วันอังคารที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ลือ!! "กูเกิ้ล" ทุ่ม 100 ล้านเหรียญซื้อผู้สร้าง "ฟาร์มวิลล์" โดดธุรกิจเกมเต็มตัว

แหล่งข่าวเปิดเผยข้อมูลระบุว่า กูเกิ้ล ซุ่มทุ่มเงินประมาณ 100 ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อเข้าซื้อกิจการบริษัท "Zynga" ผู้สร้างเกม " Farmville" โดยหวังจะให้ "Zynga" เป็นแกนหลักในการโดดเข้าสู่ธุรกิจเกมแบบเต็มตัว

"Sergey Brin" และ "Larry Page" ร่วมกันก่อตั้งบริษัท "Google" ขึ้นในปี 1998 จากนั้นเป็นต้นมากูเกิ้ลก็กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าและอิทธิพลมากที่สุดในโลก กูเกิ้ลได้ขยายอาณาจักรของตัวเองด้วยการซื้อกิจการของ "Youtube" รวมไปถึงการสร้าง "Google Earth" และ พัฒนา "Android" ระบบปฏิบัติการบนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ล่าสุดหากว่าการรายงานข่าวเป็นจริง กูเกิ้ลจะขยับเพิ่มไปอีกหนึ่งก้าวจากการเข้าไปลงทุนซื้อกิจการบริษัท "Zynga" ผู้สร้างเกม " Farmville" บนเครือข่ายสังคมออนไลน์เฟซบุ๊ก เพื่อปูทางไปสู่การทำธุรกิจเกมของตัวเอง


รายงานข่าวจาก TechCrunchที่อ้างแหล่งข่าวหลายคน ระบุว่า กูเกิ้ลแอบซุ่มเงียบนำเงินประมาณ 100 ถึง 200 ล้านเหรียญสหรัฐไปลงทุนซื้อกิจการของบริษัท "Zynga" ผู้สร้างเกม "Farmville" และ "Mafia Wars" บนเครือข่ายสังคมออนไลน์ "เฟซบุ๊ก"

แหล่งข่าวให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าการลงทุนครั้งนี้ของกูเกิ้ลถือเป็นน้ำจิ้มเล็กน้อยในแผนการณ์ที่จะขยายธุรกิจ ทางกูเกิ้ลวางแผนที่จะให้บริษัท "Zynga" เป็นหัวใจสำคัญในการให้บริการเกมของกูเกิ้ลภายใต้แบรนด์ "Google Games" อย่างไรก็ตามแหล่งข่าวไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดว่า "Google Games" จะออกมาเป็นอย่างไร

นอกจากรายงานข่าวของกูเกิ้ลที่เกี่ยวข้องกับผู้สร้างเกมฟาร์วิลล์แล้ว ยังมีอีกหนึ่งข่าวที่ดูจะเกี่ยวข้องแบบทางอ้อม เมื่อเว็บไซต์กูเกิ้ล ได้เปิดรับสมัครงานในตำแหน่ง "หัวหน้าฝ่ายบริหารผลิตภัณฑ์ด้านเกม" โดยอธิบายลักษณะงานในตำแหน่งดังกล่าวว่า "สามารถพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์เกมใหม่ได้ และสามารถปรับปรุงผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วได้ นอกจากนั้นยังสามารถสร้างทีมงานขึ้นมาใหม่เพื่อผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ของกูเกิ้ลเติบโตได้"

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 กรกฎาคม 2553 16:56 น.

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ยึดคำพิพากษาศาลฎีกา ชี้ไทยคมทำผิดสัญญา

คณะกรรมการมาตรา 22 ดาวเทียมไทยคมยึดคำพิพากษาศาลฎีกา ชี้ไทยคมไม่ปฏิบัติตามสัญญา เรียกเงินสินไหม 6.7 ล้านสหรัฐคืน พร้อมให้ยิงดาวเทียมสำรองไทยคม 3 ไอพีสตาร์ถือนอกสัญญา ส่วนการปรับลดสัดส่วนถือหุ้นเหลือ 40 % ส่ง ครม.ทำถูกต้องตามขั้นตอน

แหล่งข่าวจากกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที เปิดเผยว่า ผลสรุปของคณะกรรมการตามมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.ว่าด้วยเอกชนร่วมการงานหรือดำเนินในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ.ร่วมทุนฯ) ซึ่งดูเรื่องสัมปทานดาวเทียมนั้นได้ยึดตามคำพิพากษาของศาลฎีกา แผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ที่ได้ตัดสินยึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มูลค่า 4.6 หมื่นล้านบาท

สำหรับกรณีที่ บริษัท ไทยคม จำกัด (มหาชน) ได้อนุมัตินำเงินค่าสินไหมทดแทนของดาวเทียมไทยคม 3 จำนวน 6.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อนำไปเช่าช่องสัญญาณต่างประเทศ นั้นเป็นการดำเนินการไม่ถูกต้อง เพราะต้องนำเงินจำนวนดังกล่าวให้กับกระทรวงไอซีที เนื่องจากไอซีทีเป็นเจ้าของสัมปทาน ประกอบกับทรัพย์สินที่ทำประกันภัยเป็นของรัฐ

