วันศุกร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2553

ญี่ปุ่นไอเดียกระฉูด "พรินเตอร์กลิ่น"

Edited - นักวิจัยญี่ปุ่นหยิบระบบเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทมาต่อยอด ปูทางผู้ใช้พิมพ์ภาพพร้อมกลิ่นได้จากเครื่องพิมพ์เครื่องเดียว หวังใช้เทคโนโลยีนี้ในการสร้างกลิ่นให้ทีวี-คอมพิวเตอร์ เพื่อให้แฟนรายการอาหารในอนาคตได้รับรู้กลิ่นหอมของอาหารระหว่างชม รวมถึงผู้ชมภาพพิมพ์ที่จะได้รับกลิ่นตามภาพที่ชมอย่างเต็มอรรถรส

ผลงานวิจัยนี้เกิดขึ้นจากบุคลากรมหาวิทยาลัย Keio University ในโตเกียว ซึ่งระบุว่ากำลังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อหาทางนำระบบการทำงานลักษณะเดียวกับระบบในเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ท มาประยุกต์เป็นเครื่องส่งกลิ่นตามข้อมูลภาพที่ปรากฏทั้งที่เป็นภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหว ซึ่งจะทำให้ฝันเรื่องการสร้าง"ภาพยนตร์มีกลิ่น"ที่ถูกริเริ่มในโลกตั้งแต่ช่วงกลางศตวรรษที่ 20 มีแนวโน้มเป็นความจริงยิ่งขึ้น

บริษัทที่ริเริ่มการสร้างภาพยนตร์มีกลิ่นในโลกคือ AromaRama ครั้งนั้น AromaRama ใช้วิธีปล่อยกลิ่นออกมาทางเครื่องปรับอากาศในโรงภาพยนตร์ ขณะที่บริษัทคู่แข่งนามว่า Smell-O-Vision ใช้วิธีสร้างระบบปล่อยกลิ่นผ่านท่อของตัวเองขึ้นมา อย่างไรก็ตาม ทั้ง 2 โครงการนั้นล้มเหลวเพราะเสียงรบกวนจากเครื่องจักรและความอบอวลของกลิ่นเดิมไปรบกวนกลิ่นใหม่ทำให้กลิ่นในขณะนั้นไม่สัมพันธ์กับภาพ กระทั่ง iSmell USB อุปกรณ์ส่งกลิ่นจากบริษัท Digiscents ถูกส่งมากระตุ้นตลาดอีกครั้งในปี 2000 แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จเพราะปัญหาลักษณะเดียวกัน

ทั้งหมดนี้ Kenichi Okada นักวิจัยผู้เตรียมนำเสนองานวิจัยนี้ในงานประชุมซึ่งสมาคม Association for Computing Machinery มีกำหนดจัดขึ้นที่อิตาลีช่วงสัปดาห์ปลายเดือนตุลาคม 53 แสดงความเชื่อมั่นว่าความสามารถของระบบปล่อยหมึกของเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทจะสามารถนำมาประยุกต์ใช้กับการปล่อยกลิ่น ซึ่งทำให้ระบบส่งกลิ่นสามารถทำงานได้เงียบ ควบคุมได้ โดยเฉพาะการทำให้กลิ่งจางลงในชั่ววินาที

วารสาร New Scientist รายงานว่านักวิจัยญี่ปุ่นได้ร่วมมือกับผู้ผลิตเครื่องพิมพ์ร่วมชาติอย่างแคนนอน (Canon) ดัดแปลงเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตรุ่นเก่าของแคนนอนโดยใช้ชื่อว่า olfactory display คุณสมบัติเด่นคือความสามารถในการปล่อยกลิ่นสลับกัน 4 กลิ่นได้อย่างแม่นยำ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะทีมวิจัยพบว่าเครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ตนั้นสามารถพ่นหัวน้ำหอมในความเร็ว 1 พิโคลิตร (picolitr) ต่อ 0.7 มิลลิวินาที ซึ่งความเร็วดังกล่าวยังน้อยเกินกว่าขีดจำกัดที่มนุษย์จะได้กลิ่น นักวิจัยจึงเกิดแนวคิดเพิ่มเวลาให้เป็น 100 มิลลิวินาที ซึ่งทำให้เครื่องพิมพ์สามารถให้กลิ่นทั้งมะนาว ลาเวนเดอร์ แอปเปิล ซินนามอน (อบเชย) องุ่น และมิ้นต์ได้ในที่สุด

รายงานระบุว่า กลิ่นที่ได้จะจางหายไปหลังจากสูดดมสองครั้ง ทำให้เครื่องสามารถส่งกลิ่นอื่นตามมาในทันที กลิ่นที่ได้จากระบบจึงไม่ผิดเพื้ยน

Okada ระบุว่าการพัฒนาขั้นต่อไปคือการสร้างกลิ่นที่ตรงกับภาพโดยอัตโนมัติ ซึ่งหากการศึกษาประสบความสำเร็จ เครื่องพิมพ์อิงค์เจ็ทในอนาคตก็จะสามารถทำงานเป็นทั้งเครื่องพิมพ์และเครื่องปล่อยกลิ่นได้ในเครื่องเดียว

