัน สื่ออเมริกันเชื่อว่าเน็ตบุ๊กระบบปฏิบัติการโครมโอเอสนี้จะเปิดตลาดทันช่วงเทศกาลจับจ่ายปลายปีนี้

สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ชาวเน็ตจะไม่ต้องคลิกลิงก์ไปที่ Download.com หรือแหล่งโหลดซอฟต์แวร์อื่นๆ แต่สามารถค้นหาแอปพลิเคชัน ดาวน์โหลด ติดตั้ง และชำระเงินได้ผ่านบริการ Chrome Web Store เลย หลักการทำงานไม่ต่างจากร้าน App Store ของแอปเปิล หรือ Android Marketplace ของกูเกิลเอง

บนเวที กูเกิลไม่ได้ระบุกำหนดการเปิดร้าน Chrome Web Store ที่แน่นอน ให้ข้อมูลเพียงว่าผู้ใช้เบราว์เซอร์ Chrome มากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลกจะสามารถเข้าสู่ร้านแอปพลิเคชันนี้ได้ก่อนช่วงปลายปีนี้

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่กูเกิลหันมาเปิดร้านแอปพลิเคชันสโตรแบบเดียวกับที่แอปเปิลทำ โดยปัจจุบัน กูเกิลเปิดร้าน Android Marketplace ให้ผู้ใช้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Andriod) จากหลายค่ายผู้ผลิตสามารถเลือกซื้อหาโปรแกรมบนสมาร์ทโฟนได้อย่างเสรี แต่จุดเด่นของ Chrome Web Store คือการไม่ได้เป็นเว็บไซต์ที่สามารถเปิดบนเบราว์เซอร์ใดก็ได้ แต่จะเป็นเพจที่สร้างมาเพื่อให้บริการบนเบราว์เซอร์ Chrome และระบบปฏิบัติการ Chrome OS เท่านั้น

ระยะแรก แอปพลิเคชันที่จะให้บริการใน Chrome Web Store จะเป็นแอปพลิเคชันที่มาจากแล็บส์ซึ่งกูเกิลพัฒนาขึ้นเอง และโปรแกรมที่สร้างขึ้นจากเทคโนโลยี HTML5, Flash ฯลฯ ซึ่งสามารถทำงานบนเบราว์เซอร์อื่นๆได้ โดยในงาน กูเกิลสาธิตโปรแกรมเครือข่ายสังคมอย่าง TweetDeck, เกมอย่าง Lego Star Wars, Plants vs. Zombies รวมถึงแอปพลิเคชันอื่นๆอย่าง Sports Illustrated

น่าเสียดายที่กูเกิลยังไม่ให้รายละเอียดเรื่องการชำระเงินแอปพลิเคชัน ทำให้ทุกคนลุ้นกันว่า Google Checkout บริการชำระเงินของกูเกิลคือหมากตาสำคัญที่กูเกิลเตรียมไว้เพื่อรับชำระเงินค่าแอปพลิเคชันหรือไม่ ซึ่งต้องอดใจรอข้อมูลเต็มซึ่งคาดว่าจะทยอยเป็นข่าวตลอดปีนี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2553 14:55 น.

ไมโครซอฟท์ เตรียมปรับโฉมใหม่ให้ฮอตเมล

ไมโครซอฟท์เตรียมปรับโฉมใหม่ให้ฮอตเมล (Hotmail) โดยหวังจะให้บริการฟรีอีเมลของตนมีความแข็งแกร่งกว่าคู่แข่งอย่างยาฮู (Yahoo) และจีเมล (Gmail)

การปรับปรุงการให้บริการในครั้งนี้ คาดว่าจะเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม หรือสิงหาคม โดยจะมีการจัดประเภทของข้อความที่เข้ามาในกล่องข้อความให้เป็นหมวดหมู่มากยิ่งขึ้น โดยคัดจากรายชื่อผู้ติดต่อและการใช้งานเครือข่ายสังคม นอกจากนี้ยังสามารถโชว์รูปภาพ วิดีโอ และไฟล์ต่างๆ ที่ถูกส่งเข้ามาในอีเมลโดยไม่ต้องเปิดไฟล์เอกสาร หรือคลิกลิงก์ที่ให้มา

สำหรับความสามารถใหม่ที่เพิ่มเข้ามา จะช่วยลดความยุ่งยากในการส่งไฟล์ภาพ, วิดีโอ และไฟล์เอกสารไปยังอีเมลผู้รับ ซึ่งจะช่วยให้ง่ายต่อการโอนถ่ายข้อมูลอีเมลบนโทรศัพท์มือถือ รวมถึงจะช่วยประหยัดเวลาในการรับ-ส่งอีเมลให้กับผู้ใช้งาน และทำให้ผู้ใช้งานสามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ ในอีเมลได้ง่าย และรวดเร็วยิ่งขึ้น

คริส โจน ผู้บริหารไมโครซอฟท์ กล่าวว่า การเปลี่ยนแปลงของฮอตเมลในครั้งนี้ ถือเป็นการยกเครื่องครั้งใหญ่ที่สุด ตั้งแต่ไมโครซอฟท์ซื้อบริการฮอตเมลมา 12 ปี ซึ่งไมโครซอฟท์ระบุว่าที่ผ่านมา ฮอตเมลยังทำงานได้ไม่ดีเท่าที่มันจะสามารถทำได้

แม้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะดูน้อยเกินไป แต่ "ฮอตเมล" ก็ยังเป็นผู้ให้บริการฟรีอีเมลที่มียอดผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก โดยมีผู้ใช้บริการ 360 ล้านราย ตามที่บริษัทวิจัย comScore ระบุไว้ ในส่วนของ "ยาฮู" ซึ่งมีผู้ใช้บริการมากเป็นอันดับ 2 ของโลกคิดเป็น 284 ล้านราย และอันดับ 3 ตกเป็นของ "จีเมล" จากกูเกิลที่มีผู้ใช้บริการ 173 ล้านราย

ตามรายงานของ comScore ระบุว่าในสหรัฐอเมริกาฮอตเมลยังมียอดผู้ใช้บริการเป็นอันดับ 2 รองจากยาฮู โดยยาฮูมีผู้ใช้บริการ 95 ล้านราย ฮอตเมลมียอดผู้ใช้ 47 ล้านราย และจีเมลจากกูเกิลมีผู้ใช้บริการ 43 ล้านราย จากจุดนี้นักสังเกตุการมองว่าการเปลี่ยนแปลงของฮอตเมลจะทำให้ไมโครซอฟท์สามารถโค่นล้มตำแหน่งเบอร์หนึ่งบริการฟรีอีเมลในสหรัฐอเมริกาจากยาฮูได้

การปรับปรุงหน้าเว็บใหม่ของฮอตเมลจะช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นรูปภาพ และวิดีโอที่ส่งเข้าไปในอีเมลได้ง่ายขึ้น ไมโครซอฟ์คาดว่าฟีเจอร์นี้จะเป็นที่นิยมมาก เนื่องจาก 55 เปอร์เซ็นของพื้นที่เก็บข้อมูลฮอตเมล ถูกใช้เป็นที่เก็บไฟล์รูปภาพ

เทคโนโลยีใหม่นี้จะตรวจสอบเมื่อมีอีเมลที่แนบไฟล์ภาพมา และจะย่อรูปภาพไปไว้ที่ด้านบนของข้อความ รวมถึงการตรวจสอบลิงก์เว็บไซด์แชร์ภาพอย่าง Flickr และ SmugMug หรือเว็บไซด์แชร์วิดีโออย่าง YouTube และ Hulu

ในส่วนของการเปลี่ยนแปลงอื่นๆ ไมโครซอฟท์ได้มีการออกแบบรูปแบบการส่งไฟล์ภาพ วิดีโอ และเว็บคอนเทนต์ต่างๆ ให้มีความง่ายมากยิ่งขึ้น, มีอินเสิรช บาร์ (insert bar) ตัวใหม่ที่อนุญาติให้ผู้ใช้งานสามารถแนบไฟล์ได้มากถึง 10 กิกะไบต์ (สามารถส่งไฟล์รูปขนาด 50MB ได้มากถึง 200รูป) โดยการอัปโหลดไปยัง Skydrive หรือพื้นที่เก็บข้อมูลออนไลน์ ที่เปิดให้ผู้รับอีเมลเข้าไปดูได้เท่านั้น

วิดีโอ และข้อมูลต่างๆ ในอินเทอร์เน็ตสามารถพบได้ในพาแนลใหม่ ที่จะเชื่อมต่อกับฮอตเมลไปยังบริการเสิร์ชเอนจินของไมโครซอฟท์ (Bing) ซึ่งข้อมูลที่ได้จากการค้นหาใน Bing สามารถใส่เข้าไปในอีเมล โดยการคลิกเมาส์ ผู้รับอีเมลจะสามารถมองเห็นวิดีโอ และไฟล์ต่างๆ ได้ โดยไม่ต้องคลิกลิงก์ที่แนบมา

สำหรับการปรับโฉมของฮอตเมลในครั้งนี้ ไมโครซอฟท์จะพยายามเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งานโดยการเพิ่ม "https" ก่อนจะพิมพ์ที่อยู่เว็บไซด์ เพื่อให้ลดความเสี่ยงในการถูกโจรกรรมข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 พฤษภาคม 2553 12:38 น.