ค่าสินไหมทดแทนดังกล่าว รัฐจะต้องเป็นผู้ควบคุมดูแลและคงไว้เป็นหลักประกันความมั่นคง หากเกิดกรณีไม่สามารถซ่อมแซมหรือจัดหาทรัพย์สินทดแทนเพื่อใช้ดำเนินการต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ เพื่อให้เป็นไปตามสัญญาสัมปทานที่กำหนดไว้ ไทยคมจะต้องยิงดาวเทียมสำรองดาวเทียมไทยคม 3 เพราะไอพีสตาร์ไม่ถือว่าเป็นดาวเทียมสำรองของไทยคม 3 เนื่องจากไทยคม 3 มีวัตถุประสงค์ที่เน้นการให้บริการในประเทศ ขณะที่ไอพีสตาร์เน้นการให้บริการต่างประเทศ จึงถือว่าเป็นดาวเทียมที่เกิดขึ้นนอกสัญญาสัมปทานทำให้คณะกรรมการตามมาตรา 22 ติดตามไม่ได้

กรณีดังกล่าวกระทรวงไอซีทีต้องมาพิจารณาทางข้อกฎหมายอีกครั้งว่าจะดำเนินการเช่นไรต่อไป ซึ่งต้องคำนึงถึงผลกระทบที่เกิดขึ้น และต้องนำเสนอต่อคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป

ส่วนการปรับลดสัดส่วนการถือ หุ้นของไทยคมเหลือ 40% นั้น สำหรับแนวทางที่คณะกรรมการตามมาตรา 22 ได้เสนอคือการทำให้ถูกต้องตามขั้นตอนโดยให้เสนอต่อ ครม.พิจารณาว่าเห็นชอบหรือไม่ ถ้าไม่เห็นชอบก็ต้องกลับมาถือหุ้นตามสัดส่วนเดิมจำนวน 51 %

ด้านมูลค่าความเสียหายนั้น ตามคำพิพากษาระบุว่าจากการที่ไทยคมไม่ยิงดาวเทียมสำรอง ไทยคม 3 เพื่อทดแทนดวงที่เสียหาย จากที่ต้องยิงตามสัญญาสัมปทาน นั้นทำให้รัฐเสียหายประมาณ 4,000 ล้านบาท ขณะที่หากกระทรวงไอซีทีไปให้สัมปทานแก่ผู้ให้บริการรายอื่นแทนการยิงดาว เทียมไอพีสตาร์จะสามารถสร้างรายได้กว่า 16,000 ล้านบาท

จากแนวทางที่ คณะกรรมการมาตรา 22 ได้เสนอให้ นายจุติ ไกรฤกษ์ รมว.ไอซีที พิจารณานั้น ไทยคมยังมีท่าทีไม่เห็นด้วยและได้ยื่นข้อเสนอกับทางไอซีทีว่า ขอให้ขยายอายุสัมปทานออกไปเพื่อแลกกับการยิงดาวเทียมสำรอง เนื่องจากอายุการใช้งานดาวเทียมปกติอยู่ที่ 15 ปี ขณะที่อายุสัมปทานของไทยคมเหลือเพียง 11 ปี ซึ่งไม่คุ้มค่าต่อการยิงดาวเทียมสำรองแต่ทางคณะกรรมการไม่เห็นด้วย เพราะการยิงดาวเทียมสำรองไทยคม 3 เป็นเรื่องที่ไทยคมต้องดำเนินการตามสัญญาอยู่แล้ว และการต่ออายุสัมปทานจะพิจารณาในช่วงปี 2558

อย่างไรก็ตาม ทางไทยคมจะชี้แจงรายละเอียดทั้งหมดในวันนี้ (8 ก.ค.) ขณะที่ รมว.ไอซีที ขอเวลาศึกษารายละเอียดในเอกสารที่คณะทำงานส่งมาต่ออีก 4 วัน โดยคาดการณ์ว่าจะมีคำตอบได้ในวันที่ 12 ก.ค. 2553 นี้

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2553 13:35 น.

"เทรนด์ไมโคร"เตือนผู้ใช้สไกป์

ศูนย์วิจัยเทรนด์แล็ปส์ของบริษัท เทรนด์ ไมโคร ประกาศพบภัยคุกคามล่าสุดจากช่องโหว่ในสไกป์ (Skype) ที่มีอายุนานหลายเดือนแล้ว แต่กำลังถูกอาชญากรไซเบอร์นำมาใช้หาประโยชน์อีกครั้ง หวั่นผู้ใช้สไกป์เวอร์ชันเก่าจะถูกขโมยข้อมูลส่วนตัวซึ่งเสี่ยงต่อความเสียหายนานาชนิด