ที่ผ่านมา เทคโนโลยีกลิ่นพร้อมภาพนั้นไม่ได้ถูกคาดหวังเพื่อความบันเทิงอย่างเดียว โดยผู้เชี่ยวชาญบางรายเชื่อว่า เทคโนโลยีนี้สามารถประยุกต์ใช้งานด้านสุขภาพได้ เช่น การใช้กลิ่นช่วยเตือนความจำผู้ป่วยสมองเสื่อมให้รับประทานอาหารหรือยาอย่างตรงเวลา ซึ่งคาดว่ามนุษย์จะได้รับประโยชน์อื่นๆจากกลิ่นได้ในอนาคต

อีกความท้าทายของระบบปล่อยกลิ่นคือการสร้างกลิ่นสำหรับจุดประสงค์ทั่วไป เนื่องจากนักสังเคราะห์กลิ่นยังไม่ทราบถึงวิธีการสังเคราะห์กลิ่นทั้งหมดที่อุตสาหกรรมต้องการ การสร้างกลิ่นลักษณะนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกลิ่นไม่ได้เกิดจากการสังเคราะห์สีแดงสีเขียวหรือสีฟ้า ขณะเดียวกัน ส่วนประกอบที่จำเป็นต้องใช้ในกระบวนการสังเคราะห์กลิ่นก็ยังมีมากมายหลายพันชนิดขึ่นอยู่กับกลิ่นที่ต้องการ เช่น กลิ่นราสเบอร์รี่ที่ไม่สามารถสังเคราะห์ได้จากช็อคโกแลต เป็นต้น

Company Related Link :
Keio University

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2553 12:40 น.

ผู้ก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นจีน "Baidu" ขึ้นแท่นรวยอันดับ 2 ในจีน

อีกบทพิสูจน์ความล่ำซำจากธุรกิจเสิร์ชเอนจิ้น ล่าสุดนิตยสาร Forbes China เปิดทำเนียบเศรษฐีมังกรโดยชู Robin Li ผู้ร่วมก่อตั้งเสิร์ชเอนจิ้นสัญชาติจีนอย่าง"ไป่ตู้ (Baidu.com)"เป็นหนึ่งในสองของบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในจีนแผ่นดินใหญ่ โดย Li ครองตำแหน่งอันดับ 2 รองจาก Zong Qinghou เจ้าพ่อน้ำอัดลมแบรนด์ Wahaha ขวัญใจลูกเด็กเล็กแดงแดนมังกร

Li เป็นนักธุรกิจวัย 44 ปีที่ถูกประเมินว่ามีทรัพย์สินมากกว่า 7,200 ล้านเหรียญสหรัฐฯในปีที่ผ่านมา โดยสามารถแซงหน้าเศรษฐีรายอื่นจากเดิมที่เคยอยูในอันดับ 14 มาเป็นอันดับที่ 2 เพราะอานิสงส์จากมูลค่าหุ้นของไป่ตู้ที่พุ่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดหลังจากยักษ์ใหญ่กูเกิล (Google) ประกาศปิดบริการเสิร์ชเอนจิ้นในพื้นที่ประเทศจีน เนื่องจากไม่สามารถกระทำตามกฏหมายคัดกรองเนื้อหาเว็บไซต์หรือกระบวนการเซ็นเซอร์ของรัฐบาลจีนได้

ไม่เพียงมูลค่าหุ้นที่เพิ่มขึ้น ไป่ตู้ดอทคอมเปิดเผยเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า กำไรของบริษัทในไตรมาส 3 ปี 2553 นั้นเพิ่มขึ้นถึง 112% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา เบ็ดเสร็จกำไรอยู่ที่ 156.4 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 45 เซนต์ต่อหุ้น สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะอยู่ที่ 41 เซนต์

ในส่วนของรายได้ ไป่ตู้ประกาศว่ารายรับในไตรมาส 3 เพิ่มขึ้น 76.4% จากปีที่แล้ว แตะ 337.2 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยคาดว่าไตรมาส 4 จะสามารถทำรายได้เพิ่มขึ้นอีกจนแตะระดับ 354.2 - 364.7 ล้านเหรียญสหรัฐ

ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพของเสิร์ชเอนจินจีนที่ร้อนแรงอย่างยิ่งในขณะนี้ โดยปัจจุบัน ไป่ตู้ครองส่วนแบ่งตลาดเสิร์ชเอ็นจินในจีนมากถึง 70% และกำลังวางแผนกระจายการลงทุนไปยังธุรกิจอีคอมเมิร์ซและวิดีโอออนไลน์ในอนาคต

สำหรับ Zong แชมป์รวยอันดับ 1 ของจีนนั้นเป็นชายวัย 65 ปี มีทรัพย์สินราว 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ขยับอันดับจากเบอร์ 3 ในปีก่อนหน้า โดยชายที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 3 ของจีนคือ Liang Wengen วัย 53 ปีผู้ก่อต้งบริษัทผลิตเครื่องมือหนักนาม Sany Group มูลค่าทรัพย์สิน 5,900 ล้านเหรียญ

