วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปิดศึกชิงนาง "เอชพี VS เดลล์"

กลายเป็นข่าวใหญ่ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อ 2 ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์อย่างเดลล์และเอชพี เปิดศึกชิงนางด้วยการแข่งกันเสนอราคาซื้อบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านระบบจัดเก็บข้อมูลหรือสตอเรจนามว่า 3PAR แบบไม่มีใครยอมใคร นักวิเคราะห์ชี้งานนี้ไม่ใช่แค่ศึกแห่งศักดิ์ศรีธรรมดา แต่เป็นการชี้เป็นชี้ตายได้ในยุคแห่งคลาวด์คอมพิวติงซึ่งกำลังจะมาถึงในไม่ช้านี้

ศึกชิงนางของเอชพี (Hewlett-Packard) และเดลล์ (Dell) นั้นเริ่มตั้งแต่ช่วงกลางเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดยเดลล์ยื่นข้อเสนอซื้อบริษัท 3PAR ด้วยเงิน 18 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมมูลค่า 1,150 ล้านเหรียญ ทั้งที่เดลล์ออกมาระบุว่ากรรมการบอร์ด 3PAR นั้นตกลงอนุมัติข้อเสนอซื้อบริษัทนี้แล้ว แต่เอชพีก็ยังประกาศให้ราคาสูงกว่าถึง 24 เหรียญต่อหุ้น ทำให้กรรมการบอร์ดถึงกับลังเลว่าจะเลือกขายบริษัทให้ใครดี

แน่นอนว่าเดลล์ไม่ยอมแพ้ ประกาศเพิ่มวงเงินเสนอซื้อหุ้นขึ้นไปอีกคือ 24.30 เหรียญต่อหุ้น พร้อมกับออกมาให้ข่าวสูตรเดิมว่า บอร์ด 3PAR ได้ยอมรับข้อเสนอมูลค่ารวม 1,600 ล้านเหรียญสหรัฐแล้วเรียบร้อย แต่แล้วเอชพีก็เรียกเสียงฮือฮาด้วยการดับเครื่องชน เพิ่มราคาเสนอซื้อบริษัท 3PAR ด้วยเงินสูงถึง 27 เหรียญสหรัฐต่อหุ้น คิดเป็นเงินรวมมูลค่า 1,800 ล้านเหรียญ (ประมาณ 58,500 ล้านบาท) คิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้นจากการเสนอราคาของเดลล์ถึง 11%

ล่าสุด (29 ส.ค. 53) เอชพีขยับราคาเสนอซื้อขึ้นอีกเป็น 2 พันล้าน เฉลี่ย 30 เหรียญต่อหุ้น โดยขณะนี้ เดลล์ยังไม่ส่งสัญญาณขึ้นราคาตามและบอกว่าจะพิจารณาให้รอบคอบก่อน

สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บอร์ด 3PAR ต้องออกประกาศให้เวลาเดลล์เป็นเวลา 3 วัน เพื่อให้เดลล์เสนอราคาที่ดีกว่านี้ ซึ่งจะครบกำหนดในวันที่ 30 สิงหาคม 53

สื่อหลายฉบับให้ข้อมูลว่า 3PAR นั้นเป็นผู้ให้บริการโซลูชันระบบจัดเก็บข้อมูลสำหรับการใช้งานระดับสูง ซึ่งได้รับการออกแบบขึ้นเพื่อใช้เป็นระบบจัดเก็บข้อมูลพื้นฐานสำหรับคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้องค์กรด้านไอทีสามารถให้บริการซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ผ่านเซิร์ฟเวอร์ได้ เท่ากับว่า 3PAR คือตัวแปรสำคัญที่จะทำให้บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้งเครื่องลูกข่ายและแม่ข่ายอย่างเดลล์และเอชพีสามารถเสริมความแข็งแกร่งธุรกิจบริการที่เกี่ยวกับคลาวด์คอมพิวติงได้แบบก้าวกระโดด

คลาวด์คอมพิวติง (Cloud Computing) นั้นเป็นเทคโนโลยีการประมวลผลแบบยืดหยุ่นตามการใช้งาน ผิดจากเดิมที่ต้องจำกัดตามความสามารถของเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่ สาเหตุที่ระบบนี้ถูกนำไปเปรียบกับก้อนเมฆก็เพราะการเพิ่มขนาด หดตัว รวมถึงเคลื่อนย้ายบนเครือข่ายได้อย่างอิสระเหมือนเมฆบนท้องฟ้า โดยผู้ใช้สามารถระบุความต้องการไปยังซอฟต์แวร์พิเศษเพื่อให้ระบบจัดสรรทรัพยากรและบริการเสมือนให้ตรงกับความต้องการ สิ่งที่เกิดขึ้นจะทำให้บริษัทองค์กรสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายได้เพราะไม่ต้องเสียงบประมาณไปกับการจัดหาทรัพยากรที่ไม่ได้ใช้งานจริง

กรณีของ 3PAR นั้นถูกระบุว่ามีความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลในระบบคลาวด์คอมพิวติงอย่างมาก จึงไม่แปลกที่เดลล์และเอชพีจะแย่งชิงกันเป็นเจ้าของเทคโนโลยี ซึ่งจะมีอิทธิพลอย่างยิ่งในวงการไอทีนับจากนี้ และฝ่ายที่ได้ 3PAR ไปเชยชมก็จะมีนำหน้าอีกฝ่ายไป 3 ก้าว

นักวิเคราะห์หลายรายมองปรากฏการณ์ชิงนางที่เกิดขึ้นว่า การซื้อ 3PAR ของเดลล์นั้นจะทำให้เดลล์กลายเป็นผู้ให้บริการระบบโซลูชันสำหรับองค์กร ซึ่งเป็นแนวทางที่เดลล์วางไว้ตลอดเวลาที่ผ่านมา เมื่อพิจารณารวมการซื้อบริษัทอย่าง Perot Systems, EqualLogic และล่าสุดคือ 3PAR ทั้งหมดสะท้อนว่าเดลล์กำลังพยายามก้าวข้ามการเป็นบริษัทผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ มาเป็นผู้ให้บริการระบบโซลูชันอย่างเต็มตัว และการซื้อ 3PAR จะทำให้เดลล์มีจุดยืนในการแข่งขันกับไอบีเอ็มและเอชพีได้ดีขึ้น