"การโจมตีครั้งนี้เป็นการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ในสไกป์ที่ชื่อว่า EasyBits Extras Manager โดยอาชญากรไซเบอร์รู้ดีว่าแม้ช่องโหว่ดังกล่าวจะได้รับการตรวจพบและสามารถแก้ไขเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เดือนตุลาคม 2552 แต่ก็มีผู้ใช้หลายคนที่ยังคงใช้งานเวอร์ชันเก่าซึ่งมีช่องโหว่อยู่" ตามเนื้อความจากจดหมายข่าวของเทรนด์ ไมโคร

เทรนด์ ไมโครให้ข้อมูลว่า การโจมตีครั้งนี้ ผู้ใช้สไกป์จะได้รับข้อความสแปมผ่านทางไอเอ็ม (Spam over IM: SPIM) ที่จะมีลิงก์ให้ดาวน์โหลดไฟล์ที่เป็นอันตราย รวมถึงมัลแวร์สายพันธุ์ ZBOT ที่จะขโมยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้ โดยเฉพาะข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกรรมออนไลน์

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สไกป์ตกเป็นเป้าหมายและถูกใช้เป็นพาหะในการแพร่ระบาดมัลแวร์ในหลายๆ ตระกูล (เช่น KOOBFACE และ PALEVO ที่เป็นสายพันธุ์ล่าสุด) เนื่องจากปกติแล้ว อาชญากรไซเบอร์จะใช้ช่องโหว่ในแอปพลิเคชันและโปรแกรมที่ได้รับความนิยมเพื่อล่อลวงผู้ใช้ที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์

ข้อแนะนำของเทรนด์ ไมโครเพื่อลดความเสี่ยงภัยคุกคามในสไกป์ประกอบด้วย 3 ส่วน หนึ่งคือผู้ใช้ควรระมัดระวังในการตอบกลับข้อความที่ไม่คาดคิด สองคืออย่าดาวน์โหลดไฟล์หรือคลิกลิงก์ที่ไม่น่าเชื่อถือใดๆ และสามคือควรให้ความสำคัญกับการอัปเดตแอปพลิเคชันใช้งานให้ทันสมัยอยู่เสมอ

"ขณะนี้แอปพลิเคชันที่ได้รับความนิยมจำนวนมากได้รวมความสามารถด้านการอัปเดตอัตโนมัติไว้ในตัวแล้ว ผู้ใช้ควรใช้ประโยชน์จากความสามารถดังกล่าวเพื่อให้แน่ใจได้ว่าแอปพลิเคชันทั้งหมด (ในเครื่อง) โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่ทำงานทันทีเมื่อระบบคอมพิวเตอร์เริ่มทำงาน ได้รับการอัปเดตให้ทันสมัยแล้ว"

เทรนด์ ไมโครไม่ระบุจำนวนผู้ใช้สไกป์ที่ได้รับความเสียหายจากภัยคุมคามครั้งนี้ ระบุเพียงว่าผลิตภัณฑ์ของเทรนด์ ไมโครในชื่อ"สมาร์ท โพรเท็คชั่น เน็ตเวิร์ค"ซึ่งเป็นรูปแบบโครงสร้างพื้นฐานการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลบนคลาวด์นั้นสามารถช่วยให้ผู้ใช้งานได้รับการป้องกันจากภัยคุกคามนี้ได้นานเป็นเวลาหลายเดือน เนื่องจากบริการตรวจสอบประวัติไฟล์ (file reputation service) ในโปรแกรมซึ่งจะปิดกั้นการดำเนินการที่จะเป็นอันตรายต่อระบบ รวมถึง URL ที่เป็นอันตรายที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีนี้ก็ถูกบล็อกจากบริการตวรจสอบประวัติเว็บ (Web reputation service) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2553 16:12 น.

"ทรูมูฟ-ผู้บริโภค"อ่วมรับแผนเปลี่ยนผ่านมือถือ 2G สู่ 3.9G

กทช.เดินแผนเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจาก 2G ไป 3.9G ในประเทศไทยเต็มรูปแบบ หลังบอร์ดมีมติให้ยกเลิกการให้บริการ 2G เมื่อหมดอายุสัมปทานของผู้ให้บริการขณะนี้ เชื่อวิบากกรรมตกอยู่ที่ทรูมูฟซึ่งมีอายุสัมปทานสั้นที่สุด และผู้บริโภคซึ่งต้องตกที่นั้งลำบากเพราะต้องซื้อเครื่องลูกข่ายราคาแพง

ชูนโยบาย"แข่งเป็นธรรม"

พ.อ.นที ศุกลรัตน์ กรรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ในฐานะประธานกรรมการเพื่อการอนุญาตประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT หรือ 3G and beyond กล่าวว่าที่ประชุมกทช.เมื่อวันที่ 3 ก.ค.ที่ผ่านมาอนุมัติร่างประกาศกทช.เรื่องหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่เพื่อการประกอบกิจการโทรศัพท์เคลื่อนที่ IMT ย่านความถี่ 2.1 GHz ซึ่งถือเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญของกิจการโทรคมนาคมไทย พร้อมกับเปลี่ยนมูลค่าเริ่มต้นการประมูลจาก 1 หมื่นล้านบาท เป็น 1.28 ล้านบาท