Seagate เตรียมเปิดตลาดฮาร์ดไดร์ฟความจุ 3 เทราไบต์

ถึงแม้ช่วงหลัง Seagate จะถูกคู่แข่งในอุตสาหกรรมฮาร์ดไดร์ฟแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดไปบ้าง แต่ก็ดูเหมือนสถานการณ์ต่างๆ จะไม่ทำให้บริษัทผู้อยู่คู่กับจานแม่เหล็กมาช้านานได้เกรงกลัวอะไรเลย เพราะล่าสุดทาง Seagate Technologies ได้ออกมาประกาศเตรียมพร้อมเปิดตัวฮาร์ดไดร์ฟความจุสูง 3 เทราไบต์แล้ว

โดยฮาร์ดไดร์ฟรุ่นดังกล่าว ทาง Seagate ได้ออกมายืนยันว่าจะพร้อมเปิดตัวและวางจำหน่ายภายหลังปี 2553 อีกทั้งทาง Seagate ยังให้คำแนะนำสำหรับผู้คิดจะเปลี่ยนฮาร์ดไดร์ฟเป็นรุ่นดังกล่าวว่า "สำหรับการใช้งานฮาร์ดไดร์ฟขนาด 3 เทระไบต์จำเป็นต้องทำงานผ่านระบบปฏิบัติการณ์ Windows Vista, Windows 7 แบบ 64 bit Version และ Linux บางเวอร์ชันเท่านั้น อีกทั้งผู้ใช้ยังจำเป็นต้องอัพเดตระบบ Bios (สำหรับเมนบอร์ดรุ่นเก่า) ด้วย เพราะเนื่องจากฮาร์ดไดร์ฟรุ่นดังกล่าวจะมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนของ LBA (Logical Block Addressing) จาก 512byte เป็น 4,096byte เพื่อรองรับกับระบบการทำงานที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งถ้าผู้ใช้รันฮาร์ดไดร์ฟผ่านระบบปฏิบัติการณ์ Windows XP หรือเครื่องที่ใช้มี BIOS เป็นรุ่นเก่า ตัวเครื่องจะไม่สามารถมองเห็นความจุของฮาร์ดไดร์ฟได้เต็ม 3 เทระไบต์ แต่จะมองห็นได้เพียง 2.1 เทระไบต์เท่านั้น เนื่องจากระบบ Bios รวมถึง Windows XP จะมองค่า LBA ได้แค่แบบเก่า (512byte) ซึ่งมีอายุใช้งานเกือบ 30 ปีมาแล้ว

เพราะฉะนั้นสำหรับกลุ่มเป้าหมายของฮาร์ดไดร์ฟความจุสูงนี้ ทาง Seagate ได้กล่าวเสริมว่า จะเน้นจับกลุ่มตลาดระดับองค์กร, เซิฟเวอร์ขนาดใหญ่ และกลุ่มคนที่เน้นการใช้งานฮาร์ดไดร์ฟเพื่อเก็บข้อมูลจำนวนมากมากกว่าตลาดระดับ Consumer ที่ตอนนี้ยังไม่เปิดกว้างพอสำหรับเทคโนโลยีที่เข้ามาใหม่นี้

และสุดท้ายทาง Seagate ยังได้กล่าวทิ้งท้ายข้อมูลสำคัญสำหรับผู้ใช้ Consumer ที่ต้องการใช้งานฮาร์ดไดร์ฟตัวนี้ว่า ในความจริงแล้วทุกคนก็สามารถใช้ฮาร์ดไดร์ฟความจุสูงได้ เพียงแต่สิ่งที่ฮาร์ดไดร์ฟตัวนี้ต้องการ นอกจากระบบคอมพิวเตอร์ของคุณจะต้องใช้ระบบปฏิบัติการณ์ Windows Vista, Windows 7 แบบ 64-bit แล้ว ในเรื่องของ Bios ก็จำเป็นต้องรองรับระบบ UEFI (Unified Extensible Firmware Interface) ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักของการ Startup ฮาร์ดไดร์ฟรุ่นใหม่นี้ด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 พฤษภาคม 2553 13:13 น.

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ถึงเวลารัฐบาลไทยจัดระเบียบสาวกเฟสบุ๊ก?

เวลานี้ ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีอัตราการเติบโตของผู้ใช้เฟสบุ๊ก (Facebook) รวดเร็วที่สุดอันดับ 2 ของโลก ชนะประเทศอื่นๆในแถบอาเซียน แต่ถามว่าในบรรดาชาวเฟสบุ๊กนับล้านของไทยที่เพลิดเพลินกับการอัปโหลดรูปภาพและข้อความคอมเมนท์โต้ตอบในหมู่เพื่อน จะมีสักกี่คนที่รับรู้ว่าจะต้องเล่นเฟสบุ๊กอย่างไรจึงจะไม่ต้องปวดหัวกับพิษภัยที่อาจตามมา ซึ่งในต่างประเทศเคยมีกรณีแล้วว่า เหยื่อฆาตกรรมรายหนึ่งถูกคร่าชีวิตสำเร็จเพราะเฟสบุ๊กเป็นเหตุ

เมื่อคำตอบคือ "น้อยมาก" ผู้ที่ถูกมองว่าควรจะต้องรับหน้าสางปมนี้อย่างจริงจังก็คือรัฐบาล

นี่ไม่ใช่การโยนภาระหน้าที่ให้รัฐบาลแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย เพราะในประเทศใหญ่ๆอย่างสหรัฐฯ หรือสหราชอาณาจักรฯ นั้นต่างมีรัฐบาลเป็นแม่งานรณรงค์อย่างเป็นขั้นตอนและจริงจัง เนื่องจากฝรั่งนั้นมองว่า หากจัดระเบียบความปลอดภัยบนเครือข่ายสังคมได้ ปัญหาความมั่นคงของชาติก็จะหมดไปด้วย

หลายคนแย้งว่า เฟสบุ๊กที่พวกเราโพสต์ข้อมูลส่วนตัวแบบไก่กาฮาเฮมันไปเกี่ยวอะไรกับความมั่นคงระดับชาติ ตรงนี้อาจารย์ปริญญา หอมเอนก หัวเรือใหญ่สมาคมความมั่นคงปลอดภัยระบบสารสนเทศหรือ Thailand Information Security Association (TISA) ไขข้อสงสัยว่า หากรัฐบาลไทยตื่นตัวและมีมาตรการกำกับดูแลความปลอดภัยของการใช้งานเครือข่ายสังคมอย่างจริงจัง รัฐบาลจะสามารถแก้ไขปัญหาคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ และฆ่าตัดตอนการปล่อยข่าวลวงทางทหารได้

อาจารย์ยกตัวอย่างว่า ความไม่รู้ของชาวออนไลน์ทั่วโลกทำให้เฟสบุ๊กกลายเป็นแหล่งข้อมูลชั้นเยี่ยมของแฮกเกอร์จอมขโมยตัวตนในขณะนี้ วิธีการคือแฮกเกอร์จะเข้าไปศึกษาข้อมูลประวัติส่วนตัวของเหยื่อในเฟสบุ๊กหรือเครือข่ายสังคมค่ายอื่นๆ จากนั้นจึงใช้ข้อมูลที่ได้มาในการตอบคำถามซึ่งเหยื่อตั้งไว้กรณีลืมรหัสผ่าน ทำให้ผู้ที่ตั้งคำถามง่ายๆประเภท ชื่อโรงเรียนระดับมัธยมศึกษา หรือชื่อกลางบิดรมารดาถูกสวมรอยว่าลืมรหัสผ่านและถูกขโมยรหัสผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ซึ่งแฮกเกอร์สามารถปู้ยี่ปู้ยำตัวตนของเหยื่อได้ด้วยรหัสผ่านที่ได้มา เช่นการสวมรอยเข้าไปโพสต์ข้อความหมิ่นฯ หรือการปล่อยข่าวลวงที่สร้างความปั่นป่วน

อาจารย์บอกเลยว่ารัฐบาลควรเข้ามารีเสิร์ชหรือวิจัยคนไทยที่เล่นเฟสบุ๊กอย่างเป็นเรื่องเป็นราว แล้วจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมารับผิดชอบแบบในมาเลเซีย สิงคโปร์ หรือประเทศอื่นๆในอาเซียนที่ภาครัฐตื่นตัวและเตรียมบุคลากรระดับด็อกเตอร์พร้อมเงินทุนไว้เรียบร้อยแล้ว เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นและให้ความรู้แก่ประชาชน ถึงสิ่งที่ควรและไม่ควรทำบนเฟสบุ๊กหรือเครือข่ายสังคมค่ายใดก็ตาม

"คนใช้เครือข่ายสังคมในไทยยังมีความรู้เรื่องนี้ระดับเบบี๋มาก ถ้าเทียบกับแคมเปญ"ให้เหล้าเท่ากับแช่ง"ที่สสส.เคยทำมา เชื่อเด็กไทย 9 ใน 10 ไม่รู้ถึงโทษในเฟสบุ๊ก มันไม่มีสอนในปฐมนิเทศแบบเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งน่าเป็นห่วง"

ความน่าเป็นห่วงของเด็กวัยรุ่นสาวกเครือข่ายสังคมทั่วโลกที่เกิดขึ้น ความไม่รู้ถึงโอกาสถูกติดตามและถูกคุกคามในโลกความจริง เพียงแค่รูปถ่ายหนึ่งใบที่โพสต์เข้าไปอวดเพื่อนก็สามารถเป็นข้อมูลติดตามตัวได้ง่ายดาย เช่น รูปถ่ายที่มีชื่ออพาร์ทเมนท์ หรือเลขที่บ้านปรากฏอยู่ ขณะที่อีเมลแอดเดรสธรรมดา ก็สามารถใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการค้นหาเบอร์โทรศัพท์บนโลกออนไลน์ได้

"ในสหรัฐฯ นั้นมองว่าเรื่องความปลอดภัยบนเครือข่ายสังคมเป็น Culture หรือวัฒนธรรมที่ต้องแก้ไข เช่นเดียวกับในอังกฤษที่เค้ามองว่าต้องให้ความรู้พลเมืองที่เป็นเจเนอเรชัน Y หรือพวกที่ใจร้อนคลิกเร็วโดยไม่ระวังภัยที่อาจเกิดขึ้น ของเราเองก็ควรทำให้คนไทยระวังตัวเรื่องขโมยตัวตน ซึ่งหากถูกแอบอ้างก็จะมีความผิดได้ ต้องให้เด็กไทยรู้เป็นเรื่องเป็นราวว่ามันเป็นดาบ 2 คม ไม่ใช่ไม่ดีแต่ควรเล่นอย่างไรให้เกิดประโยชน์และปลอดภัย ทำไมต้องจำกัดเฟสบุ๊ก แต่ไม่ต้องจำกัดทวิตเตอร์"