เช่นเดียวกันกับเอชพี นักวิเคราะห์เชื่อว่าเอชพีมีความมั่นใจว่าจะสามารถนำ 3PAR ไปทำเงินในช่องทางธุรกิจที่มีอยู่ได้มากขึ้นหลายเท่าตัว ทั้งหมดนี้ทำให้เอชพีไม่หวั่นใจกับการเสนอราคาหุ้นที่สูงสุดขีด

ผู้บริหารเอชพีนั้นยอมรับว่าการเสนอราคาที่ดีกว่าแก่ผู้ถือหุ้น 3PAR นั้นเกิดขึ้นเพราะความเชื่อว่า 3PAR จะสามารถสร้างความเข้มแข็งและผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวแก่ผู้ถือหุ้นเอชพี สำหรับเดลล์ ผู้บริหารเดลล์ระบุว่าการดิ้นรนควบรวม 3PAR นั้นมีจุดประสงค์คือการนำเทคโนโลยีการจัดเก็บข้อมูลแบบเสมือนหรือ Virtualized storage ของ 3PAR มาขยายกลุ่มบริการของเดลล์ ซึ่งจะทำให้เดลล์มีแหล่งรายได้ที่นอกเหนือจากธุรกิจจำหน่ายฮาร์ดแวร์เซิร์ฟเวอร์และเดสก์ท็อป พร้อมกับที่เดลล์จะมีความสามารถในการแข่งขันในธุรกิจคลาวด์คอมพิวติงได้

อย่างไรก็ตาม เดลล์นั้นยืนยันว่าผู้ถือหุ้นของ 3PAR ได้ยอมรับข้อตกลงของเดลล์แล้ว โดยผลของข้อตกลงจะทำให้เดลล์สามารถกำหนดราคาใหม่ตามข้อเสนอที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งภายใต้ข้อตกลงที่เกิดขึ้น 3PARจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของ Dell ทั้งหมด โดยแม้กรรมการบอร์ด 3PAR จะยื่นช่วงเวลาให้เดลล์เปลี่ยนแปลงมูลค่าเสนอซื้อหุ้นอีก 3 วัน ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 30 สิงหาคมนี้ แต่เดลล์ก็ยืนยันว่ากรอบระยะเวลาควบรวม 3PAR จะไม่เลื่อนจากที่วางไว้ว่าภายในปีนี้แน่นอน

ไม่ว่า 3PAR จะเป็นของใคร แต่การเสนอราคาตัดหน้าเดลล์กลับทำให้ราคาหุ้นเอชพีร่วงลง สะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนมีปฏิกริยาในด้านลบต่อการกระทำของเอชพี โดยเอชพีนั้นประกาศซื้อบริษัทด้านคลาวด์คอมพิวติงนามว่า Stratavia อีกรายเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นบริษัทที่เชี่ยวชาญด้านการจัดการระบบฐานข้อมูลและแอปพลิเคชันแบบอัตโนมัติ โดยเป็นการซื้อที่ไม่เปิดเผยมูลค่าต่อสื่อมวลชน

สำหรับผลแพ้ชนะว่าใครจะได้เป็นเจ้าของ 3PAR คาดว่าจะได้รู้อย่างเป็นทางการภายในสัปดาห์นี้

Company Related Link :
Dell
HP

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 สิงหาคม 2553 10:30 น.

วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Intel ฮุบ McAfee พลิกฟ้าไอที?

ฮือฮาเหลือเกินเมื่อผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์อันดับ 1 ประกาศซื้อบริษัทแอนตี้ไวรัสอันดับ 1 โดยอินเทล (Intel) ตัดสินใจซื้อแมคอาฟี (McAfee) ในราคา 7,680 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 2.42 แสนล้านบาทช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ทุกฝ่ายเชื่อ การทุ่มเม็ดเงินมหาศาลเพื่อซื้อกิจการต่างสายพันธุ์ของอินเทลนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการไอทีทั่วโลก

เหตุที่นักวิเคราะห์เชื่อว่าการซื้อแมคอาฟีของอินเทลจะนำไปสู่การพลิกฟ้าไอทีโลกนั้นมีหลายส่วน ทั้งการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมชิปคอมพิวเตอร์และตลาดระบบรักษาความปลอดภัยอุปกรณ์ไอที ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อบริษัทผู้ผลิตรายอื่นในตลาด พันธมิตรที่เกี่ยวข้อง และแน่นอนที่สุดคือลูกค้าผู้บริโภคทั้งในกลุ่มองค์กรและผู้บริโภคทั่วไป

อินเทลตกลงซื้อหุ้นแมคอาฟี่ในราคา 48 เหรียญต่อหุ้น สูงกว่ามูลค่าตลาดวันศุกร์ที่ 20 สิงหาคม 53 ถึง 60% โดยยังไม่ผ่านการอนุมัติจากสำนักงานกำกับดูแลในสหรัฐฯ

** เปิดยุคใหม่ ลุยตลาดใหม่ **

ตามความคาดหมาย อินเทลมีแผนจะติดตั้งซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสลงในไมโครชิปแบรนด์อินเทล เสริมจากปัจจุบันที่อินเทลได้เริ่มติดตั้งซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสลงในผลิตภัณฑ์ของตัวเองแล้ว แน่นอนว่าการซื้อแมคอาฟีจะเป็นการตอกย้ำว่า อินเทลกำลังจะพาโลกทั้งใบกระโดดเข้าสู่ยุคใหม่ "security-on-silicon" เปลี่ยนจากเดิมที่ผู้ใช้ต้องดิ้นรนซื้อและควานหาซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสมาติดตั้งด้วยตัวเอง

สิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีผลโดยตรงต่อทั้งอุตสาหกรรมซีเคียวริตี้และอุตสาหกรรมซิลิคอน เนื่องจากที่ผ่านมาอินเทลนั้นมีอิทธิพลมหาศาลต่อวงการคอมพิวเตอร์ทั่วโลก เพราะชิปที่ขับเคลื่อนคอมพิวเตอร์ทั่วโลกมากกว่า 80% นั้นแปะยี่ห้ออินเทลทั้งในกลุ่มคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและเครื่องแม่ข่าย

ไม่ใช่แค่ยุคใหม่ แต่การซื้อบริษัทแอนตี้ไวรัสเบอร์หนึ่งจะทำให้อินเทลสามารถเปิดตลาดใหม่ได้ด้วย โดยอินเทลประกาศว่า การควบรวมกับแมคอาฟีคือส่วนหนึ่งของแผนขยายธุรกิจสู่ตลาดอุปกรณ์พกพาและอุปกรณ์ไร้สาย ทั้งโทรศัพท์มือถือ ระบบนำทางในรถยนต์ โทรทัศน์ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้านสุขภาพ

Renee James ผู้บริหารอินเทลฝ่ายซอฟต์แวร์ของอินเทลระบุว่าโอกาสที่อินเทลมองคืออุปกรณ์ออนไลน์หลายพันล้านเครื่องทั่วโลกที่ยังต้องการความปลอดภัยสูง จุดนี้ทำให้อินเทลมองว่าบ่อทองของอินเทลในอนาคตอยู่ที่ตลาดระบบฝังตัว (embedded market) โดยเฉพาะตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่มีโปรแกรมจิ๋วติดตั้งภายในเพื่อการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต

เช่นเดียวกับ Dave DeWalt ซีอีโอแมคอาฟีที่เห็นด้วยว่าธุรกิจระบบรักษาความปลอดภัยบนอินเทอร์เน็ตนั้นมีโอกาสเติบโตสูงมาก โดยเฉพาะในยุคที่อุปกรณ์ไร้สายมีบทบาทโดยตรงกับวิถีชีวิตมนุษย์ปัจจุบัน

ทั้งหมดนำไปสู่การตัดสินใจรวมเป็นทองแผ่นเดียวกัน โดย DeWalt โพสต์ให้คำมั่นไว้ในบล็อกหลังการแถลงข่าว ว่าการรวมกันของแมคอาฟีและอินเทลจะนำไปสู่การยกระดับระบบรักษาความปลอดภัยยุคหน้า ซึ่งจะมีผลกับผู้ใช้ทุกคนและอุปกรณ์ทุกเครื่องที่เกี่ยวข้องกับเครือข่ายอินเทอร์เน็ต เนื่องจากที่ผ่านมา อาชญากรไซเบอร์นั้นใช้ความเสรีและความสะดวกง่ายดายของอินเทอร์เน็ตในทางที่ผิด ทำให้ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตกอยู่ในความเสี่ยงมาโดยตลอด

อินเทลเชื่อว่า ชิปอินเทลพร้อมซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสแมคอาฟีรุ่นแรกจะเริ่มเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในครึ่งปีแรกของปี 2011 ซึ่งเป็นปีเดียวกับที่อุปกรณ์น้องใหม่อย่าง Google TV ที่อินเทลจะร่วมมือกับกูเกิลและลอจิเทคสร้างสรรค์ตลาดทีวีออนไลน์รูปแบบใหม่จะได้ฤกษ์วางตลาด

** แอนตี้ไวรัสรายอื่นไม่หวั่น **

ผู้ผลิตซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสรายอื่นยังคงแสดงท่าทีเข้มแข็งว่าไม่หวั่นใจกับการซื้อแมคอาฟีของอินเทล โดยผู้บริหารบริษัทแพนด้าซีเคียวริตี้ (Panda Security) ให้สัมภาษณ์ว่ายินดีอย่างยิ่งต่อความเคลื่อนไหวนี้ของอินเทล เชื่อว่าสิ่งที่เกิดขึ้นคือข่าวดีในอุตสาหกรรม เนื่องจากการตัดสินใจขายบริษัทของแมคอาฟีย่อมทำให้การแข่งขันในอุตสาหกรรมเป็นไปอย่างคึกคักยิ่งขึ้น

Juan Santana ซีอีโอแพนด้าเชื่อว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้เป็นไปตามแนวคิดอมตะที่ว่าการรักษาความปลอดภัยจะเป็นเสาหลักของระบบการประมวลผลยุคหน้า โดยมองว่ากาลเวลาจะบอกเองว่าการควบรวมที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องดีหรือร้ายแก่ทั้งลูกค้า พันธมิตร และผู้ถือหุ้นของแมคอาฟีและอินเทล

เหนือสิ่งอื่นใด ผู้บริหารแพนด้าเชื่อว่าข่าวนี้จะทำให้ภาพความสำคัญของระบบรักษาความปลอดภัยนั้นเข้มข้นขึ้นกว่าเดิมอย่างชัดเจน

ก่อนหน้านี้ อินเทลเคยแสดงท่าทีเตรียมนำเทคโนโลยีของแมคอาฟีมาใช้รักษาความปลอดภัยในระบบเก็บข้อมูลของแอปพลิเคชันและบริการคลาวด์คอมพิวติง (cloud computing) ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์แรงสำหรับบริษัทที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้วยการใช้แอปพลิเคชันออนไลน์และบริการฝากไฟล์บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว คาดว่าจะในอนาคตจะมีการเติบโตรวดเร็วในตลาดนี้

แมคอาฟีนั้นเป็นบริษัทในแคลิฟอร์เนียซึ่งก่อตั้งในปี 1987 สามารถสร้างรายได้มากกว่า 2,000 ล้านดอลลาร์ในปี 2009 โดยก่อนหน้าข่าวนี้ เอชพี (HP) ผู้ผลิตพีซีรายใหญ่ก็ประกาศซื้อบริษัทแอนตี้ไวรัสนาม Fortify Software เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ถือเป็นการตอกย้ำความเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะพลิกฟ้าไอทีทั่วโลกในอนาคต

Company Related Links :
Intel
Mcafee

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 สิงหาคม 2553 09:52 น.