การพิจาณาของกทช.นี้เป็นการนำความคิดเห็นที่ได้รับจากการรับฟังความคิดเห็นสาธารณะเมื่อวันที่ 25 มิ.ย. 2553 มาปรับปรุงประกาศดังกล่าวให้มีความสมบูรณ์ และตอบสนองเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2550 มาตรา 47 ที่กำหนดให้คลื่นความถี่เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติและส่งเสริมให้มีการใช้ประโยชน์สาธารณะ โดยมีการปรับปรุงมี 2 เรื่องคือ 1.การกำหนดมูลค่าเริ่มต้นของการประมูล (Starting Price) 2.ข้อจำกัดการถือครองคลื่นความถี่ (Spectrum Cap)

สำหรับการกำหนดมูลค่าเริ่มต้นของการประมูลจากเดิม 1 หมื่นล้านบาทต่อไลเซนส์ ซึ่งเป็นการคิดจากมูลค่าคลื่นความตามหลักวิชาการแค่ 80% พอมีการเสนอความเห็นจากนักวิชาการและการคำนวณตามหลักแล้วน่าจะเริ่มแบบ 100% คือ 1.28 หมื่นล้านบาทต่อไลเซนส์ เพราะตามวิธีการคิดความผิดพลาดไม่น่าจะทางลบ น่าจะเป็นไปตามหลักวิชาการไม่น่าคาดเคลื่อน

“เราไม่ได้หวังจะต้องทำเงินจากค่าไลเซนส์เท่านี้ หรือให้เป็นภาระของโอเปอเรเตอร์ การมีค่าประมูลเป็นเหตุและผล ซึ่งมีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย”

ส่วนการกำหนดเงื่อนไขการจำกัดการถือครองคลื่นความถี่ เพิ่มเติมจากกำหนดให้ยุติการประกอบธุรกิจการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่อยู่ภายใต้การอนุญาต สัมปทาน หรือสัญญาจากหน่วยงานของรัฐเมื่อสิ้นสุดระยะเวลาของสัญญาให้มีความชัดเจนยิ่งขึ้น ด้วยการกำหนดให้จัดทำแผนการส่งคืนคลื่นความถี่ซึ่งจะสอดคล้องกับแผนการสร้างโครงข่าย (Roll Out Plan) ผู้รับใบอนุญาตจะทยอดส่งคืนตามพื้นที่ที่เปิดให้บริการ

แนวทางนี้ทำให้การใช้งานคลื่นความถี่ซึ่งเป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะไม่ผูกขาดหรือกระจุกตัวอยู่ในผู้ให้บริการรายเก่า แต่เปิดโอกาสให้ผู้ให้บริการรายใหม่เข้าสู่ตลาดได้ ทั้งในส่วนคลื่นความถี่เดิม และคลื่นความถี่ใหม่

“เรากำลังเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยีจาก 2G ไป 3.9G ถ้าจะปล่อยให้ 2G กับ 3.9G แข่งในตลาดเดียวกันก็ถือว่าไม่เป็นธรรม เพราะเทคโนโลยีมือถือสามารถทดแทนกันได้”

ปัจจุบันทั้งรัฐและเอกชนที่ถือคลื่นความถี่ในการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่คือ กสท โทรคมนาคม ในย่าน 850 MHz จำนวน 17.5 MHz ทีโอทีย่าน 2.1 GHz จำนวน 15MHz บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส หรือเอไอเอสที่ได้สัมปทานจากองค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย ก่อนจะมาเป็นทีโอทีในปัจจุบันในย่าน 900MHz จำนวน 17.5MHz บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น หรือดีแทค ที่ได้สัมปทานจากการสื่อสารแห่งประเทศไทย ก่อนจะเป็นกสท โทรคมนาคมย่าน 850MHz จำนวน 10MHz และย่าน 1800MHz จำนวน 25MHz ทรูมูฟย่าน 1800MHz จำนวน 12.5MHz และดีพีซีย่าน 1800MHz จำนวน 12.5MHz

“ใครชนะการประมูล 3.9G จะต้องทำแผนคืนคลื่นความถี่ให้กับเจ้าของสัมปทานเดิม”

กทช.ระบุว่า การกำหนด Spectrum Cap นั้นทำไปเพราะต้องการให้เกิดการแข่งขันที่เสรีและเป็นธรรมในอีก 5-10 ปีข้างหน้า แต่การคืนคลื่นความถี่ของสัมปทานเดิมผู้ให้บริการที่ยังคงสิทธิการให้บริการ 2G ในพื้นที่ที่ลงโครงข่าย 3.9G ได้จนกว่าจะหมดอายุสัมปทาน