อาจารย์ย้ำว่าความปลอดภัยบนเครือข่ายสังคมนั้นเป็นส่วนหนึ่งของการรักษาความปลอดภัยด้านข้อมูลเท่านั้น ซึ่งหน่วยงานบริษัทองค์กรใหญ่ในประเทศไทยเริ่มให้ความสำคัญแล้วในขณะนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกฏหมายใหม่ที่ต้องการให้หน่วยงานเอกชนและภาครัฐให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของข้อมูลยิ่งขึ้น ได้แก่ มาตรา 25 และมาตรา 35 ในพ.ร.บ.ธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ 2535 ซึ่งเชื่อว่าจะประกาศใช้ได้ในปีนี้หากรัฐบาลนิ่ง โดยเนื้อหามาตรา 25 นั้นจะเน้นให้ทุกองค์กรบริษัทยึดแผนการรักษาความปลอดภัยของระบบประมวลผลข้อมูลตามมาตรฐาน ISO 27001 ขณะที่มาตรา 35 จะเน้นให้หน่วยงานรัฐให้ความสำคัญกับการให้ความรู้บุคลากร โดยกำหนดให้องค์กรต้องจัดอบรมด้านความปลอดภัยข้อมูลอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง

อาจารย์ปริญญาให้ความเห็นทั้งหมดนี้ในงานเปิดตัวหนังสือ "360 IT Security เรื่องที่คนไอทีต้องรู้" โดยอาจารย์จะจัดงานสัมมนา SNS Con 2010 (Socail Networking Security Conference) เพื่อให้ความรู้ด้านความปลอดภัยเครือข่ายสังคมแก่องค์กรธุรกิจ ซึ่งจะจัดขึ้นในวันที่ 21 ก.ค.นี้ รายละเอียดเพิ่มเติมที่ www.acisonline.net

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 พฤษภาคม 2553 22:32 น.

อินเทลเตรียมเข็น Atom แบบ Dual Core ลงตลาดเน็ตบุ๊ก

หลังจากที่อินเทลปล่อยให้ Atom รุ่น Dual Core ไปโลดแล่นในตลาดคอมพิวเตอร์แบบ Desktop แล้ว ล่าสุดมีรายงานข่าวจากอินเทล คอร์ปอเรชั่นว่า ตอนนี้ทางอินเทลมีแผนจะปล่อยซีพียูตระกูล Atom แบบ Dual Core เพื่อตอบสนองกลุ่มผู้ใช้เน็ตบุ๊กที่นับวันจะซื้อมาเพื่อใช้งานควบคู่กับการทำ Home Entertaiment มากยิ่งขึ้น โดยกำหนดการเปิดตัวและวางตลาดอย่างเป็นทางการจะอยู่ในช่วงไตรมาสที่ 3 ของปี 2553

ซีพียู Atom สำหรับเน็ตบุ๊กรุ่นใหม่นี้จะใช้รหัส N550 และมีการทำงานแบบ Dual Core โดยจะมีความเร็วของสัญญาณนาฬิกาที่ 1.5GHz มี L2 Cache อยู่ที่ 1MB หรือคิดคำนวณเป็น 512KB ต่อ 1 แกน (จากจำนวนทั้งหมด 2 แกน)

ส่วนการทำงาน ทางอินเทลจะเพิ่มจำนวนแกนในระบบ Hyper Theading เข้าไปอีก 2 แกนจากในรุ่น (Mobility) ก่อนหน้า ทำให้ตัวซีพียู Intel Atom N550 มีการทำงานจริงที่ 2 แกน 4 Theads และในส่วนของการบริโภคพลังงาน (ค่า TDP) จะอยู่ที่ 8.5 วัตต์ ซึ่งมากกว่ารุ่นก่อนหน้านี้อย่าง Atom N470 อยู่เพียงแค่ 2 วัตต์เท่านั้น

เป็นที่รู้กันว่าจุดประสงค์ที่แท้จริงของซีพียู Intel Atom นั้น อินเทลต้องการออกมาเพื่อจับตลาดซีพียูประหยัดพลังงานที่มีขนาดเล็ก กินพลังงานต่ำ เน้นพกพาและเหมาะสำหรับกลุ่มคนที่มักใช้อุปกรณ์คอมพิวเตอร์เพื่อเล่นอินเตอร์เน็ท รับ-ส่งอีเมล์ หรือพิมพ์งานเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น โดยอินเทลได้แบ่งตลาด Atom ไว้เป็นสองกลุ่มคือ กลุ่ม Mobility และ Desktop PC ซึ่งโดยส่วนใหญ่ Atom แบบ Mobility จะเป็นที่นิยมกว่า Desktop PC มาก เพราะความเล็กและพกพาสะดวกจนทางอินเทลตั้งชื่อให้กับผลิตภัณฑ์ Mobility ที่ใช้ชิป Atom ว่า เน็ตบุ๊ก (Netbook)

**Update ราคา Intel Atom N550**
ขณะนี้ทาง Intel ได้ประกาศราคาโดยประมาณออกมาแล้ว โดย Intel Atom N550 (ทั้งตัวเน็ตบุ๊ก) จะมีราคาอยู่ที่ประมาณ 13,000 - 15,000 บาท โดยจะมาพร้อมหน่วยความจำ DDR3 ขนาด 1GB ส่วนฮาร์ดดิสก์ก็สามารถเลือกติดตั้งได้ทั้ง SSD ขนาด 20-32GB และ Hard Drive ขนาด 250GB
สุดท้ายในส่วนของจอภาพจะอยู่ที่ประมาณ 7-10.2 นิ้ว แต่ทั้งนี้สเปกดังกล่าวอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 พฤษภาคม 2553 15:53 น.

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อโดบีโต้แอปเปิลด้วยรัก?

กลายเป็นเรื่องฮือฮาเมื่ออโดบีออกมาตอบโต้แอปเปิลกรณีฝ่ายหลังออกมาชี้แจงเหตุผลด้านลบที่ทำให้แอปเปิลตัดสินใจไม่รองรับเทคโนโลยีแฟลชในผลิตภัณฑ์ตระกูลไอทั้งไอแพด ไอพ็อด และไอโฟน นอกจากจะใช้ถ้อยคำบาดใจแต่ยังลูบหลังด้วยการยิงแคมเปญโฆษณาชื่อ We Love Apple/Freedom of Choice ใช้รูปหัวใจคั่นกลางระหว่างคำว่า We และ Apple

ข้อความแคมเปญที่แสดงให้ดูเหมือนว่าอโดบีรักแอปเปิลนี้ถูกสื่ออเมริกันรายงานโดยใช้คำว่า "We (Heart) Apple" ถูกเผยแพร่ไปทั่วเว็บไซต์และสื่อด้านเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ เช่น เว็บไซต์ TechCrunch, Wired และ Engadget รวมถึงหนังสือพิมพ์วอลล์สตรีทเจอร์นอล, นิวยอร์กไทมส์, วอชิงตันโพสต์ ฯลฯ

แต่เนื้อความในโฆษณาโต้ตอบแอปเปิลสุดฤทธิ์ว่า "สิ่งที่เราไม่ชอบคือใครก็ตามที่ทำให้คุณขาดอิสระในการเลือกสิ่งที่จะสร้าง วิธีการสร้าง และประสบการณ์ความรู้สึกที่คุณจะได้จากเว็บไซต์" ซึ่งแม้จะไม่เอ่ยชื่อ แต่นักสังเกตการณ์เชื่อว่านี่คือความจงใจตอบโต้แอปเปิลอย่างชัดเจน

ล่าสุด Chuck Geschke ผู้ร่วมก่อตั้งและประธานบริษัทร่วมของอโดบีออกมาให้สัมภาษณ์ว่าหวังใช้แคมเปญ We Love Apple/Freedom of Choice ในการสื่อสารกับทั้งลูกค้าและพันธมิตรอโดบี เพื่อสร้างความมั่นใจว่าอโดบีจะไม่เปลี่ยนนโยบายเพราะแอปเปิล และจะเน้นให้ข้อมูลทั้งแง่บวกและแง่ลบของการไม่รองรับแฟลชบนอุปกรณ์อินเทอร์เน็ตพกพา

Geschke ยืนยันว่าความไม่เสถียรของแฟลชนั้นเป็นเรื่องเก่าซึ่งถูกปรับปรุงแล้วในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม ผู้บริหารอโดบีระบุว่าจะไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากการไม่รองรับแฟลชของอุปกรณ์แอปเปิล เนื่องจากยังมีตลาดอื่นที่ยังเติบโตต่อเนื่องในอนาคต

สิ่งที่ Geschke ย้ำล้วนตอบโต้เนื้อความในจดหมายเปิดผนึกจากซีอีโอแอปเปิลในชื่อ"Thoughts on Flash"เกือบทุกประเด็น โดยจดหมายเปิดผนึกดังกล่าวแอปเปิลได้ระบุถึงเหตุผลที่ไม่ยอมให้นักพัฒนาใช้โปรแกรมแฟลชของอโดบีในการพัฒนาแอปพลิเคชันสำหรับใช้บนไอโฟนและไอแพด ว่าแฟลชยังเป็นแพลตฟอร์มที่ไม่เสถียร ไม่มีความปลอดภัย และไม่จำเป็นต่อผู้ใช้ไอโฟนและไอแพด ทั้งที่แฟลชเป็นซอฟต์แวร์ที่นักพัฒนาจำนวนมากใช้สร้างเกมและวิดีโอบนอินเทอร์เน็ต

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้รูปการณ์ดูเหมือนว่าอโดบี (Adobe Systems Inc) ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาแฟลช ถูกกีดกันไม่ให้ร่วมแข่งขันในตลาดไอโฟนและไอแพดที่มีความคึกคักสุดขีด ล่าสุด กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯออกมายอมรับว่ากำลังอยู่ระหว่างการตัดสินใจว่าจะตรวจสอบแอปเปิลในข้อหาละเมิดกฏหมายการค้าเสรีหรือไม่ เนื่องจากแอปเปิลกำหนดให้นักพัฒนาโปรแกรมใช้เครื่องมือของแอปเปิลเท่านั้น หากต้องการสร้างแอปพลิเคชันสำหรับใช้งานบนสินค้าแอปเปิล ทำให้ซอฟต์แวร์จากค่ายอื่นถูกกีดกันไม่ให้ร่วมแข่งขัน และบริษัทรายย่อยต้องรับภาระทางการเงินมากเกินจำเป็น

ในแง่ของนักพัฒนา นโยบายของแอปเปิลทำให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์ไอโฟนและไอแพดทุกคนถูกผูกติดไว้กับแพลตฟอร์มเดียว ซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการสร้างแอปพลิเคชันบนแพลตฟอร์มแฟลช ภาระทางการเงินที่เกิดขึ้นถูกมองเป็นอุปสรรคที่ทำให้บริษัทขนาดกลางและเล็กไม่สามารถแข่งขันได้เช่นกัน

ยังไม่มีรายงานว่าแอปเปิลจะถูกตรวจสอบฐานขัดขวางการแข่งขันเสรีหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือศึกน้ำลายครั้งนี้จะไม่หยุดลงง่ายๆในเร็ววัน

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 พฤษภาคม 2553 22:48 น.