เหนืออื่นใด การจัดอันดับทำเนียบเศรษฐีจีนครั้งล่าสุดยังสะท้อนให้เห็นภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจแดนมังกรอย่างก้าวกระโดด โดยจำนวนเศรษฐีแดนมังกรที่ติดทำเนียบเศรษฐีระดับโลกของนิตยสาร Forbes นั้นเพิ่มขึ้นเป็น 128 รายจาก 79 รายในปีที่ผ่านมา ตามหลังสหรัฐฯที่ยังเป็นพื้นที่ที่มีเศรษฐีมากที่สุดในโลก

..ข่าวนี้อาจเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทย ลุกขึ้นมาทำเสิร์ชเอนจินเองก็ได้ เพื่อให้คนไทยไม่ต้องพึ่งพากูเกิลเพียงอย่างเดียว..

Company Related Link :
Baidu

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2553 19:29 น.

เทรนด์ไมโครจับมือ4ธนาคารใหญ่ บริการอีแบงก์กิ้งปลอดภัยชัวร์

เทรนด์ไมโคร จับมือ 4 ธนาคารยักษ์ ให้บริการ “เฮ้าส์คอลล์” บริการสแกนไวรัสออนไลน์ฟรี สร้างความเชื่อมั่นใช้บริการ “อีแบงก์กิ้ง” ปลอดภัยชัวร์

รัฐสิริ ไข่แก้ว ผู้จัดการประจำภูมิภาคอินโดจีน บริษัท เทรนด์ ไมโคร องค์ จำกัด กล่าวว่า เทรนด์ ไมโครได้ร่วมมือกับ 4 ธนาคารยักษ์ใหญ่ ประกอบด้วยธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกรุงไทย ธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย นำเสนอบริการออนไลน์สแกนไวรัส “เฮ้าส์คอลล์” (HouseCall) ฟรีแก่ลูกค้าอีแบงก์กิ้งของทั้ง 4 ธนาคารเพื่อสร้างความมั่นใจในการใช้งานธุรกรรมการเงินออลน์ รวมไปถึงเป็นการสร้างพฤติกรรการใช้งานให้ปลอดภัยจากมัลแวร์ สปายแวร์ ซึ่งถือเป็นภัยคุกคามที่สำคัญของผู้ใช้บริการอีแบงก์กิ้งในปัจจุบัน

เฮาส์คอลล์เป็นบริการตรวจสอบและกำจัดไวรัสแบบออนไลน์ แปรียบเสมือนเป็นผู้ใช้โปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่ออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ไม่จำเป็นต้องมีการติดตั้งตัวโปรแกรมลงในเครื่องของผู้ใช้แต่ประการใด เพียงแค่ผู้ใช้คลิกใช้หน้าแรกของบริการเฮาส์คอลล์ก่อนเข้าล็อกอินใช้บริการอีแบงก์กิ้งของแต่ละธนาคาร ระบบจะทำการสแกนค้าหาภัยคุกคามต่างๆที่อยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นๆ ให้ในแต่ละครั้งที่มีการทำธุรกิจกรรมผ่านอีแบงก์กิ้ง โดยเฮาส์คอลล์จะทำการสแกนค้นหาเวิร์ม โทรจัน สปายแวร์ มัลแวร์ที่อยู่ในระบบของผู้ใช้อย่างละเอียด หลังจากที่พบแล้ว ระบบก็จะทำการจำกัดภัยคุกคามออกไปจากเครื่องโดยอัตโนมัติ ซึ่งจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 10-15 นาที ขึ้นอยู่กับความเร็วอินเทอร์เน็ตขนาดของฮาร์ดดิสก์ที่สแกน และปริมาณไฟล์ข้อมูลที่ต้องการตรวจสอบด้วย

“หลังจากที่ลูกค้าของธนาคารใช้บริการเฮาส์คอลล์แล้ว เพื่อป้องกันการภัยคุกคามบนอินเทอร์เน็ตได้ดียิ่งขึ้น ควรจะมีการติดตั้งโปรแกรมป้องกันไวรัสในเครื่องคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กของตนเองด้วย เพื่อป้องกัน ตรวจสอบและกำจัดไวรัสอื่นๆ ที่จะติดมาได้ในครั้งต่อๆ ไป

รัศสิริ กล่าวว่า แนวโน้มภัยคุกคามที่เกิดขึ้นบนเว็บไซด์มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จากรายงานล่าสุดของศูนย์วิจัยเทรนด์ แล็บส์พบว่า จำนวนยูอาร์แอลที่เป็นอันตรายเพิ่มขึ้นจาก 1,500 ล้านยูอาร์แอล ในเดือนมกราคมเป็นกว่า 3,500 ล้านยูอาร์แอลในเดอนมิถุนายน โดยในอเมริกาเหนือถือเป็นแหล่งที่มียูอาร์แอลที่เป็นอันตรายมากที่สุด

ขณะที่แปซิฟิกมีเหยื่อที่ติดเชื้อมัลแวร์สูงสุด และสำหรับยูอาร์แอลที่บริษัทเทรนด์ไมโครสามารถบล็อกได้เป็นจำนวนมากที่สุด คือ เว็บไซด์ลามกและเว็บไซด์มัลแวร์สายพันธุ์ที่เป็นอัน ตรายต่างๆ เช่น โค้ด IFRAME TROJ_AGENT เป็นต้น