"ทรูมูฟ-ผู้บริโภค"ส่อแววอ่วม

ทั้งนี้ อายุสัมปทานของเอกชนที่เหลือดีแทค 8 ปี เอไอเอส 5 ปี ทรูมูฟ 3 ปี จากการกำหนดเงื่อนไขดังกล่าวผู้ประกอบการที่เหนื่อยหนีไม่พ้นทรูมูฟ เพราะก่อนหน้านี้นายศุภชัย เจียรวนนท์ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานคณะผู้บริหาร ทรู คอร์ปอเรชั่น เคยไปชี้แจงว่าราคามูลเริ่มต้นน่าจะอยู่ที่ 4-5 พันล้านบาท ถ้าเป็นหลักหมื่นล้านถือว่าสูงไป ขณะเดียวกันการที่ทรูมูฟอายุสัมปทานเหลื่อเพียง 3 ปี แล้วต้องยกเลิกการให้บริการ 2G แถมราคาเครื่องลูกข่ายที่รองรับ 3.9G ในย่านความถี่ 2.1GHz ราคาค่อนข้างแพง

แหล่งข่าวจากผู้ค้าเครื่องลูกข่ายมือถือรายใหญ่กล่าวว่า การยกเลิกบริการ 2G กระทบกับผู้บริโภคแน่นอน เพราะราคาเครื่องสูงมาก แต่เชื่อว่าพอมี 3.9G ผู้ประกอบการก็ต้องมีเครื่อง 3.9G ในระดับโลว์เอนด์ออกมารองรับแต่ราคาคาดว่าน่าจะอยู่ประมาณเครื่องละ 3 พันบาท หรือถ้าต่ำสุดคงหลัก 2 บาทต้นๆ

“การใช้งานมือถือมีการเปลี่ยนเครื่องเร็ว เพราะมีเครื่องรุ่นใหม่ๆ ดีไซน์สวยๆ ลูกเล่น หรือฟีเจอร์การใช้งานมากขึ้นออกสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง” แหล่งข่าวกล่าว

การที่ผู้บริโภคมีการเปลี่ยนเครื่องกันเร็วเพราะปัจจุบันราคาโลว์เอนด์แค่ 500 บาท หรือตั้งแต่ 1 พันบาทขึ้นไปก็มีกล้องถ่ายรูป และจำนวนผู้ใช้ขณะนี้มากกว่า 70% ไม่มีเครื่องลูกข่ายที่รองรับย่านความถี่ 2.1GHz หรืออย่างแบล็กเบอรี่ หรือบีบี บางรุ่นที่ราคาประมาณ 9 พันกว่าบาท ยังไม่รองรับ 2.1 GHz

ด้านนายวิเชียร เมฆตระการ หัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ผู้บริหาร เอไอเอส กล่าวว่า เงื่อนไขที่กทช.กำหนดทั้ง 2 เรื่องเอไอเอสไม่มีปัญหา เพราะมีความพร้อมทุกด้านอยู่แล้ว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 กรกฎาคม 2553 12:49 น.

คินเดิลจุดประทัดสงครามอีบุ๊ก, แอลจีเปิดตัวแอนดรอยด์โฟน 2.2

หลังจากที่เว็บไซด์อะเมซอนออกมาประกาศลดราคาเครื่องอ่านอีบุ๊ก Kindle DX เมื่อสัปดาห์ก่อนจากราคา 489 เหรียญ เหลือ 379 เหรียญ และลดราคารุ่นเล็กสุดเหลือเพียง 189 เหรียญ ส่งผลให้ผู้ผลิตหลายรายออกมาประกาศลดราคาเพื่อสู้ในสงครามเครื่องอ่านอีบุ๊กนี้ด้วย

รายงานข่าวระบุว่า หลังจากอเมซอนประกาศลดราคาคินเดิลไม่กี่ชั่วโมง ร้านหนังสือบาร์นแอนด์โนเบลก็ออกมาประกาศลดราคาเครื่องอ่านอีบุ๊ก "Nook" เหลือเพียง 199 เหรียญ รวมไปถึงค่ายยักษ์ใหญ่วงการไอทีอย่างโซนี ก็ออกมาประกาศลดราคาเครื่องอ่านอีบุ๊กรุ่น Daily Edition จากราคา 349.99 เหรียญ เหลือเพียง 299.99 เหรียญ, รุ่น Touch Edition จากราคา 249.99 เหรียญ เหลือ 169.99 เหรียญ และรุ่นเบสิคจากราคา 169.99 เหรียญ เหลือเพียง 149.99 เหรียญ

กระแสสงครามราคาเครื่องอ่านอีบุ๊กที่เกิดขึ้น ส่งผลให้นักวิเคราะห์หลายรายออกมาตั้งข้อสงสัยว่าผู้ผลิตคอมพิวเตอร์แท็ปเล็ตรายใหญ่อย่างแอปเปิล จะออกมาประกาศลดราคาไอแพดซึ่งมีราคาสูงถึง 499 เหรียญด้วยหรือไม่ ซึ่งในขณะนี้ยังไม่มีความคิดเห็นใดๆ ออกมาจากแอปเปิลเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว