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

SAP ทุ่ม 5,800 ล้านดอลล์ซื้อ Sybase หวังชน Oracle

ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตซอฟต์แวร์ระบบงานสัญชาติเยอรมนีอย่างเอสเอพี (SAP) ตัดสินใจซื้อบริษัทไซเบส (Sybase Inc.) ด้วยมูลค่า 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ นักวิเคราะห์มั่นใจ การทุ่มเงินซื้อไซเบสครั้งนี้จะนำไปสู่ศึกชนช้างระหว่างเอสเอพีกับยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลอย่างออราเคิล (Oracle) แน่นอน

สื่ออเมริกันยกให้การซื้อไซเบสด้วยเงิน 5.8 พันล้านเหรียญสหรัฐหรือประมาณ 1.92 แสนล้านบาทเป็นการประเดิมการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดของประธานบริหารร่วมหรือ co-CEO คนใหม่ของเอสเอพีนาม Bill McDermott และ Jim Hagemann Snabe ซึ่งเพิ่งรับตำแหน่งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา หลังจากซีอีโอคนก่อน Leo Apotheker ลาตำแหน่งไป

แม้จะถูกวิจารณ์ว่าการซื้อไซเบสจะทำให้เอสเอพีขาดสภาพคล่อง แต่นักวิเคราะห์ยอมรับว่าข่าวนี้จะทำให้ยักษ์ใหญ่อย่างออราเคิลหวั่นไหวแน่นอน โดยที่ผ่านมา แม้เอสเอพีจะไม่ได้เป็นคู่แข่งกับออราเคิลโดยตรง แต่ความเป็นเจ้าแห่งซอฟต์แวร์ระบบงานธุรกิจทำให้เอสเอพีพยายามสร้างซอฟต์แวร์เพื่อให้องค์กรธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลมหาศาลได้ดียิ่งขึ้น ผลคือเนื้องานของเอสเอพีและออราเคิลมีส่วนทับกัน นำไปสู่การแข่งขันโดยอ้อมๆมาตลอด

เท่ากับการซื้อไซเบส ซึ่งเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล ย่อมทำให้เอสเอพีและออราเคิลเป็นคู่แข่งกันมากขึ้นกว่าเดิม

นี่คือการทุ่มเงินซื้อกิจการบริษัทอื่นครั้งล่าสุดหลังเอสเอพีตัดสินใจซื้อบริษัทบิสิเนสออปเจ็กต์ (Business Objects) สัญชาติฝรั่งเศสในปี 2008 ด้วยมูลค่า 6.8 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยบริษัทดังกล่าวมีจุดเด่นที่การสร้างซอฟต์แวร์ระบบงานอัจริยะที่ทำให้บริษัทองค์กรสามารถวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อประกอบการตัดสินใจที่มีประสิทธิภาพ

สำหรับไซเบส แม้ไซเบสจะเป็นบริษัทซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลขนาดเล็กที่มีส่วนแบ่งการตลาดโลกเพียง 2-3% เมื่อเทียบกับออราเคิลที่มีส่วนแบ่งถึง 40% แต่เอสเอพีก็เชื่อว่าไซเบสจะเติมเต็มเทคโนโลยีฐานข้อมูลให้เอสเอพีสามารถเติบโตรวดเร็วในตลาดองค์กรธุรกิจได้แบบครบวงจร โดยเฉพาะเทคโนโลยีการใช้งานฐานข้อมูลแบบเคลื่อนที่บนอุปกรณ์อย่างสมาร์ทโฟน ซึ่งไซเบสมีเทคโนโลยีที่จะทำให้พนักงานในองค์กรสามารถบริหารจัดการฐานข้อมูลบนอุปกรณ์พกพาได้ผ่านเครือข่ายข้อความ (messaging network) อยู่แล้ว ทำให้เอสเอพีมั่นใจว่าจะสามารถตอบความต้องการผู้ใช้โทรศัพท์มือถือโลกที่มีจำนวนกว่า 4 พันล้านคนได้

McDermott ประธานบริหารร่วมของเอสเอพีการันตีว่าการซื้อกิจการครั้งนี้คือการเปลี่ยนเกมของทั้งลูกค้าเอสเอพีและไซเบส ซึ่งหลังการประกาศ มูลค่าหุ้นของไซเบสเพิ่มขึ้นถึง 35% ปิดที่ 56.14 เหรียญ ต่ำกว่าราคาหุ้น 65 เหรียญที่เอสเอพีเสนอซื้อ

ยังไม่มีรายงานความเห็นจากออราเคิลในขณะนี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 พฤษภาคม 2553 13:08 น.

วันจันทร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

อาหรับจุดพลุประวัติศาสตร์ไซเบอร์ "เข้าเว็บไม่ต้องพิมพ์อังกฤษ"

3 ชาติอาหรับนำร่องจุดพลุประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้ชาวออนไลน์ไม่ต้องใช้อักษรภาษาลาตินใดๆ ในการเข้าเว็บไซต์ ทั้ง ".com", ".net" และอักษรย่อประเทศอย่าง ".eg" แต่สามารถพิมพ์อักขระอาหรับล้วนๆ ลงบนแอดเดรสบาร์ได้เลย ผลจากการอนุมัติของคณะกรรมการกำกับดูแลชื่อโดเมนเนมอย่างไอแคนน์ (Icann) ซึ่งในรายงานระบุว่านี่คือบันไดขั้นแรกที่จะทำให้คนไทยสามารถพิมพ์ชื่อเว็บไซต์เป็นอักษรไทยที่ลงท้ายด้วย ".ไทย" เช่นกัน

อียิปต์ ซาอุดิอาระเบีย และสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คือ 3 ประเทศแรกในโลกที่สามารถใช้รหัสประเทศหรือนามสกุลต่อท้ายชื่อเว็บแอดเดรสเป็นอักขระอาหรับได้ ผลคือเว็บไซต์สัญชาติอียิปต์ไม่จำเป็นต้องจดชื่อโดเมนเนมแล้วลงท้ายด้วยรหัสประเทศ .eg อีกต่อไป แต่สามารถใช้อักษรอาหรับแทนได้เลย เช่นเดียวกับ .sa ของซาอุดิอาระเบียและ .ae ของสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ทินา ดาม ประธานอาวุโสฝ่ายชื่อโดเมนนานาชาติของไอแคนน์ (Internet Corporation for Assigned Names and Numbers : Icann) ระบุว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือประวัติศาสตร์ที่สำคัญของไอแคนน์ และไอแคนน์ยังอยู่ระหว่างการพิจารณาอักขระภาษาใหม่อีกกว่า 20 ประเทศ เช่น จีน รัสเซีย ทมิฬ และไทย

การเขียนรหัสประเทศในโดเมนเนมที่อยู่เว็บไซต์หรือที่เรียกกันว่า country code top-level domains (CCTLDs) ด้วยอักขระที่ไม่ใช่ภาษาอังกฤษนั้นผ่านการพิจารณาโดยไอแคนน์นานหลายปี โดยที่ผ่านมา การเขียนชื่อเว็บไซต์เป็นอักขระภาษาอื่นนั้นสามารถทำได้ก็จริงแต่ยังต้องลงท้ายนามสกุลด้วย .com หรือ .eg อยู่ แต่ต่อจากนี้ไปคือผู้ใช้จะสามารถใช้อักขระภาษาถิ่นได้อย่างเต็มรูปแบบ แถมเป็นการเขียนจากขวาไปซ้าย ตามลักษณะการเขียนดั้งเดิม

หนึ่งในเว็บไซต์แรกที่ใช้ชื่อโดเมนเนมเป็นภาษาอาหรับเต็มรูปแบบแล้วในขณะนี้คือกระทรวงการสื่อสารของอียิปต์ ซึ่งเปิดใช้ร่วมกับโดเมนภาษาอังกฤษ www.mcit.gov.eg โดยทาเรค คามาล รัฐมนตรีกระทรวงสื่อสารอียิปต์ระบุว่า ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการพิจารณาให้ชื่อโดเมนเนมภาษาอาหรับแก่ 3 บริษัทอียิปต์ที่ยื่นขอจดทะเบียนแล้วในขณะนี้

ที่ผ่านมา อักขระภาษาลาตินนั้นใช้เขียนแสดงที่อยู่เว็บไซต์ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ตมาตั้งแต่ยุคระบบปิดซึ่งใช้งานเฉพาะในกลุ่มมหาวิทยาลัยและกองทัพอเมริกันในปี 1969 จนถึงช่วงปี 1990 ที่เริ่มเข้าสู่ระบบเปิด สิ่งที่ทำให้ไอแคนน์มีแนวคิดใช้อักขระภาษาอื่นในชื่อโดเมนเนมคือการเปิดโลกอินเทอร์เน็ตแก่ผู้ใช้ในท้องถิ่นในวงกว้าง จุดนี้ไอแคนน์เคยระบุว่าในจำนวนผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกกว่า 1,600 ล้านคน มากกว่าครึ่งหนึ่งใช้อักขระภาษาอื่นที่ไม่ใช่ละติน การเปลี่ยนแปลงจะทำให้คนกลุ่มนี้กลายเป็นผู้ใช้รายใหม่ที่จะทำให้โลกอินเทอร์เน็ตกว้างขึ้น