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ระวังภัย! สแปมบนเฟสบุ๊ก ลวงขาย MLM

ในปัจจุบัน นอกจากผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตจะต้องพบกับปัญหาสแปมเมล์ หรืออีเมล์ขยะ ที่แฝงตัวเข้ามาในอีเมล์ส่วนตัวโดยที่เราไม่รู้จักผู้ส่งมาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอีเมล์เชิญชวนซื้อสินค้า หรือแนะนำให้เข้าร่วมทำธุรกิจออนไลน์ที่สร้างความรำคาณไม่น้อยให้กับผู้ใช้งาน ล่าสุดสแปมเหล่านี้ยังเริ่มคืบคลานเข้าสู่กระแสโซเชียลเน็ตเวิร์ก อย่างเฟสบุ๊ก ซึ่งจะมาในรูปแบบของการเชิญชวนให้เข้าร่วมกิจกรรม

ยกตัวอย่างเช่น “รับทีมโปรโมต web site Magazine Online” “อยากมีตังเยอะๆ อยากไปช็อปปิ้ง” หรือ “รู้ไหมว่าสุขภาพที่ดี ส่งผลกับรายได้ที่เพิ่มขึ้น!!”
เพื่อให้สมาชิกกดตอบตกลงเข้าร่วมกิจกรรม

สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ สแปมดังกล่าวดูเหมือนจะเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นบนเฟสบุ๊ก แม้ว่าเว็บไซด์เครือข่ายสังคมจะเป็นสถานที่ที่ผู้คนนิยมใช้ในการแสดงตัวตนให้บุคคลอื่นรับรู้

นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดังในเชียงใหม่รายหนึ่งพูดถึงปัญหาสแปมบนเฟสบุ๊กว่า ทุกครั้งที่เข้ามาในเฟสบุ๊กจะเห็นว่ามีกิจกรรมเกิดขึ้น ทั้งๆ ที่เรายังไม่เคยไปตอบรับเข้าร่วมกิจกรรมจากที่ไหน แต่มันเป็นการเชิญชวนเข้าร่วมกิจกรรม

“แต่ละวันจะเข้ามาประมาณ 3-4ครั้ง แม้ว่าเราจะกดไม่เข้าร่วมกิจกรรม มันก็ยังส่งมาอีก แต่เปลี่ยนชื่อคนส่งแทน”

จากปัญหาสแปมที่เริ่มเข้ามาระบาดบนเฟสบุ๊กได้ประมาณ 2-3 อาทิตย์ที่ผ่านมา ทำให้มีสมาชิกเว็บบอร์ดพันธุ์ทิพย์ ดอทคอม ห้องเฉลิมไทย ที่ใช้ชื่อล็อกอินว่า "แพนิดา" ออกมาตั้งกระทู้เตือนภัยสแปมดังกล่าว โดยพาดหัวว่า "ฝากเตือน ธุรกิจอาหารเสริม HBL ที่มาในรูปแบบ JUMP magazine online"

ภายในกระทู้ดังกล่าวพูดถึงปัญหานี้ว่า "เราเป็นคนหนึ่งที่เคยโดนนิตยสาร JUMP Magazine online ติดแท๊กรูปของนิตยสารบนเฟสบุ๊ก ด้วยความอยากรู้อยากเห็นจึงกรอกข้อมูลลงไป หลังจากนั้นก็มีผู้หญิงโทรมาหา คุยสักพักก็บอกว่าโทรมาจากบริษัท Global Adverting ซึ่งเราจำได้ว่าเป็นธุรกิจของยาลดน้ำหนักยี่ห้อ Herbalife"

"เจ้าหน้าที่พยายามจะบอกเราว่า บริษัทรับทำแม๊กกาซีน ออนไลน์ โดยเรียกให้เราไปอบรมวิธีการโฆษณาผ่านแม๊กกาซีน ออนไลน์ ที่ตึกเอ็มไพร์ ทาวเวอร์ ถ.สาธร แต่จริงๆ แล้วเป็นการเรียกไปอบรมเพื่อให้รู้ว่า ถ้าทำเฮอร์บาไลฟ์ แล้วจะได้เงินเยอะแค่ไหน"

เมื่อมองย้อนกลับไปจะเห็นได้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงปัญหาเดิมๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้งานคอมพิวเตอร์ เพียงแต่ปัจจุบันด้วยกระแสความร้อนแรงของเฟสบุ๊ก จึงทำให้มิจฉาชีพเหล่านี้ เริ่มมองเห็นช่องทางใหม่ในการทำตลาดธุรกิจขายตรง หรือเอ็มแอลเอ็ม เหมือนที่หลายๆ ธุรกิจทำ การแก้ปัญหาเบื้องต้นที่ผู้บริโภคพอทำได้ในขณะนี้คือการหลีกเลี่ยงการกดตอบรับเพื่อเข้าร่วมกิจกรรม หรือกรอกข้อมูลส่วนตัว อีเมล์ และเบอร์โทรศัพท์ลงไป เพื่อป้องกันการถูกคุกคามทางโทรศัพท์ หรือการรายงานกิจกรรมดังกล่าวไปยังผู้ดูแลระบบ โดยกดด้านล่างสุดของหน้าเว็บเพจ จากนั้นเลือกเหตุผลในการร้องเรียน

ตัวแทนจากสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) กล่าวว่า ถ้าผู้บริโภคมั่นใจว่าสแปมที่เข้ามาในเฟสบุ๊กมาจากบริษัทเดียวกัน สามารถรวมตัวกันเพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทดังกล่าว เพื่อเป็นการปลุกแสให้ผู้ที่เกี่ยวข้องเห็นถึงความเดือดร้อนที่ได้รับ และเข้ามาช่วยกันแก้ไขปัญหาดังกล่าวให้ทันท่วงที

Company Related Link :
Facebook

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 สิงหาคม 2553 15:35 น.