วานนี้ (6ก.ค.53) แอลจีประกาศเปิดตัวสมาร์ทโฟนรุ่นล่าสุดในประเทศเกาหลี และอังกฤษ Optimus One และ Optimus Chic ชูระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ 2.2 (Froyo) เตรียมพร้อมวางจำหน่ายปลายปี 53 นี้

โดยแอลจี Optimus One เป็นสมาร์ทโฟนที่ผลิตออกมาเพื่อรองรับการใช้แอนดรอยด์ มาพร้อมยูสเซอร์อินเตอร์เฟสที่ใช้งานง่าย ซีพียู OMAP3630 มีหน้าจอแสดงผลขนาดกว้าง 3.8นิ้ว กล้องความละเอียด High Definition รองรับการเชื่อมต่อ HDMI และ DNLA ในส่วนของ LG Optimus Chic ซึ่งเป็นแฟชันโฟน ที่ได้รับการออกแบบใหม่ให้มีความสวยงามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังมาพร้อมเทคโนโลยีใหม่ๆ อีกมากมาย

นอกจากการเปิดตัวแอนดรอยด์โฟนเวอร์ชัน 2.2 ทั้ง 2 รุ่นแล้ว แอลจียังเตรียมก้าวเข้าสู่สงครามเครื่องอ่านอีบุ๊ก ด้วยการซุ่มผลิตคอมพิวเตอร์แท็ปแล็ต ที่ทำงานด้วยระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ และพร้อมจะส่งลงสู่สนามแข่งช่วงปลายปี 2553 นี้ด้วย

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2553 16:54 น.

วันพฤหัสบดีที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Chrome ชนะ Safari ในสหรัฐฯ, แอปฯ Kindle ลุย Android, มะกันแห่ใช้แผนที่ในมือถือ

**เบราว์เซอร์กูเกิลชนะแอปเปิลในสหรัฐฯ

โปรแกรมใช้งานเว็บไซต์ของกูเกิล "Chrome" สามารถครองความนิยมจากชาวอเมริกันได้มากกว่าโปรแกรม "Safari" ของแอปเปิลแล้วเป็นครั้งแรก ขึ้นเป็นโปรแกรมเบราว์เซอร์อันดับ 3 ตามหลัง Internet Explorer ของไมโครซอฟท์และ Firefox ของมูลนิธิมอสซิล่า

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยข้อมูลออนไลน์ StatCounter ระบุว่า Chrome สามารถแซงหน้า Safari ไปได้ในสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดในวันที่ 27 มิถุนายนที่ผ่านมา โดยมีสัดส่วนการใช้งาน 8.97% ของชาวออนไลน์ในสหรัฐฯ นำหน้า Safari ที่มี 8.88% ขณะที่ Internet Explorer ยังมีสัดส่วนการใช้งานสูงสุดที่ 52% รองลงมาคือ Firefox 28.5%

สำหรับตลาดโลก Chrome นั้นสามารถชนะ Safari มาระยะหนึ่งแล้วด้วยสัดส่วน 9.4% เทียบกับ Safari ที่มี 4% หนึ่งในสาเหตุหลักคือความหลากหลายของภาษาที่รองรับ โดย Safari รองรับเพียง 16 ภาษาเท่านั้น น้อยกว่า Chrome ซึ่งครอบคลุมภาษามากกว่าถึง 3 เท่าตัว

**กำเนิดแอปฯ Kindle เพื่อแอนดรอยด์

อเมซอน (Amazon) ยักษ์ใหญ่ออนไลน์ผู้จำหน่ายเครื่องอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์นาม Kindle จุดพลุให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) สามารถดาวน์โหลดแอปพลิเคชันอ่านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ Kindle ได้ฟรีผ่านร้าน Android Market เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา

นอกจากแอปพลิเคชันนี้จะทำให้โทรศัพท์มือถือสามารถทำงานต่างเครื่องอ่านอีบุ๊ก ผู้ใช้ Kindle บนโทรศัพท์มือถือจะยังสามารถซื้ออีบุ๊กจากร้าน Kindle Store ร้านขายอีบุ๊กออนไลน์ของอเมซอนได้ในราคาเฉลี่ย 10 เหรียญต่อเรื่องได้ด้วย ขณะเดียวกันก็สามารถค้นหาหนังสือด้วยข้อความได้อย่างสะดวก

ก่อนหน้าแอนดรอยด์ อเมซอนได้ส่งแอปพลิเคชัน Kindle สำหรับ iPhone และ BlackBerry มาก่อน ซึ่งทั้งหมดล้วนมีผลช่วยเพิ่มรายได้จากการขายอีบุ๊กให้อเมซอนทั้งสิ้น

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
***มะกันใช้บริการแผนที่ในมือถือมากขึ้น

ข้อมูลจากบริษัทวิจัยคอมสกอร์ (ComScore) ระบุว่าผู้ใช้โทรศัพท์มือถือชาวอเมริกัน 14% หรือประมาณ 33.5 ล้านคนใช้งานแผนที่อย่างน้อย 1 ครั้งต่อเดือนในช่วงไตรมาสแรกของปีที่ผ่านมา คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นราว 44% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปี 2009