นอกจากจะเปิดกว้าง บริษัทซึ่งดำเนินธุรกิจขายโดเมนเนมให้กับภาคธุรกิจก็จะได้รับผลดีจากชื่อโดเมนเนมภาษาท้องถิ่นนี้ด้วย โดยเชื่อว่าจะเป็นตัวสร้างรายได้ใหม่เพิ่มจากการจดทะเบียนชื่อตามรหัสประเทศที่เคยมีมา ขณะที่เจ้าของเว็บไซต์ก็จะได้รับประโยชน์จากโดเมนเนมชื่อท้องถิ่นนี้ เพราะจะทำให้ผู้ใช้พบเว็บไซต์ภาษาถิ่นที่ต้องการได้เร็วยิ่งขึ้น

สำหรับกรณีที่ผู้สังเกตการณ์ในอุตสาหกรรมอินเทอร์เน็ตบางกลุ่มเคยออกมาแสดงความไม่เห็นด้วยกับการตั้งโดเมนเนมเป็นอักขระภาษาอื่น เนื่องจากหวั่นเกรงว่าหากมีการใช้ชื่อโดเมนเนมเป็นภาษาเฉพาะท้องถิ่นอย่างกว้างขวาง จะทำให้การใช้งานอินเทอร์เน็ตแตกออกเป็นกลุ่มย่อยๆเฉพาะในพื้นที่ แทนที่จะใช้ภาษาอังกฤษที่เป็นภาษาสากลและเปิดกว้างให้ชาวโลกติดต่อกันได้ทุกประเทศ จุดนี้ผู้บริหารไอแคนน์เห็นด้วย แต่มองว่าจะเป็นผลดีเพราะประชากรในประเทศที่ไม่ใช้ภาษาอังกฤษจะสามารถสร้างสังคมอินเทอร์เน็ตของตัวเองได้ ซึ่งถือเป็นการให้ช่องทางการสื่อสารที่จะเป็นประโยชน์มหาศาล

อย่างไรก็ตาม การใช้งานโดเมนภาษาอาหรับยังคงมีข้อจำกัด เนื่องจากผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะต้องอัปเดทซอฟต์แวร์เบราว์เซอร์ในเครื่องก่อนจึงจะสามารถใช้งานได้ รวมถึงต้องใส่เครื่องหมายในแอดเดรสบาร์และตั้งค่าเครื่องให้รองรับภาษาที่ต้องการด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะต้องมีการพัฒนาที่มากขึ้นอีกในอนาคต

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 พฤษภาคม 2553 09:11 น.

วันเสาร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ไมโครซอฟท์เตือน อย่าหลงเชื่อฟอร์เวิร์ดเมล์อ้างปิดบัญชี Hotmail ในไทย

ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ออกแถลงการณ์กรณีมีฟอร์เวิร์ดอีเมล์แอบอ้างเกี่ยวกับการปิดบัญชีอีเมล์ Hotmail ในประเทศไทย หลอกล่อให้ชาวออนไลน์ในประเทศไทยส่งต่ออีเมลขยะเพื่อยืดอายุบัญชีอีเมล โดยไมโครซอฟท์ระบุว่าไม่เป็นความจริง เพราะบัญชีอีเมล์ฟรีทุกบัญชีของ Hotmail จะถูกยกเลิกก็ต่อเมื่อไม่มีการลงชื่อเข้าใช้บริการเท่านั้น

ฟอร์เวิร์ดอีเมล์ต้นเหตุของเรื่องนี้จะอ้างว่า เซิร์ฟเวอร์ที่ให้บริการของไมโครซอฟท์กำลังจะเต็ม เนื่องจากมีผู้ใช้บริการ Hotmail ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก ไมโครซอฟท์จึงจะดำเนินการปิดการให้บริการสำหรับบัญชีอีเมล์ที่ไม่มีการใช้งาน และเพื่อให้สามารถใช้บริการ Hotmail ต่อไปได้ ผู้ใช้งานจะต้องส่งต่ออีเมล์ฉบับนี้ไปให้ทุกคนในรายชื่อผู้ติดต่อของตนเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงการหลอกลวงให้ส่งต่ออีเมลขยะ โดยไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) ชี้แจงว่าบริษัทมีนโยบายชัดเจนเกี่ยวกับบัญชีอีเมล์ที่ไม่มีการใช้งาน เช่น การไม่ได้ลงชื่อใช้งานอีเมลเป็นเวลานานกว่า 9 เดือน เป็นต้น

"บัญชีอีเมล์ฟรีทุกบัญชีของ Hotmail จะจัดเป็นบัญชีอีเมล์ที่ไม่มีการใช้งานก็ต่อเมื่อ ไม่มีการลงชื่อเข้าใช้บริการมากกว่า 270 วัน หรือ ไม่มีการลงชื่อเข้าใช้บริการภายใน 10 วันแรกหลังจากลงทะเบียนใช้บริการ และหลังจากที่บัญชีอีเมล์ นั้นๆ กลายเป็นบัญชีอีเมล์ที่ไม่มีการใช้งาน ทุกข้อความ โฟล์เดอร์ และรายชื่อผู้ติดต่อจะถูกลบ
และทุกข้อความที่ส่งถึงอีเมล์นั้นจะได้รับข้อความตอบกลับว่าไม่สามารถส่งข้อความได้" แถลงการณ์ไมโครซอฟท์ระบุ

ไมโครซอฟท์ย้ำว่าในกรณีที่มีการเปลี่ยนแปลงการให้บริการหรือกฎระเบียบต่างๆ ไมโครซอฟท์จะมีการแจ้งข้อมูลให้ผู้ใช้บริการได้ทราบผ่านช่องทางต่างๆ อย่างเป็นทางการ

"ดังนั้น เราขอแจ้งเตือนให้ทุกผู้ใช้บริการได้ทราบว่า ฟอร์เวิร์ดอีเมล์แอบอ้างดังกล่าวไม่ได้มาจากไมโครซอฟท์ และขอความร่วมมือไม่ส่งต่ออีเมล์ดังกล่าว เพื่อลดจำนวนอีเมล์ขยะ"

แม้ฟอร์เวิร์ดเมลนี้จะผ่านสายตาชาวออนไลน์ในประเทศไทยมาระยะหนึ่งแล้ว และมีการประกาศเตือนให้อย่าหลงเชื่อกลลวงจนทำให้ผู้ใช้คลิกส่งต่อเมลขยะ แต่แถลงการณ์ชิ้นนี้คือความเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการครั้งล่าสุดที่ไมโครซอฟท์ประเทศไทยประกาศแจ้งเตือนแก่ประชาชน เพื่อป้องกันกรณีที่ฟอร์เวิร์ด
เมลนี้กลับมาออกลายอีกครั้ง

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 พฤษภาคม 2553 18:49 น.

วันศุกร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กูเกิลลับคม ปรับหน้าเสิร์ช-ปล่อยแอปฯค้นหาด้วยภาพเวอร์ชันใหม่

หลังจากมีข่าวความคืบหน้าโครงการอื่นๆมากมาย คราวนี้กูเกิลหันมาปรับปรุงหน้าผลการค้นหาของบริการหลักนั่นคือเสิร์ชเอนจิ้น Google.com การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญคือการเพิ่มเมนูแบ่งประเภทผลการค้นหาเข้ามาในด้านซ้ายมือของหน้า เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงคอนเทนท์ต่างประเภทที่เกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ดได้อย่างรวดเร็ว ขณะเดียวกัน กูเกิลยังปล่อยแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟน Google Goggles เวอร์ชันใหม่ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถแปลข้อความด้วยการถ่ายภาพได้

หน้าผลการค้นหาใน Google.com แบบใหม่จะต่างจากแนวทางแสดงผลแบบเรียบง่ายดั้งเดิมเล็กน้อย เนื่องจากด้านซ้ายมือของหน้าจะมีแถบเครื่องมือใหม่ที่นอกเหนือจากการแบ่งประเภทเป็นภาพ วิดีโอ หรือข่าว แบบเดิมๆ เช่น ฟีเจอร์ Time Line ที่จะทำให้ผู้ใช้เลือกอ่านข้อมูลที่เสิร์ชมาได้ตามลำดับเวลา รวมถึงฟีเจอร์อื่นๆที่เป็นผลการพัฒนาจาก Google Labs ตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา

หากผู้ใช้ต้องการค้นหาข้อมูลเฉพาะที่เป็นบล็อก (Blog) ก็สามารถคลิกที่คำว่า Blog ในเมนูด้านซ้ายได้เลย เช่นเดียวกัน หากต้องการได้ข้อมูลเฉพาะที่มีการอภิปรายในกระทู้ต่างๆ ก็สามารถเลือกเมนู Discussion ได้ อย่างไรก็ตาม เมนูด้านซ้ายมือเหล่านี้ไม่ได้ถูกตั้งค่ามาเพื่อแสดงในครั้งแรก (default) แต่ผู้ใช้จะต้องเปิดใช้งานด้วยตัวเอง

ด้านขวาของหน้าถูกจัดสรรเป็นพื้นที่แสดงโฆษณาที่มากขึ้น ตัวสัญลักษณ์กูเกิลดั้งเดิมถูกปรับให้อักษรมีมิติและสว่างมากขึ้นด้วย และยังคงมีทางเลือกคำอื่นๆที่อาจเกี่ยวข้องกับคีย์เวิร์ด

Nundu Jakarim ผู้จัดการโครงการของกูเกิลของกูเกิลเชื่อว่าการปรับปรุงครั้งนี้เป็นไปตามความต้องการของผู้ใช้ เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงข้อมูลต่างชนิดได้ดีขึ้นและง่ายขึ้น