ปัจจุบัน จำนวนผู้ใช้บริการอีแบงก์กิ้งทั้ง 4 ธนาคารรวมกันมีประมาณ 4 ล้านบัญชี ซึ่งถือเป็นอีกบริการหนึ่งของธนาคารที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นช่องทางที่ผู้บริหารทั้ง 4 ธนาคารยืนยันว่า มีความปลอดภัยสูงในส่วนของธนาคารที่มีการลงทุนในเรื่องการรักษาความปลอดภัยแต่ในแต่ละปีเป็นงบประมาณที่ค่อนข้างสูง

อรุณภรณ์ ลิ่มสกุล ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่สายบริหารงาน ซีอาร์เอ็ม และบริการช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) กล่าวเสริมว่า ทางธนาคารมีการอัปเดทเทคโนโลยีทางระบบรักษาความปลอดภัยของธนาคารอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า ซึ่งทางธนาคารมีบริการที่คอยป้องกันความปลอดภัยทางอีแบงก์กิ้ง อย่างบริการ One Time Passwordที่เป็นมาตรฐานความปลอดภัยอีกขั้นเวลาทำธุรกรรมโอนเงิน จ่ายบิลผ่านทางเอสเอ็มเอส แต่สำหรับบริการเฮาส์คอลล์เป็นอีกบริการหนึ่งที่ช่วยยกมาตรฐานความปลอดภัยในฝั่งผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น

“ส่วนใหญ่ปัญหาความไม่ปลอดภัยบริการอีแบงก์กิ้งมักจะมาจากฝั่งผู้ใช้ที่รู้ไม่เท่าทันเหล่ามิจฉาชีพที่มีส่งสปายแวร์ โทรจันคอยดักจับยูสเซอร์พาสเวิลด์ของผู้ใช้อีแบงก์กิ้ง ทำให้เหล่ามิจฉาชีพเหล่านั้นเข้าสู่ระบบเหมือนกับเป็นเจ้าของบัญชีนั้น ถึงแม้ปัญหานี้อาจยังไม่น้อยมากซึ่งบริการนี้ถือเป็นบริการเสริมที่เป็นประโยชน์กับลูกค้าของธนาคารที่ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในการใช้บริการ”

Company Related Link :
Trend Micro

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 28 ตุลาคม 2553 11:53 น.

กูเกิลเบียดสมุดหน้าเหลือง จุดพลุบริการ Google Place Search

กูเกิลจุดพลุบริการค้นหาสถานที่ท้องถิ่นนาม Google Place Search รุกคืบบริการสมุดหน้าเหลือง Yellow Pages เต็มที่ด้วยการแนบข้อมูล แผนที่ และรีวิวเสียงตอบรับคุณภาพร้านค้าไปกับผลการสืบค้นในวิธีใหม่ มีแผนตั้งเป็นตัวเลือกสแตนด์อะโลนลักษณะเดียวกับที่ผู้ใช้กูเกิลสามารถค้นหาภาพหรือข่าวสารได้โดยเฉพาะ เท่ากับเจ้าของกิจการทั่วโลกจะมีทางเลือกในการแสดงตำแหน่งร้านของตัวเองให้ขึ้นหน้าแรกกูเกิลได้โดยไม่ต้องลุ้นกับบริการ Google Maps อย่างที่เป็นในปัจจุบัน

Jackie Bavaro ผู้จัดการโครงการ Place Search บรรยายไว้ในบล็อกกูเกิลว่า Place Search คือบริการค้นหาข้อมูลในท้องถิ่นชนิดใหม่ที่จะจัดการข้อมูลเกี่ยวกับสถานที่ทั่วโลกให้ใช้ง่ายและเป็นระเบียบ เพื่อให้ง่ายต่อการตัดสินใจของชาวเน็ตว่าจะเดินทางไปที่แห่งใด โดยผลสืบค้น Place Search จะปรากฏขึ้นโดยอัตโนมัติเมื่อกูเกิลวิเคราะห์และคาดว่าชาวเน็ตกำลังค้นหาข้อมูลในท้องถิ่นใด

"หากไม่ปรากฏข้อมูล Place Search อัตโนมัติ ผู้ใช้สามารถคลิกลิงก์เพื่อชมหน้าผลการเสิร์ชได้ด้วยตัวเอง ทั้งหมดนี้เป็นผลจากเทคโนโลยีที่ทำให้ระบบของกูเกิลเข้าใจตำแหน่งที่ตั้งร้านค้าในท้องถิ่นได้ดีขึ้น เราเชื่อมเว็บไซต์หลายล้านแห่งเข้ากับพื้นที่จริงในโลกมากกว่า 50 ล้านจุด จนทำให้ระบบสามารถวิเคราะห์อย่างอัตโนมัติว่าเว็บไซต์ใดกำลังถูกพูดถึง แม้การเสิร์ชในขณะนั้นจะไม่ได้ระบุข้อมูลที่เพียงพอก็ตาม”