วันพุธที่ 18 สิงหาคม พ.ศ. 2553

'เดลล์-กูเกิล' ซื้อบริษัทอุตลุต

ผู้ผลิตคอมพิวเตอร์รายใหญ่สัญชาติอเมริกันอย่างเดลล์ประกาศเทเงินหลักพันล้านเหรียญสหรัฐซื้อบริษัท 3PAR ผู้ให้บริการระบบเก็บข้อมูลหรือดาต้าสตอเรจ ขณะที่กูเกิลประกาศซื้อบริษัทผู้สร้างเทคโนโลยีชำระเงินออนไลน์ที่สามารถแปลงสกุลเงินในโลกจริงให้เป็นเงินเสมือนเพื่อซื้อสินค้าออนไลน์

เดลล์นั้นประกาศซื้อบริษัท 3PAR ด้วยเงิน 1,150 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 36,500 ล้านบาท โดย 3PAR นั้นเป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญด้านระบบบันทึกและจัดการข้อมูลดิจิตอลที่เปิดดำเนินงานมานาน 11 ปี โดยเดลล์ระบุว่าผลิตภัณฑ์ 3PAR จะทำให้ผู้ใช้เดลล์สามารถจัดการระบบไอทีได้ง่ายในราคาประหยัดยิ่งขึ้น เนื่องจากเทคโนโลยีการทำงานเสมือนของ 3PAR นั้นสามารถลดค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์และค่าพลังงานได้จริง

เดลล์ระบุว่าจะคงสำนักงาน 3PAR ในเมือง Fremont ทางตอนเหนือของแคลิฟอร์เนียไว้ และจะควบรวมผลิตภัณฑ์ของ 3PAR เข้าสู่กลุ่มผลิตภัณฑ์ดาต้าสตอเรจของเดลล์ คาดว่าการควบรวมบริษัทจะเสร็จสิ้นกระบวนการภายในปลายปีนี้

ในวันเดียวกัน บริษัทผู้สร้างเทคโนโลยีชำระเงินออนไลน์น้องใหม่นาม Jambool ได้ประกาศว่าถูกยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตอย่างกูเกิลซื้อไป ไม่เปิดเผยมูลค่าเม็ดเงินซื้อขายแต่อย่างใด

Jambool นั้นเป็นบริษัทผู้สร้างระบบชำระเงินออนไลน์ในเว็บไซต์เครือข่ายสังคมหลายค่ายในชื่อ Social Gold ซึ่งเป็นเทคโนโลยีการชำระเงินที่ผู้สร้างเกมออนไลน์จะสามารถรับเงินจากการซื้อขายสินค้าเสมือนได้ โดยผู้บริหาร Jambool ระบุว่าต้องการให้นักพัฒนาเกมสามารถจัดการระบบเศรษฐกิจเสมือนได้จากทุกพื้นที่ทั่วโลก

การซื้อบริษัทของยักษ์ใหญ่ไอทีนั้นมีนัยสำคัญที่การเป็นคำบอกใบ้ว่าก้าวต่อไปของบริษัทเหล่านี้คืออะไร สำหรับกรณีของเดลล์ เท่ากับว่าผู้ใช้จะได้เห็นเดลล์รุกหนักในตลาดสตอเรจอย่างจริงจังในอนาคต เช่นเดียวกับกูเกิล ที่คาดว่ายักษ์ใหญ่กูเกิลจะให้ความสำคัญกับวงการผู้สร้างและจำหน่ายแอปพลิเคชันออนไลน์แบบเข้มข้นขึ้น

Company Related Link :
Dell
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 11:53 น.

เตือนภัยปุ่ม Dislike ปลอมบน Facebook

ในเมื่อมีปุ่มถูกใจหรือ Like แล้ว แฟนเฟสบุ๊ก (Facebook) หลายคนต่างอยากให้มีปุ่ม "ไม่ถูกใจ" หรือ Dislike บนเฟสบุ๊กบ้าง ล่าสุดนักก่อกวนปิ๊งไอเดียสวมรอยหลอกล่อผู้ใช้เฟสบุ๊กด้วยการเปิดให้ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปุ่ม Dislike ปลอม ซึ่งไม่สามารถทำงานได้จริงบนเฟสบุ๊ก

เฟสบุ๊กนั้นเป็นบริการเครือข่ายสังคมที่มียอดสมาชิกในประเทศไทยสูงเกิน 4 ล้านคน จากสมาชิกทั้งหมดมากกว่า 500 ล้านคนทั่วโลก จุดเด่นคือสมาชิกจะสามารถสื่อสารกับเพื่อนทั้งในกลุ่มและนอกกลุ่มได้ในรูปเครือข่ายไม่รู้จบ คอนเทนต์ที่ถูกสื่อสารบนเฟสบุ๊กนั้นมีทั้งข้อความ ลิงก์เว็บไซต์ ภาพนิ่ง และวิดีโอซึ่งผู้ใช้สามารถกดให้คะแนนเพื่อแสดงจุดยืนว่าถูกใจหรือชื่นชอบคอนเทนต์นั้นๆด้วยการกดปุ่ม Like นำไปสู่วิถีการโฆษณาออนไลน์บนเฟสบุ๊กที่คึกคักอย่างยิ่งในประเทศไทยเนื่องจากสมาชิกหลายคนมักคลิกไปชมคอนเทนต์ที่เพื่อนของตัวเองให้คะแนนไว้

อย่างไรก็ตาม เฟสบุ๊กยังรีรอที่จะพัฒนาปุ่ม Dislike ซึ่งผู้ใช้จำนวนไม่น้อยมองว่าจำเป็นต่อการแสดงความเห็นในด้านลบ ความต้องการนี้เองที่ทำให้นักก่อกวนเห็นช่องโหว่ จนฝ่ายรักษาความปลอดภัยของเฟสบุ๊กต้องออกมาประกาศเตือนภัยล่อลวงปุ่ม Dislike อย่างเป็นทางการ หลังจากผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาความปลอดภัยของ Sophos Security นามว่า Graham Cluley ประกาศไว้บนเว็บล็อก และสำนักข่าว CNN นำมารายงาน