นอกจากนี้ กูเกิลยังประกาศเปิดตัวแอปพลิเคชันสมาร์ทโฟนนาม Google Goggles บริการสืบค้นข้อมูลจากรูปถ่ายเวอร์ชันใหม่ 1.1 ซึ่งถูกปรับปรุงส่วนติดต่อผู้ใช้และเพิ่มคุณสมบัติใหม่นั่นคือความสามารถในการแปลข้อความด้วยภาพถ่าย

เช่น ผู้ใช้สามารถใช้ Google Goggles เพื่อแปลเมนูอาหารภาษาฝรั่งเศสด้วยการถ่ายภาพข้อความในเมนู รวมถึงสามารถแปลป้ายข้อความสาธารณะภาษาอิตาลีได้แบบรวดเร็ว

นี่คือการอัปเกรดระบบแปลภาษาของ Google Goggles ให้สามารถรองรับภาษาสเปน ฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาลี ฯลฯ จากเดิมที่รองรับแต่ภาษาเยอรมันและอังกฤษเท่านั้น โดย Google Goggles รองรับแอนดรอยด์ที่ใช้ระบบปฏิบัติการ 1.6 (Donut) หรือสูงกว่าเท่านั้น


วันพฤหัสบดีที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

จุดพลุ“ฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เอ็กซ์โป 2010” หนุนไทยเป็นฐานการผลิตเบอร์หนึ่ง

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง จับมือ สวทช. พร้อม 4 พันธมิตร ผู้ประกอบการผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูลสำหรับคอมพิวเตอร์ หรือฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ (HardDisk Drive: HDD) ชั้นนำของโลก จัดประชุมวิชาการนานาชาติ และงานนิทรรศการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เอ็กซ์โป 2010 (HDD Expo 2010) ระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2553 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค หวังสร้างความเข็มแข็งให้ไทยเป็นฐานการผลิตอันดับหนึ่งในโลก

รศ.ดร.กิตติ ตีรเศรษฐ อธิการบดีสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง เปิดเผยว่า ปัจจุบันประเทศไทย ถือเป็นฐานการผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการส่งออกราว 500,000 ล้านบาทต่อปี และยังสามารถสร้างผลกระทบเชิงเศรษฐศาสตร์ต่อภาคอุตสาหกรรมคิดเป็นมูลค่ารวมมากกว่า 8,500 ล้านบาท

เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับประเทศแบบยั่งยืน ทางสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง โดยวิทยาลัยร่วมด้านเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูลและประยุกต์ใช้งาน ร่วมกับ โปรแกรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ศูนย์วิจัยร่วมเฉพาะทางด้านกระบวนการผลิตฮารด์ดิสก์ไดรฟ์ขั้นสูง มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ศูนย์วิจัยร่วมเฉพาะทางด้านส่วนประกอบฮารด์ดิสก์ไดรฟ์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น และ 4 บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ยักษ์ใหญ่ของโลก ได้แก่ บริษัท ฮิตาชิ โกลบอล สตอเรจ เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทโตชิบา สตอเรจ ดีไวส์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท เวสเทิร์น ดิจิตอล (ประเทศไทย) จำกัดบริษัท ซีเกท เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด จัดประชุมวิชาการนานาชาติ และงานนิทรรศการฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เอ็กซ์โป 2010 ขึ้นระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2553 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา

สำหรับการจัดการประชุมวิชาการระดับนานาชาติด้านเทคโนโลยีการบันทึกข้อมูล ได้จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 3 ในปีนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลัก เพื่อส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาและวิจัยนวัตกรรมเทคโนโลยี รวมถึงสินค้าและกระบวนการผลิตอุปกรณ์บันทึกข้อมูล (HDD) ผ่านเวทีการแลกเปลี่ยนความรู้เชิงวิชาการระหว่างนักวิชาการ นักวิจัยและผู้ประกอบการจากทั้งภาครัฐและเอกชน รวมถึงการสร้างโอกาสให้กับบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย ในการเจรจาธุรกิจกับบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และส่วนประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ระดับโลก

นอกจากนี้ ยังเป็นหนึ่งช่องทางในการพัฒนาบุคลากร ผ่านความร่วมมือาการถ่ายทอดเทคโนโลยีขั้นสูงจากต่างประเทศ เพื่อก่อให้เกิดความ มั่นคงยั่งยืนของอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ของประเทศไทยในทศวรรษหน้า โดยหนึ่งในนโยบายและกิจกรรมที่ภาครัฐสนับสนุนอุตสาหกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ ด้วยการให้สนับสนุนด้านเงินทุน เพื่อการวิจัยโครงการในอนาคต

สำหรับกิจกรรมหลักในงาน HDD EXPO 2010 ประกอบด้วย งานประชุมวิชาการนานาชาติ International Conference on Data Storage Technology หรือ DST-CON 2010 โดยจะมีการบรรยายพิเศษจากนักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และการบันทึกข้อมูลที่มีชื่อเสียงระดับโลก และมีการนำเสนอผลงานวิจัยจากนักวิชาการและนักวิจัยจากหน่วยงานต่างๆทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้ง นิทรรศการเทคโนโลยีฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์และการบันทึกข้อมูลจากบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และส่วนประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ชั้นนำระดับโลก ซึ่งจะมีการนำเอาผลิตภัณฑ์และนวัตกรรมล่าสุดมาแสดงให้ชม

นอกจากนี้ยังมีผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายในราคาพิเศษ พร้อมกับการเปิดเวทีการเจรจาจับคู่ธุรกิจ หรือ Business Matching ระหว่างบริษัทวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ของไทย บริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ และส่วนประกอบฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ระดับโลก โดยได้รับความร่วมมือจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ)

ผู้ชมงานยังสามารถพบกับตำแหน่งงานมากกว่า 10,000 อัตรา กับบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เครือข่ายชั้นนำระดับโลก และบริษัทผลิตชิ้นส่วนประกอบอีกว่า 60 บริษัท เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่จบใหม่ และมีประสบการณ์ในสาขาวิศวกรรม วิทยาศาสตร์ บริหารธุรกิจ และอื่นๆ ที่มีความสนใจมาสมัครงาน

ขณะเดียวกันก็มีการประกวดนวัตกรรมสิ่งประดิษฐ์ด้านฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์สำหรับนักศึกษาและบุคคลทั่วไป หรือ Hard Disk Dive Innovation design & Engineering award (HDDIdea 2010) ภายใต้แนวความคิด “นวัตกรรมฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์ เพื่อคุณภาพชีวิตของคนไทย” ด้วย

การจัดงาน HDD EXPO 2010 ครั้งนี้ ยังเป็นการจัดขึ้นเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปีแห่งการสถาปนาสถาบัน ในปี พ.ศ. 2553 นี้ โดยจะมีบูธแสดงผลงานวิชาการและวิจัยของสถาบันที่ร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชน เพื่อเผยแพร่ผลงานวิจัย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางวิชาการจากทั้งภาคการศึกษาและภาคอุตสาหกรรม เพื่อยกระดับงานด้านวิจัยและพัฒนาศักยภาพของบุคลากรของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับ และก่อให้เกิดความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนด้านฮาร์ดดิสก์ไดรฟ์

งานนี้จะจัดขึ้นที่ BITEC ในระหว่างวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2553 นี้ ซึ่งสามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.hdd-expo.com

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 พฤษภาคม 2553 15:39 น.

วันพุธที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เอเชียซอฟท์จุดพลุ"@Key" ฮาร์ดแวร์ป้องกันแฮกรหัสออนไลน์

เอเชียซอฟท์เปิดตัว @Key อุปกรณ์เสริมความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์ เพิ่มรหัสผ่านชั้นที่สอง ป้องกันการแฮกข้อมูลจากแฮกเกอร์ เพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเกมออนไลน์ไทยและผู้ใช้บริการออนไลน์ในเครือข่ายเอเชียซอฟท์โดยเฉพาะ

นายปราโมทย์ สุดจิตพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอเชียซอฟท์ คอร์ปอเรชั่นกล่าวว่าเอเชียซอฟท์เปิดตัวเทคโนโลยี @ Key เข้ามาให้บริการเป็นรายแรกและครั้งแรกในประเทศไทยซึ่งเป็นอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยในการทำธุรกรรมออนไลน์ที่ยอมรับในธุรกิจธนาคารชั้นนำทั่วโลกเนื่องจากบริษัทตระหนักถึงความสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยและการปกป้องข้อมูลของลูกค้าเป็นสำคัญ

"@Key จะช่วยสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้าว่าจะได้รับความปลอดภัยอย่างสูงสุดทุกครั้งที่ใช้รหัสผ่านชั้นที่สองจาก @Key เชื่อว่าบริการนี้จะตอบโจทย์ความต้องการรักษาความปลอดภัยรหัสผ่านส่วนตัวของลูกค้าและเชื่อว่าลูกค้าจะต้องเห็นถึงประโยชน์ และเป็นที่นิยมแพร่หลายแก่ลูกค้าเกมออนไลน์ในระยะเวลาอันใกล้นี้"

@Key คืออุปกรณ์สำหรับเพิ่มความปลอดภัยในการใช้บริการออนไลน์ เป็นการเพิ่มรหัสผ่านชั้นที่สอง ทำให้แฮกเกอร์ไม่สามารถเข้าระบบได้ โดยการนำรหัสผ่านแรกที่มีอยู่ผูกเข้ากับรหัสผ่านตัวที่สองที่ได้รับจาก @Key ทุกครั้งที่กดปุ่มรับรหัสผ่านจาก @Key จะได้รับรหัสผ่านแบบใช้ครั้งเดียว (One Time Password) ซึ่งรหัสผ่านนี้จะเปลี่ยนแปลงภายในเวลาทุก 30วินาที ทำให้ผู้ใช้ต้องรีบใส่รหัสผ่านตามระยะเวลาที่กำหนด จึงมั่นใจว่ารหัสผ่านตัวใหม่นี้จะไม่มีใครแฮกไปได้

"@Key ยังใช้งานง่าย สะดวก และสามารถเข้าสู่ระบบสมาชิกเกมออนไลน์ และบริการออนไลน์ต่าง ๆ ในเครือเอเชียซอฟท์อีกด้วย" เอเชียซอฟท์การันตี

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 พฤษภาคม 2553 10:24 น.