ข้อมูลใน Place Search จะประกอบด้วยข้อมูลเว็บไซต์ เบอร์โทรศัพท์ เวลาทำการ และข้อมูลอื่นๆของร้านค้าท้องถิ่นทั้งร้านอาหาร ร้านจำหน่ายอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ รวมถึงร้านซักแห้ง เพื่อให้ผู้ใช้กูเกิลได้รับข้อมูลสถานที่ที่เป็นประโยชน์ต่อการสืบค้น โดยจะเปิดทางให้ผู้ใช้กูเกิลเข้ามาให้คะแนนคุณภาพร้านค้า และการแสดงลิงก์สู่บริการ Google Maps เพื่อเติมเต็มข้อมูลการเดินทางที่แม่นยำยิ่งขึ้น

รายงานระบุเพียงว่า คุณสมบัติการค้นหาสถานที่จะเริ่มต้นเปิดให้ใช้งานในหลายพื้นที่ทั่วโลกในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ข้อมูลเบื้องต้นคือการรองรับท้องถิ่นมากกว่า 50 ล้านจุดผ่าน 40 ภาษา ยังไม่มีรายละเอียดว่ามีภาษาไทยรวมอยู่ด้วยหรือไม่

Company Related Link :
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 29 ตุลาคม 2553 18:19 น.

วันพุธที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2553

บลูทูธถอยไป "WiFi Direct"มาแล้ว!!

โลกต้องบันทึกว่าวันจันทร์ที่ 25 ต.ค. 53 คือวันแรกของการเริ่มต้นให้ใบรับรองมาตรฐานเทคโนโลยี "ไว-ไฟ ไดเรกต์ (WiFi Direct)" แก่ผู้ผลิตอุปกรณ์พกพา เทคโนโลยีไว-ไฟไดเรกต์นี้เองที่หลายคนคาดหวังว่าจะทำให้การเชื่อมต่ออุปกรณ์ดิจิตอลระหว่างกันในอนาคตเกิดขึ้นได้ง่ายดายและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ฟันธงอีกไม่นาน โลกจะเข้าสู่กาลอวสานของเทคโนโลยีบลูทูธ ซึ่งผู้ใช้โทรศัพท์มือถือทั่วโลกนิยมใช้ส่งไฟล์ข้อมูลหรือภาพระหว่างกันในขณะนี้

ไว-ไฟไดเรกต์เป็นเทคโนโลยีที่กลุ่มพันธมิตรไว-ไฟ (WiFi Alliance) พัฒนาขึ้นจากเทคโนโลยีไว-ไฟดั้งเดิมเพื่อให้อุปกรณ์พกพาสามารถเชื่อมต่อกันได้อย่างรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และปลอดภัย ทั้งหมดนี้ทำให้ไว-ไฟไดเร็กต์ถูกตั้งชื่อว่าเป็นเพชฌฆาตบลูทูธ เพราะไว-ไฟไดเรกต์สามารถทำงานแทนบลูทูธได้ทุกประการ แถมยังสามารถรองรับแอปพลิเคชันและประสิทธิภาพที่เหนือกว่า

รายงานระบุว่า หลังจากการให้ใบรับรองแก่ผู้ผลิต เชื่อว่าอุปกรณ์ที่มาพร้อมเทคโนโลยีไว-ไฟไดเรกต์จะวางจำหน่ายได้ภายในปลายปี 2010 นี้

แม้ไว-ไฟไดเรกต์จะสร้างบนไว-ไฟดั้งเดิม แต่ไว-ไฟไดเรกต์กลับต้องการปัจจัยแวดล้อมในการทำงานต่างกัน ประการแรกคือไว-ไฟไดเรกต์ไม่ต้องการเครือข่ายหรือระบบกระจายสัญญาณไว-ไฟ เนื่องจากไว-ไฟไดเร็กต์จะทำให้อุปกรณ์สามารถเชื่อมต่อกันได้แบบเครื่องต่อเครื่อง (peer-to-peer) ขณะเดียวกันจะทำให้ขั้นตอนการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตของคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กผ่านสมาร์ทโฟน ทำได้ง่ายกว่ากระบวนการเชื่อมต่อปัจจุบันที่เรียกว่า adhoc เนื่องจากไว-ไฟไดเรกต์สามารถค้นหาอุปกรณ์อื่นในบริเวณรอบข้างโดยไม่ต้องเข้าร่วมเครือข่ายกัน แถมระบบยังสามารถแจ้งได้ว่าเครื่องปลายทางสามารถรับบริการใดได้บ้าง

จุดขายสำคัญของไว-ไฟไดเรกต์คือความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุด 54Mbps ทำให้ผู้ใช้สามารถส่งไฟล์ภาพความละเอียดสูงไปยังเครื่องพิมพ์ หรือส่งไฟล์วิดีโอแบบ HD จากโทรศัพท์ไปยังเครื่องเพื่อนข้างเคียงได้อย่างลื่นไหล ที่สำคัญ ไว-ไฟไดเรกต์ยังมีรัศมีการทำงานที่ครอบคลุมกว้างกว่า มีระบบรักษาความปลอดภัยด้วยการเข้ารหัส WPA2 (Wi-Fi Protected Access 2) สามารถจับคู่ได้มากกว่าหนึ่งอุปกรณ์ ทำให้ผู้ใช้สามารถจับคู่อุปกรณ์ที่สนับสนุน Wi-Fi Direct กับอุปกรณ์ต่างๆ ได้หลายชิ้นพร้อมกัน