รายงานระบุว่า ผู้ใช้เฟสบุ๊กหลายคนได้พบลิงก์ข้อความล่อลวงที่มีเนื้อความให้เพื่อนสมาชิกร่วมดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปุ่ม Dislike เช่น Get the official DISLIKE button NOW! แล้วตามด้วยที่อยู่เว็บไซต์หรือ URL ต่อท้าย โดยจะขึ้นเป็นข้อความสถานะของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อติดตั้งปุ่ม Dislike ปลอมมาก่อน

หากคลิก เหยื่อจะพบเว็บไซต์ปลอมที่แสดงหน้าต่างเริ่มต้นติดตั้งแอปพลิเคชัน ซึ่งแทนที่จะได้รับปุ่ม Dislike เหยื่อจะได้รับแอปพลิเคชันเปลี่ยนข้อความสถานะอัตโนมัติ เพื่อล่อลวงกลุ่มเพื่อนต่อเนื่องบนเฟสบุ๊กแทน

นอกจากนี้ Cluley ระบุว่าก่อนการติดตั้ง เหยื่อจะถูกขอให้กรอกแบบสอบถามก่อน ซึ่งจุดนี้จะทำรายได้ให้กับนักก่อกวนผู้สร้างแผนลวงนี้ขึ้น

ต้องยอมรับว่าการติดตั้งแอปพลิเคชันปุ่ม Dislike นั้นไม่ใช่เรื่องใหม่ เนื่องจากก่อนหน้านี้่ FaceMod บริษัทผู้สร้างโปรแกรมเสริมสำหรับผู้ใช้โปรแกรมเว็บเบราว์เซอร์ Firefox เคยเปิดให้ผู้ใช้ดาวน์โหลดโปรแกรมเสริมที่มีชื่อว่า "Facemod - Facebook Dislike Button" เพื่อติดตั้งปุ่ม Dislike ไว้บนหน้าเฟสบุ๊ก จุดนี้ Cluley ระบุว่าโปรแกรมจาก FaceMod นั้นไม่ใช่การล่อลวง โดยแนะให้ผู้ที่สนใจดาวน์โหลดปุ่ม Dislike จากเว็บไซต์ Mozilla.org จะปลอดภัยกว่า พร้อมย้ำว่าไม่ได้มีส่วนได้เสียกับ FaceMod ใดๆ

แน่นอนว่าการล่อลวงที่เกิดขึ้นไม่ได้แสดงถึงพัฒนาการด้านการก่อความเสียหาย แต่กลับสะท้อนถึงพัฒนาการของรูปแบบการล่อลวงที่เห็นได้ชัดเจนผ่านเครือข่ายสังคม ฉะนั้น ผู้ใช้ชาวเครือข่ายสังคมควรจะตระหนักรู้และระวังภัยล่อลวงที่แสนสมจริงนี้อยู่ตลอดเวลา และอย่าหลงเชื่อง่ายๆหากจะคลิกติดตั้งโปรแกรมใดก็ตาม

Company Related Link : Facebook

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 08:50 น.

WD ผงาดขายฮาร์ดไดร์ฟพุ่ง 194.4 ล้านยูนิต

เร็วที่สุด - WD เปิดตัวฮาร์ดไดรฟ์รุ่นล่าสุด WD VelociRaptor ซึ่งเป็นฮาร์ดไดรฟ์แบบ SATA ที่มีความเร็วสูงที่สุดในโลก ที่ระดับความเร็วสูง 10,000 รอบต่อนาที ( 10,000 RPM)

เวสเทิร์น ดิจิตอล คอร์ป (WD) ผู้ผลิตอุปกรณ์การจัดเก็บข้อมูล เผยยอดขายฮาร์ดไดร์ฟปี 53 จำนวน 194.4 ล้านยูนิต ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับผู้ผลิตฮาร์ดไดร์ฟทุกรายในอุตสาหกรรมเดียวกันทั่วโลก

มาร์กาเร็ต โค้ ผู้อำนวยการฝ่ายขาย ประจำภาคพื้นเอเชียใต้ ของเวสเทิร์น ดิจิตอล กล่าวว่า WD ในปี 2553 มีรายได้รวม 9.8 พันล้านเหรียญ อัตราการเติบโตทางธุรกิจเพิ่มขึ้น 32% และมีรายได้จากการดำเนินงานเพิ่มขึ้นถึง 194 % หรือคิดเป็นยอดขายฮาร์ดไดร์ฟมากถึง 194.4 ล้านยูนิตซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอุตสาหกรรม

“ภาพทุกภาพที่ถูกถ่าย เอ็มพี 3 ทุกเครื่องที่ถูกซื้อ และภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ฉายในโฮม เธียร์เตอร์ล้วนส่งผลให้อุตสาหกรรมการจัดเก็บข้อมูลขยายตัวอย่างต่อเนื่อง และเรายังคงรับฟังความต้องการของลูกค้าเพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการ”

WD ยังได้เปิดตัวฮาร์ดไดร์ฟรุ่นล่าสุดบางรุ่น รวมทั้ง WD VelociRaptor ฮาร์ดไดร์ฟแบบ SATA ความเร็วสูงที่สุดโลก ที่ระดับความเร็วสูง 10,000 รอบต่อนาที [10,000 RPM] สร้างขึ้นด้วยกลไกลของฮาร์ดไดรฟ์ระดับองค์กรที่สามารถทำงานได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ที่เน้นเรื่องประสิทธิภาพในระดับสูง

นอกจากนี้ ยังมี WD Scorpio Blue ฮาร์ดไดรฟ์ขนาดมาตรฐาน 2.5 นิ้ว สำหรับคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ก ที่ระดับความเร็ว 7200 RPM ส่งถ่ายข้อมูลความเร็วสูงถึง 3 กิกกะบิต ต่อวินาที (Gb/s) ผ่านระบบการเชื่อมต่อแบบ SATA ความจำแคชระดับ 16MB