วันอังคารที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กูเกิลพร้อมลุย"ซอฟต์แวร์ทีวี"

สื่ออเมริกันอ้างแหล่งข่าววงใน ระบุว่ากูเกิลมีแผนเปิดตัวซอฟต์แวร์สำหรับโทรทัศน์ซึ่งสร้างบนแพลตฟอร์มแอนดรอยด์ (Android) ภายในงานประชุมนักพัฒนาที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้

รายงานจากวอลล์สตรีทเจอร์นัลระบุว่า ซอฟต์แวร์สำหรับทีวีของกูเกิลนั้นถูกออกแบบมาเพื่อติดตั้งลงในอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์ (เซตท็อปบอกซ์), ตัวเครื่องโทรทัศน์ และอุปกรณ์เสริมอื่นๆ เพื่อให้คอนเทนต์นานาชนิดจากอินเทอร์เน็ตสามารถปรากฏบนหน้าจอโทรทัศน์ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์ ซอฟต์แวร์นี้จึงสามารถดึงดูดความสนใจได้ทั้งจากผู้ผลิตอย่างโซนี่ (Sony), อินเทล (Intel) และลอจิเทค (Logitech) ซึ่งสามารถผลิตสินค้าออกมารองรับซอฟต์แวร์อนาคตไกลนี้ได้

ขณะที่ทิศทางการพัฒนาของผู้ผลิตเหล่านี้ยังไม่ชัดเจน รายงานระบุว่ากูเกิลมีแผนเริ่มชิมลางเปิดเผยรายละเอียดเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ทีวีแก่นักพัฒนามากกว่า 3,000 คน ซึ่งคาดว่าจะเข้าร่วมงาน Google I/O งานประชุมที่กูเกิลมีกำหนดจัดขึ้นในวันที่ 19-20 พฤษภาคมนี้

การเปิดตัวแก่นักพัฒนาถือเป็นสัญญาณที่บอกว่ากูเกิลหวังจะเริ่ม "คิกออฟ" ศักราชซอฟต์แวร์ทีวีอัจฉริยะด้วยการจุดประกายให้นักพัฒนาร่วมมือกันสร้างแอปพลิเคชันสำหรับทีวีสี ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่กูเกิล แอปเปิล และผู้ผลิตสมาร์ทโฟนหลายค่ายระดมสมองนักพัฒนาเพื่อยกระดับวงการฮัลโหลเคลื่อนที่ สิ่งที่จะเกิดขึ้นตามมาคือร้านแอปพลิเคชันสโตร์ นำไปสู่โอกาสทองในการทำเงินให้แก่ผู้ผลิตทีวี เครื่องเล่นแผ่นบลูเรย์ (Blu-ray) และฮาร์ดแวร์นานาชนิดเพื่อเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จะจูงใจนักพัฒนาให้ร่วมเรือแอปพลิเคชันทีวีกับกูเกิลได้ คือการยืนยันว่าซอฟต์แวร์จะมีพื้นที่ติดตั้งในผู้ผลิตฮาร์ดแวร์จริง จุดนี้รายงานระบุว่าเจ้าตลาดชิปคอมพิวเตอร์พีซีอย่างอินเทลได้เริ่มหานานาพันธมิตรเพื่อส่งชิป "อะตอม (Atom)"บุกตลาดเซ็ตท็อปบ็อกซ์แล้วระยะหนึ่ง โดยโซนี่คือรายล่าสุดที่มีข่าวว่าพร้อมใช้ชิปอะตอมในทีวีและเซตท็อปบอกซ์หลายรุ่นในอนาคต แต่ยังไม่ยืนยันว่าจะผูกอนาคตไว้กับซอฟต์แวร์ตระกูลแอนดรอยด์ของกูเกิลรายเดียว

วอลล์สตรีทเจอร์นัลเชื่อว่า การสาธิตซอฟต์แวร์แอนดรอยด์สำหรับทีวีในงานประชุมกูเกิลจะเป็นการโชว์โดยใช้ทีวีจากโซนี่ จุดนี้ตรงกับรายงานของสำนักข่าวบลูมเบิร์ก (Bloomberg) ที่ตีพิมพ์เมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า โซนี่กำลังจะเปิดตัวทีวีที่ใช้ซอฟต์แวร์จากกูเกิล และชิปของอินเทลในงานประชุมของกูเกิล

นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดหลังจากสื่ออเมริกันอย่างหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์เคยตีพิมพ์ข่าวลือว่า กูเกิลกำลังจับมือกับอินเทลเพื่อลุยพัฒนาแพลตฟอร์ม Google TV บนผลิตภัณฑ์โซนี่ อ้างแหล่งข่าวนิรนามว่าแพลตฟอร์มนี้จะครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ทีวีโทรทัศน์ กล่องรับสัญญาณเซ็ตท็อปบ็อกซ์ (set-top box) รวมถึงเครื่องเล่นบลูเรย์ ซึ่งจะทำให้ผู้บริโภคเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและโฆษณาของกูเกิลได้สบายขึ้นจากทีวีในห้องนั่งเล่น เช่น การเสิร์ช หรือการชมวิดีโอบนยูทูบ (Youtube) และการใช้งานเว็บแอปพลิเคชันหรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ให้บริการบนเว็บไซต์ออนไลน์ เช่น เกม หรือโปรแกรมเครือข่ายสังคมอื่นๆ

ไม่มีผู้บริหารของบริษัทที่เกี่ยวข้องกับรายงานของไทมส์ออกมายืนยันหรือปฏิเสธใดๆ โดยเฉพาะการที่ไทมส์ระบุว่าโครงการเครื่องต้นแบบ Google TV นั้นเกิดขึ้นมานานหลายเดือนแล้วแต่ยังไม่มีการแถลงความร่วมมืออย่างเป็นทางการ แถมยังระบุว่าทั้งกูเกิล อินเทล และโซนี่ ยังดึงเอาผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงรายใหญ่อย่างลอจิเทค (Logitech) เพื่อพัฒนารีโมททีวีที่มีคีย์บอร์ดขนาดจิ๋วในตัวด้วย ซึ่งเชื่อว่าจะช่วยยกระดับความสะดวกสบายของทีวีอินเทอร์เน็ตในอนาคต

ปัจจุบัน ค่ายผู้ผลิตโทรทัศน์สีต่างเพิ่มคุณสมบัติการเล่นอินเทอร์เน็ตลงในโทรทัศน์สีจอบางแล้วในระดับค่อนข้างแพร่หลาย เนื่องจากค่ายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์เหล่านี้มองเห็นโอกาสทางธุรกิจของทีวีติดอินเทอร์เน็ตทั้งสิ้น ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถต่อยอดบริการที่หลากหลายในอนาคตได้แบบไม่รู้จบ

ข่าวรั่วเรื่องชื่อพันธมิตรของโครงการ Google TV นี้เป็นข่าวที่ต่อเนื่องจากรายงานของวอลล์สตรีทเจอร์นัล ที่ระบุว่ากูเกิลจะเริ่มทดสอบกับเครือข่ายสมาชิกเคเบิลทีวีของ Dish Network แล้ว เพื่อเป็นการปูทางไปสู่การทำดัชนีความนิยมรายการทีวีของผู้บริโภค ซึ่งเจอร์นัลได้อนุมานว่ากูเกิลจะหาทางทำธุรกิจโฆษณาบนทีวีติดอินเทอร์เน็ตด้วยบริการ Google TV Ads จากแพลตฟอร์ม Google TV นี้

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวระบุว่าอาจจะตัดสินใจเลื่อนการประกาศรายละเอียดออกไปก่อนก็ได้ เพื่อรอให้ซอฟต์แวร์ถูกพัฒนาเต็มที่กว่านี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2553 10:02 น.

อเมซอนดึงเฟสบุ๊กลงคินเดิล, คาดไอแพด 3G ขายทะลุ 3 แสนเครื่อง

**อเมซอนดึงเฟสบุ๊กลงคินเดิล**

อเมซอน (Amazon.com Inc.) เอาใจชาวเครือข่ายสังคมด้วยการอัปเดทซอฟต์แวร์ในเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นามคินเดิล (Kindle) ตั้งใจเพิ่มช่องทางให้ผู้ใช้เข้าถึงเฟสบุ๊ก (Facebook), ทวิตเตอร์ (Twitter) รวมถึงเว็บไซต์เครือข่ายสังคมยอดนิยมอื่นๆ ให้ทุกคนสามารถสื่อสารเรื่องหนังสือได้สะดวกยิ่งขึ้น

ตามข้อมูลในเว็บไซต์ของอเมซอน ซอฟต์แวร์เวอร์ชันล่าสุดที่อเมซอนเปิดอัปเดทแบบไร้สายในคินเดิลนั้นจะทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันบางตอนของหนังสือได้ทางทวิตเตอร์หรือเฟสบุ๊ก นอกจากนี้ ผู้ใช้คินเดิลยังสามารถจัดหมวดประเภทหนังสือและเอกสารได้ด้วย รวมถึงสั่งล็อกเครื่องด้วยรหัสผ่านได้ และสามารถอ่านข้อความในเอกสารนามสกุล PDF บนเอกสารด้วยตัวอักษรที่ใหญ่ขึ้น

การอัปเดทซอฟต์แวร์นี้เกิดขึ้นหลังการเปิดตัวไอแพด (iPad) คอมพิวเตอร์หน้าจอสัมผัสไร้คีย์บอร์ดในเวลาไม่นาน โดยข้อมูลจากอเมซอนระบุว่า จะทยอยส่งข้อมูลอัปเดทแก่ผู้ใช้คินเดิลทุกคนภายในเดือนพฤษภาคมนี้