ในมุมของผู้บริโภค คาดว่าไว-ไฟไดเรกต์จะถูกใช้ในการแบ่งปันภาพและข้อมูลอื่นๆ ระหว่างเพื่อนและครอบครัว ทั้งข้อมูลขนาดใหญ่ ภาพถ่ายความละเอียดสูง หรือวิดีโอไฮเดฟจากกล้องดิจิตอล อุปกรณ์ด้านความบันเทิง และเครื่องพีซีในบ้าน ภาพจากอุปกรณ์พกพาเหล่านี้จะสามารถส่งไปแสดงยังจอคอมพิวเตอร์หรือทีวีในบ้านได้ รวมถึงการแสดงผลระบบสนทนาผ่านวิดีโอ การเล่นวิดีโอเกมส์ และการสนทนาผ่านระบบ IM

การเชื่อมต่อที่สะดวกขึ้นยังทำประโยชน์แก่องค์กรธุรกิจด้วย โดยเฉพาะธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับการทำงานนอกสถานที่ ขณะเดียวกันการเข้ารหัส WPA2 ก็ทำให้ผู้ใช้สามารถป้องกันไม่ให้มีการขโมยข้อมูลได้อย่างรัดกุม โดยก่อนหน้านี้ หลายฝ่ายแสดงความกังวลเรื่องความปลอดภัยในไว-ไฟไดเร็กต์ เนื่องจากบลูทูธถูกตั้งข้อกล่าวหาว่าเป็นช่องทางชั้นเยี่ยมให้เหล่านักเจาะระบบขโมยข้อมูลส่วนตัว ไว-ไฟไดเรกต์จึงถูกพัฒนาให้ทำงานบนเทคโนโลยี WPA2 และการเข้ารหัสข้อมูล AES ซึ่งจะทำให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการการเชื่อมต่อและตรวจสอบได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น

เบื้องต้น รายงานระบุว่าคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในท้องตลาดปัจจุบันที่รองรับมาตรฐาน WiFi 802.11x จะสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไว-ไฟไดเรกต์ทั้งสิ้น เท่ากับผู้ที่ซื้อเครื่องพิมพ์มาตรฐานไว-ไฟไดเรกต์ในช่วงปลายปีนี้ จะสามารถเชื่อมต่อกับพีซีเครื่องดังกล่าวได้แบบทันใจ

เหนืออื่นใด กลุ่มพันธมิตรไว-ไฟนั้นมีสมาชิกเป็นบริษัทไอทีรายใหญ่อย่างซิสโก้ และอินเทล การเกิดขึ้นของไว-ไฟไดเรกต์จึงถูกมองว่าจะมีบทบาทกับอุตสาหกรรมไฮเทคทั่วโลก ทำให้มีโอกาสสูงที่บลูทูธ ซึ่งเคยเป็นเทคโนโลยีที่จำเป็นสำหรับการส่งไฟล์หรือข้อมูลอื่นๆ ระหว่างอุปกรณ์มาตลอด จะถูกลืมเลือนไปโดยมีไว-ไฟไดเรกต์มาแทนที่ และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของโลกอุปกรณ์ไฮเทคครั้งใหญ่อีกครั้ง

Company Related Link :
Wi-Fi

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 27 ตุลาคม 2553 09:26 น.

วันอังคารที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"หนีเสือปะจระเข้" โละ CAT CDMA หันหา HSPA

นักวิชาการชี้ กสท เปลี่ยนเทคโนโลยี เลิก CDMA หันไปทำ 3G HSPA ไม่คุ้มค่า ได้ไม่เท่าเสีย ชี้เทคโนโลยีจะตายในอีก 3-4 ปีข้างหน้า เผยซื้อฮัทช์มีอำนาจต่อรองสูงเพราะเป็นเจ้าของความถี่ ควรเร่งซื้อมาปั๊มเงินทำประโยชน์ก่อนหมดอายุแล้วลุยทำ 4G LTE คุ้มค่ากว่ากันเยอะ
นายอนุภาพ ถิรลาภ นักวิชาการอิสระด้านโทรคมนาคม กล่าวว่า การที่บริษัท กสท โทรคมนาคม มีแผนเปลี่ยนเทคโนโลยีจาก CDMA หันมาลงทุน 3G ด้วยเทคโนโลยี HSPA แทน หากไม่สามารถซื้อกิจการบริษัท ฮัทชิสัน ซีเอที ไวร์เลส มัลติมีเดีย (ฮัทช์) ได้นั้น การลงทุนใหม่ด้วย HSPA ถือว่าไม่มีเหตุผลเนื่องจากอายุของเทคโนโลยีดังกล่าวจะหมดลงในอีก 3-4 ปีข้างหน้าเช่นเดียวกับ CDMA เนื่องจากขณะนี้โลกของเทคโนโลยีไร้สาย กำลังมุ่งเข้าสู่เทคโนโลยี 4G หรือ LTE ซึ่งอยู่ระหว่างการทดสอบและจะแพร่หลายในเชิงพาณิชย์มากขึ้นในอีก 3-4 ปีข้างหน้า