การสำรวจพบว่า ชาวอเมริกันที่ใช้งานแผนที่บนโทรศัพท์มือถือ 1-3 ครั้งต่อเดือนมีจำนวนราว 17.1 ล้านคน และคนที่ใช้งาน 1 ครั้งต่อสัปดาห์มีจำนวนราว 11.6 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 60% โดยคนที่ใช้งานแผนที่บนโทรศัพท์มือถือทุกวันนั้นมีจำนวน 4.8 ล้านคน คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 9%

การสำรวจพบว่า ผู้บริโภคส่วนใหญ่ใช้แผนที่บนโทรศัพท์มือถือเพื่อหาเส้นทางรถยนต์ (สัดส่วน 87.2 %) รองลงมาเป็นการค้นหาเส้นทางเดินเท้าและจักรยาน (17.2%) นอกนั้นเป็นการค้นหาเส้นทางขนส่งมวลชน (16.7%)

Company Related Links :
Apple
Amazon
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2553 10:27 น.

ภาพเรือสุพรรณหงส์ ชนะเลิศ Doodle 4 Google

เทิดธันวา คะนะมะ เยาวชนไทยจากมหาสารคาม เป็นผู้ชนะเลิศระดับประเทศในโครงการประกวดวาดภาพ Doodle 4 Google ผู้ใช้งานเว็บกูเกิลหลายล้านคนจะได้เห็นดูเดิลภาพเรือ “สุพรรณหงส์” ซึ่งเป็นผลงานชนะเลิศจากผู้วาดอายุ 15 ปี บนหน้าโฮมเพจกูเกิลไทย ในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระบรมราชินีนาถฯ 12 สิงหาคม 2553

ดูเดิล (Doodle) นั้นเป็นชื่อที่กูเกิลเรียกภาพสัญลักษณ์บริการของตัวเองซึ่งแสดงในหน้าแรกเว็บไซต์ที่มักถูกออกแบบใหม่และเปลี่ยนแปลงไปตามเทศกาลวันสำคัญของโลก

เมื่อกูเกิลประกาศจัดการแข่งขันประกวดภาพดูเดิล Doodle 4 Google ครั้งแรกในเมืองไทย จึงมีผลงานภาพดูเดิลมากกว่า 46,000 ชิ้นส่งเข้าประกวด โดยการประกวดครั้งนี้มีสถิติเสียงโหวตจากคนไทยทั่วประเทศสูงถึง 140,000 คะเเนน ถือเป็นจำนวนมากที่สุดในการประกวด Doodle 4 Google ในภูมิภาคเอเชีย

เด็กชายอายุ 15 ปี จากโรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม ได้รับการตัดสินให้เป็นผู้ชนะเลิศระดับประเทศจากการประกาศผลพร้อมกับผู้ชนะเลิศอีก 3 คนในแต่ละกลุ่มอายุ โดยผลงานของเทิดธันวาที่มีชื่อว่า “สุพรรณหงส์” จะไปปรากฏบนหน้าเว็บเพจ Google.co.th เป็นเวลา 1 วันเต็ม ในวันแม่แห่งชาติ วันที่ 12 สิงหาคม 2553 เพื่อให้ผู้ใช้เว็บกูเกิลหลายล้านคนได้ชื่นชม

โครงการ Doodle 4 Google นี้จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยโดยเป็นความร่วมมือระหว่าง กูเกิล, กระทรวงการศึกษาธิการ และอุทยานการเรียนรู้ ทีเค ปาร์ค เชิญชวนนักเรียนไทยอายุระหว่าง 5-18 ปี ร่วมสร้างสรรค์โลโก้กูเกิลที่มีเอกลักษณ์ไทย ภายใต้หัวข้อ “เมืองไทยของฉัน”

รายชื่อผู้ชนะการประกวดวาดภาพดูเดิล ในโครงการ Doodle 4 Google ปี 2553 ในแต่ละกลุ่มอายุ แบ่งเป็นกลุ่มอนุบาล-ป.3 ด.ญ.คนึงนิจ โพธิ์ศรี โรงเรียนบวรรัตนศาสตร์ จังหวัดระยอง, “ลอยกระทง” กลุ่ม ป.4-6 ด.ญ.ประติมา ชุมศรี โรงเรียนบ้านกระเบื้องวิทยาคาร, “สัญลักษณ์ของเมืองไทย” กลุ่ม ม.1-3 ด.ช.เทิดธันวา คะนะมะ โรงเรียนมัธยมสาธิตมหาวิทยาลัยมหาสารคาม จังหวัดมหาสารคาม, “สุพรรณหงส์” (ผู้ชนะเลิศระดับประเทศ) และกลุ่ม ม.4-6 นายฉัตรตญา ทิพย์สิริพงษ์ โรงเรียนพะเยาพิทยาคม จังหวัดพะเยา, “สยามเมืองยักษ์ยิ้ม”

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2553 09:25 น.