**คาดไอแพด 3G ขายทะลุ 3 แสนเครื่อง**

จากการตรวจสอบกับร้านค้าปลีกแอปเปิลกว่า 50 แห่ง ทำให้นักวิเคราะห์เชื่อว่าแอปเปิลสามารถจำหน่ายไอแพดที่รองรับการเชื่อมต่อเครือข่าย 3G หรือ iPad 3G ได้มากกว่า 300,000 เครื่องตลอดสัปดาห์แรกของการจำหน่าย

ไอแพดที่แอปเปิลเริ่มวางจำหน่ายก่อนหน้านี้คือไอแพดที่รองรับเฉพาะเครือข่ายไว-ไฟ ล่าสุด แอปเปิลเริ่มวางจำหน่ายเวอร์ชันที่รองรับ 3G แล้วในสหรัฐฯ ล่าสุด จีน มุนสเตอร์ นักวิเคราะห์จากบริษัทวิจัยไปเปอร์ แจฟฟรีย์ ระบุว่าจากการสำรวจตลาดช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ราว 49 จาก 50 ร้านค้าปลีกแอปเปิลนั้นระบุว่าจำหน่ายไอแพด 3G จนหมด ตัวเลขดังกล่าวทำให้มุนสเตอร์เชื่อว่ายอดจำหน่าบไอแพดของแอปเปิลจะทะลุ 1 ล้านเครื่องในไตรมาส 2 ของปีนี้ (สิ้นสุดในเดือนมิถุนายน)

อย่างไรก็ตาม มุนสเตอร์เชื่อว่ายอดจำหน่ายไอแพดเวอร์ชันไว-ไฟจะกินส่วนแบ่งสูงกว่าไอแพดเวอร์ชัน 3G ไปอีกหลายไตรมาส โดยเชื่อว่าส่วนแบ่งการตลาดจะอยู่ที่ 60% ของยอดจำหน่ายไอแพดรวม ขณะที่เวอร์ชัน 3G คาดว่าจะครองส่วนแบ่งราว 40%

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 พฤษภาคม 2553 11:21 น.

วันอาทิตย์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พรินต์ยุคใหม่ต้องผ่าน"เมฆ"

เรียกว่าปรากฏการณ์"เมฆฟีเวอร์"กำลังกระจายตัวเข้าสู่ตลาดงานพิมพ์ออนไลน์ก็คงไม่ผิดนัก สำหรับการชูธง"ระบบพิมพ์งานบนเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติง"ของเหล่าค่ายผู้ผลิตและจำหน่ายพรินเตอร์รายใหญ่ในนาทีนี้ ทั้งหมดขานรับพร้อมทำให้ผู้บริโภคสามารถสั่งพิมพ์งานได้จากทุกอุปกรณ์ที่ต้องการแล้ว ถือเป็นเทรนด์แรงของเครื่องพิมพ์ยุคใหม่ที่ผู้บริโภคอย่างเราต้องติดตาม ทำไมต้องเมฆ เพราะปกติ การจะพิมพ์เอกสารใดๆสักชิ้นจะต้องเริ่มจากการดาวน์โหลดหรือเปิดเอกสารนั้นบนพีซีที่มีไดรฟ์เวอร์ของเครื่องพิมพ์ติดตั้งอยู่ จากนั้นผู้ใช้จึงจะส่งคำสั่งพิมพ์ไปยังเครื่องพิมพ์ได้

ระบบคลาวด์คอมพิวติงหรือการประมวลผลกลุ่มเมฆจะทำให้ข้อจำกัดเรื่องนี้หมดไป เนื่องจากไดร์ฟเวอร์จะถูกติดตั้งบนระบบออนไลน์บนอินเทอร์เน็ต ทำให้ผู้ใช้ทุกคนสามารถสั่งพิมพ์งานออนไลน์ได้เลยแม้จะไม่มีซอฟต์แวร์ไดร์ฟเวอร์ติดตั้งในอุปกรณ์นั้นๆ ที่สำคัญ ระบบดังกล่าวเป็นระบบประมวลผลกลุ่มเมฆซึ่งมีจุดเด่นที่ความสามารถในการยืดขยายความสามารถได้ไม่จำกัด เหมือนเมฆที่ยืดขยายตัวได้เรื่อยๆบนท้องฟ้า ทำให้ระบบสามารถรองรับผู้ใช้ได้จำนวนมหาศาล

นี่คือการติดอาวุธเรื่องความสามารถในการเคลื่อนที่ให้ระบบพิมพ์งาน ซึ่งเป็นเรื่องจำเป็นมากสำหรับกลุ่มผู้ใช้อุปกรณ์อินเทอร์เน็ตเคลื่อนที่ เช่น สมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต รวมถึงอุปกรณ์นำทางบนรถยนต์ ซึ่งนับวันจะมีจำนวนมากขึ้นทุกนาที

จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่บริษัทพรินเตอร์รายใหญ่อย่างเอชพี (HP) จัดการยึดหัวหาด "บีบี" ให้ผู้ใช้แบล็กเบอรี่สามารถสั่งพิมพ์งานด้วยการกดปุ่มไม่กี่ปุ่มบนบีบี โดย จอห์น โซโลมอน รองประธานอาวุโส กลุ่มธุรกิจภาพและการพิมพ์ ฮิวเลตต์-แพคการ์ด เอเชียแปซิฟิกและญี่ปุ่น ย้ำว่านอกจากบีบี เอชพีจะเน้นการดึงคอนเทนท์ออนไลน์ลงมาสู่เครื่องพรินเตอร์ให้มากที่สุด ซึ่งจะครอบคลุมในส่วนแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนฮิตอย่างไอโฟนด้วย

สำหรับเอปสัน (Epson) ทีมพัฒนาเทคโนโลยีงานพิมพ์ในศูนย์ Epson Imaging Technology Center (EITC) เพิ่งออกมาประกาศว่าได้สร้างแอปพลิเคชัน Marksheets จุดเด่นคือความสามารถแปลงเอกสารที่ต้องการไปเป็นข้อมูลเพื่อรับส่งและแบ่งปันบนบริการคลาวด์คอมพิวติง Windows Azure ของไมโครซอฟท์ซึ่งเป็นแหล่งเก็บข้อมูลเพื่อเรียกดูบนโลกออนไลน์ได้อย่างรวดเร็วและไม่จำกัด ผู้ใช้บริการ Azure จึงจะสามารถสั่งพิมพ์งานได้จากทุกอุปกรณ์ที่เปิดใช้ Azure ทั้งสมาร์ทโฟน หรือแม้แต่คอมพิวเตอร์แท็บเล็ต ทำงานอย่างไร

จุดประสงค์หลักของบริการนี้อยู่ที่การลดขั้นตอนการพิมพ์เอกสารที่สามารถเปิดอ่านได้จากอุปกรณ์เคลื่อนที่ เช่น เอกสารที่จัดทำด้วย Google Doc แอปพลิเคชันสร้างงานเอกสารออนไลน์ของกูเกิล, ข้อความในกล่องอีเมล รวมถึงไฟล์ที่ถูกส่งต่อและแบ่งปันในบริการฝากไฟล์ความจุไม่จำกัด

ทั้งหมดนี้ล้วนเปิดอ่านได้จากสมาร์ทโฟนและคอมพิวเตอร์แท็บเล็ต แนวคิดของระบบพิมพ์ผ่านคลาวด์คอมพิวติงจึงเป็นการทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องดาวน์โหลดเอกสารเข้่ามาเก็บในพีซีด้วยรูปแบบของไฟล์ PDF แล้วจึงสั่งพิมพ์งานแบบในอดีต แต่เครื่องพิมพ์จะสามารถเชื่อมโยงกับแอปพลิเคชันผ่านทางอินเทอร์เน็ตได้เลย

หลักการทำงานคือเอกสารจะถูกส่งจากเซิร์ฟเวอร์ออนไลน์ไปยังเครื่องพิมพ์ที่ต้องการ ทำให้ช่วยลดขั้นตอนที่ยุ่งยาก และผู้ใช้ไม่ต้องยุ่งเหยิงกับการติดตั้งไดรฟ์เวอร์เครื่องพิมพ์ กูเกิลก็ร่วมด้วย

ไม่ใช่แค่บริษัทพรินเตอร์ที่เห็นความสำคัญของระบบพิมพ์งานบนคลาวด์คอมพิวติง แต่เสิร์ชเอนจิ้นผู้ให้บริการคลาวด์คอมพิวติงอย่างกูเกิลก็สนใจร่วมวงให้บริการลักษณะนี้ด้วย โดยกูเกิลจัดการเปิดตัวระบบ Cloud Print ในฐานะบริการใหม่ของระบบปฏิบัติ Chrome OS แล้ว การันตีว่าผู้ใช้แอปพลิเคชันสร้างงานเอกสารออนไลน์ Google Doc ของกูเกิล จะสามารถสั่งพิมพ์ออนไลน์ไปยังเครื่องพิมพ์ในออฟฟิศหรือในบ้านได้ทันทีไม่ต่างกับระบบของเอปสันและ Azure

นอกจากคลาวด์คอมพิวติง เทคโนโลยีเครือข่ายไร้สายอย่างไว-ไฟก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ระบบงานพิมพ์สามารถเคลื่อนที่ได้ โดย วรินทร์ ตันติพงศ์พานิช ผู้อำนวยการอาวุโส และผู้จัดการทั่วไปส่วนงานคอนซูเมอร์ อิมเมจจิ้ง แอนด์ อินฟอร์เมชั่น บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) กล่าวชัดเจนว่าแคนนอนจะชูธงจุดขายเครื่องพรินเตอร์ที่เทคโนโลยีไว-ไฟด้วย เพื่อให้ผู้ใช้สามารถสั่งพิมพ์ภาพจากโทรศัพท์มือถือไอโฟนได้ผ่านซอฟต์แวร์เฉพาะของแคนนอน

สรุปว่าเมฆไม่เมฆยังไม่สำคัญ แต่ในนาทีนี้ต้องเคลื่อนที่ได้เป็นพอ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์2 พฤษภาคม 2553 12:37 น.