'การที่ กสท มีแผนสำรองอัปเกรดความถี่เดิมเป็น 3G ด้วย HSPA หากซื้อฮัทช์ไม่สำเร็จ เป็นวิธีที่ไม่มีเหตุผลเลย เพราะอย่างที่รู้ๆ กัน HSPA คือระบบ 3.9G ที่อายุเทคโนโลยีจะหมดลงในอีก 3-4 ข้างหน้า กว่า กสท จะจัดซื้อจัดจ้างประมูล ติดตั้งโครงข่ายใหม่ ก็ใช้เวลาไปร่วมปีครึ่ง ยิ่งทำให้เหลือเวลาใช้งาน HSPA สั้นลงไปอีก'

ทั้งนี้การลงทุนด้าน HSPA ถึงจะมีต้นทุนที่ต่ำก็จริง แต่สาเหตุที่ราคาอุปกรณ์ถูกเป็นเพราะอายุการใช้งานเหลืออยู่น้อยเต็มทีแล้ว

หากพิจารณาให้รอบด้านถึงเทคโนโลยีปัจจุบันและแนวโน้มในอนาคตแล้ว จะเห็นว่าการที่ กสท เข้าไปซื้อกิจการฮัทช์มีเหตุผลมากกว่า เพราะราคาสามารถต่อรองกันได้ เนื่องจากฮัทช์เป็นเพียงผู้ทำการตลาด ส่วนบริษัท บีเอฟเคที ประเทศไทย จำกัดเป็นผู้ติดตั้งและให้เช่าโครงข่าย ส่วน กสท เป็นเจ้าของคลื่นความถี่ ซึ่งอำนาจการต่อรองย่อมสูงกว่า

'การซื้อฮัทช์เป็นการซื้อของที่มีอยู่แล้ว มาเร่งปั๊มเงินทำประโยชน์ให้สูงสุดก่อนเทคโนโลยีจะหมดอายุ ซึ่งคุ้มค่าและคุ้มทุนได้เร็วกว่า'

อย่างไรก็ตามการนำความถี่ 850MHz มาให้บริการ 3G HSPA นั้น กสท ไม่สามารถทำได้ทันทีเพราะต้องขออนุญาตจากคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) ก่อนเพราะความถี่ดังกล่าวได้รับอนุญาตให้บริการแบบอนาล็อกเท่านั้น ดังนั้นการนำมาให้บริการดิจิตอลจึงต้องขออนุญาตก่อนซึ่งจะกลายเป็นเรื่องยากเพราะที่ผ่านมา กสท ได้ฟ้องร้อง กทช.กรณีจัดสรรความถี่ 2.1GHz เพื่อให้บริการ 3G ส่งผลให้ กทช.ไม่มีอำนาจจัดสรรคลื่นความถี่จนกว่าศาลจะตัดสินชี้ขาด

นายอนุภาพกล่าวต่อว่า หาก กสท ไม่สามารถซื้อฮัทช์ได้ก็ควรมุ่งการลงทุนไปยังเทคโนโลยี LTE ซึ่งเป็น 4G จะคุ้มค่ามากกว่า เพราะ LTE แม้จะนิยมใช้บนย่านความถี่ 2.0-2.4GHz แต่ก็สามารถให้บริการบนย่านความถี่ 850MHz ได้เช่นกัน เพียงแต่ไม่มีการใช้งานแพร่หลายเท่านั้นและการลงทุนบนความถี่ 850MHz จะมีต้นทุนสูงกว่าการลงทุนบนความถี่ย่าน 2.0-2.4GHz เพราะปริมาณการผลิตอุปกรณ์มีจำนวนน้อยกว่า

แหล่งข่าวจาก กสท กล่าวว่าการเมืองกำลังจะทำให้องค์กรนี้วิบัติ เพราะความเห็นแก่ได้ ซึ่งหากเห็นกับหน่วยงานรัฐหรือชาติบ้านเมืองบ้าง ควรกำหนดนโยบายให้ชัดเจนว่าจะให้หรือไม่ให้ทำอะไร กรณี CAT CDMA เรียกได้ว่าลงทุนไปยังไม่ทันจะได้ขายหาเงินให้คุ้มค่า ทั้งๆที่ได้เปรียบอย่างมากใน 51 จังหวัดภูมิภาคเพราะเป็นบริการสื่อสารข้อมูลความเร็วสูงน้องๆ 3G มีเวนเดอร์จำนวนมากเข้าแถวรอนำเข้าอุปกรณ์เพื่อมาช่วยทำตลาด แต่ความไม่แน่นอนของคนกุมนโยบาย กำลังทำให้โอกาสที่ดีทางการตลาดหลุดลอยไป

'จะทำอะไรก็รีบทำให้ชัดเจน เพราะธุรกิจเดินหน้าไม่ได้ ถ้าไม่มีความชัดเจนสักเรื่อง หากอยากล้มดีลฮัทช์เลิก CDMA แล้วเปลี่ยนเป็น HSPA ก็ต้องตอบสังคมให้ได้ว่าดีกว่าอย่างไร และควรรีบทำ เพราะลงทุน HSPA ก็เหมือนทำโครงการใหม่อีกเป็นปีกว่าจะเสร็จ ซึ่งระหว่างนี้ก็ควรตอบให้ได้ว่าจะให้กสทยืนอยู่จุดไหน ในธุรกิจสื่อสารไร้สาย'

Company Related Link :
CAT CDMA

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 ตุลาคม 2553 10:00 น.