WD ยังมีฮาร์ดดิสก์ไดร์ฟ My Book World Edition ที่เหมาะสำหรับเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์ต่างชนิดที่ติดตั้งภายในบ้าน เพื่อเชื่อมเข้ากับระบบเครือข่ายและช่วยให้การแชร์ไฟล์ดิจิตอลระหว่างคอมพิวเตอร์พีซีและแมคฯทำได้ง่ายดาย โดยการดึงไฟล์ข้อมูลที่จัดเก็บไว้ส่วนกลาง ไม่ว่าจะเป็นเพลง ภาพถ่าย หรือภาพยนตร์ ทำให้สามารถชมภาพยนตร์ผ่านคอมพิวเตอร์ได้ทุกเครื่องที่ติดตั้งผ่านในบ้าน หรือแม้แต่การชมผ่าน โทรทัศน์ ผ่าน Sony PlayStation และผ่าน Microsoft Xbox 360 ผู้ใช้ยังสามารถเข้าถึงและใช้งานไฟล์ได้จากทุกที่ในโลก ด้วยการเข้าถึงแบบระยะไกลผ่านโปรแกรม MioNet

Company Related Link : WD

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 18 สิงหาคม 2553 07:16 น.

วันอาทิตย์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2553

แอนดรอยด์แซงไอโฟน!!!

การสำรวจล่าสุดพบยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ฝีมือการพัฒนาของกูเกิลสามารถแซงไอโฟน (iPhone) ของแอปเปิลแล้วที่สหรัฐอเมริกา ด้าน BB (BlackBerry) ก็มีสถานภาพไม่มั่นคงนักเนื่องจากกลุ่มตัวอย่างผู้ใช้ BB เกินครึ่งอยากเปลี่ยนค่ายไปใช้แอนดรอยด์และไอโฟน

** แซงไอโฟน **

บริษัทวิจัย นีลเส็น (Nielsen Co.) ระบุว่า การสำรวจตลาดผู้ซื้อสมาร์ทโฟนในสหรัฐอเมริกาช่วง 6 เดือนแรกของปี 2010 ที่ผ่านมา พบสัดส่วนผู้ซื้อสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์นั้นเหนือกว่าไอโฟน โดยผู้เลือกซื้อแอนดรอยด์คิดเป็นสัดส่วน 27% สูงกว่า 23% ซึ่งเลือกซื้อไอโฟน

แม้จะมีสัดส่วนการซื้อมากกว่าในครึ่งปีแรก แต่แอนดรอยด์ยังคงมีส่วนแบ่งการจัดส่งสินค้าน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสมาร์ทโฟนด้วยกัน โดยมีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 13% เทียบกับแอปเปิลซึ่งมีอยู่ 28% และอาร์ไอเอ็ม (Research in Motion) ผู้ผลิต BB ซึ่งมีสัดส่วนตลาด 35%

ทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำสัญญาณอันตรายของไอโฟน ที่ชี้ว่าแอนดรอยด์ของกูเกิลกำลังขยายรัศมีทำลายล้างอิทธิพลไอโฟนได้รวดเร็วจนน่าตกใจ โดยเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา บริษัทวิจัย เอ็นพีดีกรุ๊ป (NPD Group) ก็เคยประกาศผลวิจัยว่าแอนดรอยด์สามารถแซงหน้าไอโฟนได้แล้วตั้งแต่ไตรมาส 1 ที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การสำรวจของนีลเส็นไม่ได้ครอบคลุมยอดการซื้อสมาร์ทโฟนในเดือนกรกฎาคม ซึ่งเป็นเดือนที่ iPhone 4 เริ่มวางตลาดจนคึกโครมทั่วภูมิภาคของโลก

สาเหตุหนึ่งที่ทำให้แอนดรอยด์สามารถแซงหน้าไอโฟนในเวลาอันรวดเร็ว คือไอโฟนนั้นเป็นระบบปฏิบัติการที่แอปเปิลเป็นผู้ผลิตรายเดียว แต่แอนดรอยด์นั้นเปิดกว้างให้ผู้ผลิตหลายสิบรายนำไปประยุกต์ใช้กับผลิตภัณฑ์ตัวเอง เช่น โมโตโรลา เอชทีซี แอลจี และซัมซุง โดยที่ผ่านมา กูเกิลเคยเปิดเผยตัวเลขน่าทึ่งว่าสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์นั้นสามารถทำยอดขายได้มากกว่า 160,000 เครื่องต่อวันตลอดไตรมาส 2 ของปีที่ผ่านมา เป็นสัดส่วนตัวเลขที่มากกว่า 65,000 เครื่องต่อวันในไตรมาส 1 มากกว่า 3 เท่าตัว

** ชาว BB อยากเปลี่ยนค่าย **

การสำรวจของนีลเส็นยังพบว่า ชาว BB เกินครึ่งระบุว่าหากต้องเปลี่ยนเครื่อง BB ที่ใช้อยู่ จะเลือกเปลี่ยนค่ายไปใช้งานสมาร์ทโฟนค่ายอื่นทั้งไอโฟนและแอนดรอยด์ มากกว่าการเลือก BB รุ่นสูงขึ้นกว่าเดิม แน่นอนผลการวิจัยนี้เป็นสัญญาณอันตรายของ BB 9800 รุ่นล่าสุดที่มีคิวเปิดตัวในเร็ววันนี้

นีลเส็นระบุว่า ผู้ใช้ BB ในสหรัฐฯ นั้นมีจำนวนราว 12 ล้านคน โดยกลุ่มตัวอย่างราว 57% ระบุชัดเจนว่าจะไม่เลือกใช้ BB ต่อ ซึ่งในกลุ่ม 57% นี้ ราว 29% ระบุว่าจะเปลี่ยนใจไปหาไอโฟน ขณะที่ 21% ระบุว่าจะเลือกแอนดรอยด์ ที่เหลือสนใจสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการอื่น เช่น วินโดวส์โมบายล์ (Windows Mobile)

นีลเส็นทำการสำรวจความจงรักภักดีต่อแบรนด์ของสาวกไอโฟนเช่นกัน โดยผลการสำรวจพบว่า ผู้ใช้ไอโฟนราว 90% ระบุว่าจะยังคงเลือกไอโฟนเป็นโทรศัพท์มือถือคู่ใจเครื่องต่อไป ขณะที่ผู้ใช้แอนดรอยด์ 71% ย้ำว่าจะลงหลักปักฐานกับแอนดรอยด์ต่อไป โดย 21% แอบเอนเอียงหาฝั่งไอโฟน และ 3% เล็ง BB ไว้

Company Related Link : Android

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2553 06:15 น.