อินเทลเตรียมกองทัพอะตอม ดัน MeeGo ลุยทุกอุปกรณ์

อินเทลเปิดไลน์สถาปัตยกรรมอะตอม หวังลุยตลาดโมบิลิตีทุกรูปแบบพร้อมผลักดันระบบปฏิบัติการ MeeGo หวังให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวในทุกอุปกรณ์ เพื่อความง่ายในการใช้งานของผู้บริโภคโดยเชื่อว่าภายในปี 2015 อุปกรณ์ไอทีทุกชนิดจะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ทุกที่ทุกเวลา

เดวิด แมคโคลสกี้ (David Mccloskey) ผู้อำนวยการ ฝ่ายการตลาดผลิตภัณฑ์ และบิสสิเนสโอเปอเรชัน อินเทล เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า ในปี 2015 อุปกรณ์ไอทีทั้งหมดที่วางจำหน่ายจะสามารถเชื่อมต่อกับอินเทอร์เน็ตได้ ไม่ว่าจะเป็นเซิร์ฟเวอร์ คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ โน้ตบุ๊ก เน็ตบุ๊ก แท็บเลต สมาร์ทโฟน ซึ่งอินเทลมีสถาปัตยกรรมที่รองรับในทุกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ เช่น ซีออน สำหรับเครื่องเซิร์ฟเวอร์ คอร์ ไอ ซีรีส์ สำหรับพีซีกับโน้ตบุ๊ก และอะตอม สำหรับอุปกรณ์พกพาทั้งหมด

"ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าอินเทลจะมีการแยกซีรีส์ของหน่วยประมวลผลอะตอม ออกเป็นทั้งหมด 6 รูปแบบ เพื่อให้รองรับการใช้งานโมบิลิตีที่ครอบคลุมการใช้งานทั้งหมดของเทรนด์เทคโนโลยีในปัจจุบัน อย่างเช่น อะตอมดูอัลคอร์ ที่จะมาพร้อมกับฟอร์มแฟกเตอร์แบบใหม่ บางและเบามากขึ้น"

โดยซีรีส์ใหม่ของอะตอมจะถูกแยกย่อยออกเป็น N ซีรีส์ สำหรับตลาดเน็ตบุ๊กเช่นเดิม, Z ซีรีส์ สำหรับตลาดโทรศัพท์มือถือ สมาร์ทโฟน, CE ซีรีส์ สำหรับโทรทัศน์ โดยการร่วมมือกับกูเกิลเพื่อผลิตอินเทอร์เน็ตทีวีที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์นั้นใช้ชิปกลุ่มนี้

ยังมี D ซีรีส์ สำหรับเดสก์ท็อปราคาถูก และ Embedded ซีรีส์ สำหรับอุปกรณ์ต่อพ่วงอื่นๆ รวมไปถึงอุปกรณ์เกดเจ็ตต่างๆ ที่ยังอยู่ในขั้นตอนการออกแบบ

สำหรับการลงทุนในแพลตฟอร์ม MeeGo ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการที่อินเทล ร่วมมือกับโนเกียในการพัฒนาขึ้นมาจากแพลตฟอร์มเดิมอย่าง Moblin และ Maemo นั้น อินเทลระบุว่าได้วางแผนให้แพลตฟอร์มดังกล่าวให้เป็นตัวกลางในการใช้งานในทุกอุปกรณ์

"เราไม่ได้พัฒนา MeeGo มาเพื่อใช้ในการแข่งขันโดยเฉพาะ แต่พัฒนามาเพื่อให้เป็นแพลตฟอร์มทางเลือกสำหรับผู้บริโภค ในการใช้งานอุปกรณ์ที่หลากหลาย คล้ายกับการเติมเต็มให้ตลาดมีระบบปฏิบัติการเดียวที่สามารถใช้ได้ในทุกอุปกรณ์"

ปัจจุบันอินเทลกำลังอยู่ในช่วงการพัฒนา MeeGo เพื่อให้สามารถใช้งานได้ในอุปกรณ์จำพวกเน็ตบุ๊ก แท็บเลต สมาร์ททีวี สมาร์ทโฟน และอุปกรณ์ต่อเชื่อมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต ซึ่งขณะเดียวกันทางอินเทลได้มีการพัฒนา แอป อัป (App up) ขึ้นมาให้คล้ายกับแอนดรอยด์มาร์เก็ต หรือ แอปเปิลสโตร์ในการดาวน์โหลดแอปพลิเคชันด้วย

"การพัฒนาแอป อัป ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้นักพัฒนาสามารถ คิดค้นแอปฯ ที่สามารถใช้งานบนระบบปฏิบัติการ MeeGo ได้ในทุกๆอุปกรณ์ในอนาคต ซึ่งในการพัฒนาจำเป็นต้องมีการร่วมมือกับผู้ผลิตคอนเทนต์ที่อยู่ในแต่ละประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ สามารถใช้งานแอปที่เหมาะกับพฤติกรรมของตัวเอง"

Company Related Link : Intel

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2553 08:47 น.