Google Chrome เร็วกว่าเดิม 200%

กูเกิลเปิดตัว Google Chrome เว็บเบราว์เซอร์ ใหม่ล่าสุดในเมืองไทย ชูจุดขายเร็วที่สุด ใช้งานง่าย และปลอดภัย พร้อมด้วยชุดฟีเจอร์ที่ปรับแต่งเป็นพิเศษสำหรับผู้ใช้ในเมืองไทยที่มากกว่าประเทศอื่นรองรับนักท่องเน็ตกว่า 18 ล้านคนในเมืองไทย

แอนดรู แมคกลินชีย์ หัวหน้าฝ่ายผลิตภัณฑ์กูเกิล ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กล่าวว่า กูเกิล เปิดตัว Google Chrome เว็บเบราว์เซอร์ใหม่ล่าสุดในเมืองไทยด้วยจุดเด่นการช่วยให้ผู้ใช้โต้ตอบกับเว็บไซต์และแอปพลิเคชันต่างๆได้อย่างรวดเร็ว ง่ายดาย และปลอดภัย ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของนักท่องเน็ตเมืองไทยกว่า 18 ล้านคน

“คนไทยใช้เวลามากขึ้นในการเชื่อมต่อออนไลน์ จึงต้องการเบราว์เซอร์ที่ทำงานได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ หน้าแรกของ Google Chrome มีอินเทอร์เฟซผู้ใช้ที่เรียบง่าย พร้อมเทคโนโลยีที่ก้าวล้ำสำหรับรองรับนักท่องเว็บที่ชอบความเร็ว”

Google Chrome เป็นเวอร์ชันที่ 5 ได้รับการปรับแต่งเป็นพิเศษเพื่อความเร็วสูงสุดถึง 200% เมื่อเทียบกับเวอร์ชันแรก เพื่อให้ผู้ใช้ไปยังเว็บไซต์ที่ต้องการได้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ในส่วนของส่วนขยายหรือ Extension จะเป็นโปรแกรมขนาดเล็กที่สามารถเพิ่มเติมฟังก์ชันที่ให้ข้อมูล ความเพลิดเพลิน กูเกิลร่วมกับพาร์ตเนอร์หลายราย อย่างเว็บไซต์สนุก (Sanook), ค้นหาสินค้าบนเว็บไซต์ตลาด (Tarad), ตรวจสอบตารางการฉายภาพยนตร์ผ่านทาง MovieSeer, ตรวจสอบความเร็วในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่แท้จริงโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า SpeedTest โดยสมาคมผู้ดูแลเว็บไทย, แปลงสกุลเงิน และเข้าถึงบทความด้านการเงินผ่านทางธนาคารกสิกรไทย, รับทราบข้อมูลอัปเดตเกี่ยวกับโปรโมชั่นของทรูออนไลน์, ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวบน EDTGuide และค้นหาความหมายของคำศัพท์พร้อมคำแปลผ่านทางพจนานุกรม Long Do โดยเพียงแค่คลิกปุ่มบนเบราว์เซอร์ Google Chrome และไม่จำเป็นต้องออกจากเว็บเพจที่เปิดดูอยู่

หนึ่งในจุดขายของ Google Chrome คือการติดตั้งธีมที่สร้างโดยนักออกแบบ นักดนตรี คนดังและองค์กรชั้นนำในเมืองไทย เช่น ธีมที่ออกแบบโดยคณะกรรมการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย, ศิลปินชื่อดังอย่างอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์, ด.ช. เทิดธันวา คะนะมะ ซึ่งชนะการประกวด Doodle 4 Google ในปีนี้, อาจารย์หนู กันภัย และภาพพิเศษจากมูลนิธิเพื่อนช้าง และเพื่อช่วยให้ผู้ใช้ชาวไทยเข้าถึงเว็บผ่านทาง Google Chrome ได้อย่างกว้างขวาง กูเกิลจึงได้ร่วมมือกับทรู คอร์ปอเรชัน และตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ชั้นนำ อย่างเอสไอเอส เพื่อผนวกรวม Google Chrome เข้ากับผลิตภัณฑ์และบริการต่างๆ

ทรูจะใช้ Google Chrome เป็นเบราว์เซอร์หลักบนคอมพิวเตอร์ทุกเครื่องในร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่กว่า 500 เครื่องทั่วประเทศ และจะแนะนำ Google Chrome ให้แก่ลูกค้าบริการบรอดแบนด์รายใหม่ๆ ผ่านโปรโมชันพิเศษบนหน้าแรกเว็บเพจของทรู ให้กับลูกค้าหนึ่งล้านคนที่กำลังออนไลน์ ขณะที่ตัวแทนจำหน่ายคอมพิวเตอร์ในประเทศ ของเอสไอเอส กว่า 3,000 แห่ง จะติดตั้ง Google Chrome ไว้ในเครื่องพีซีที่วางจำหน่ายทั่วประเทศ ผู้ใช้ที่ซื้อคอมพิวเตอร์จากเอสไอเอสจะสามารถใช้ Google Chrome เพื่อเข้าถึงเว็บได้โดยอัตโนมัติ ด้วยการคลิกเมาส์เพียงแค่ครั้งเดียว

Company Related Link : Google Chrome

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2553 12:35 น.