วันอาทิตย์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2553

กูเกิลชิมลางบรอดแบนด์ 1Gbps ที่ ม.สแตนฟอร์ด

Edited - กูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่อินเทอร์เน็ตเตรียมทดสอบเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1 Gbps ในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดภายในปีหน้า (2011) ถือเป็นการนำร่องเพื่อเบิกทางสู่การจุดพลุบริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงพิเศษในสหรัฐฯ ซึ่งผู้ใช้สามารถส่งข้อมูลได้ถึง 1 กิกะบิตต่อวินาที เร็วกว่าอินเทอร์เน็ต "1 เม็กฯ" ถึง 1000 เท่าตัว

มหาวิทยาลัยที่ผู้ก่อตั้งกูเกิลเคยร่ำเรียนมา กลายเป็นพื้นที่แรกในรายชื่อสถานที่ทดลองเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงของกูเกิลอย่างจริงจังในที่สุด เครือข่ายนี้ระบุว่าเป็นเทคโนโลยีโครงข่ายไฟเบอร์ออปติกชนิดใหม่ที่กูเกิลได้ทดสอบในพื้นที่สำนักงานใหญ่ของตัวเองมาระยะหนึ่งแล้ว และการขยายการทดลองในม.สแตนฟอร์ดจะถือเป็นความก้าวหน้าเฟสที่ 2 ของโครงการนี้

กูเกิลระบุว่าได้บรรลุข้อตกลงกับมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดเพื่อสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1Gbps ในอาคาร 850 หลังซึ่งมหาวิทยาลัยและบุคลากรของมหาวิทยาลัยเป็นเจ้าของ โดยชาวสแตนฟอร์ดจะสามารถสัมผัสประสบการณ์อินเทอร์เน็ตที่เร็วกว่าความเร็วมาตรฐานในสหรัฐฯถึง 100 เท่าตัวได้ในปี 2011

กูเกิลยืนยันชัดเจนว่า การทดลองนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Google Fiber ซึ่งมีจุดประสงค์ในการสร้างโครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในชุมชนที่น่าสนใจ เพื่อดึงชาวอเมริกันตั้งแต่ 50,000-500,000 คนเข้าสู่โลกออนไลน์ ก่อนจะใช้เป็นกรณีศึกษาในการพัฒนาโครงข่ายการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตในทุกพื้นที่ทั่วโลก โดยกูเกิลระบุชัดเจนว่า จะมีการประกาศรายชื่อชุมชนที่ผ่านการคัดเลือกของกุเกิลในโครงการ Google Fiber ตามกำหนดการที่วางไว้ปลายปีนี้

กูเกิลมองว่าการทดสอบเครือข่ายในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดถือเป็นก้าวสำคัญที่จะพากูเกิลไปสู่จุดที่จะสามารถให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ตแก่ลูกค้าตัวจริง โดยจะนำสิ่งที่ได้เรียนรู้จากการทดสอบไปปรับใช้กับชุมชนที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้น

กูเกิลให้เหตุผลที่เลือกสแตนฟอร์ดว่าเพราะการเปิดกว้างของสแตนฟอร์ดที่ทำให้กูเกิลสามารถทดสอบเทคโนโลยีไฟเบอร์ใหม่บนถนนในมหาวิทยาลัยได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ขนาดอาคารจุดให้บริการที่ไม่กว้างมากและไม่แคบเกินไป ทำให้เหมาะสมต่อการทดสอบบริการ ที่สำคัญคือ ตำแหน่งที่ตั้งของสแตนฟอร์ดที่อยู่ห่างจากสำนักงานกูเกิลเพียงไม่กี่ไมล์ ทำให้วิศวกรของกูเกิลสามารถตรวจสอบระบบได้อย่างต่อเนื่อง

แถลงการณ์ล่าสุดจากกูเกิลถูกวิเคราะห์ว่า กูเกิลกำลังย้ำจุดยืนเรื่องการไม่มีแผนลงไปเล่นในธุรกิจให้บริการอินเทอร์เน็ตหรือ ISP แต่ยังคงยึดจุดยืนเดิมที่การหาทางติดจรวดให้โลกอินเทอร์เน็ต โดยรายงานเบื้องต้นระบุว่า การทดลองจะครอบคลุมระบบชื่อโดเมนเนมหรือ DNS ใหม่ รวมถึงโปรโตคอลรับส่งข้อมูลใหม่ที่กูเกิลจะนำมาใช้แทนระบบ HTTP ดั้งเดิมด้วย ซึ่งทั้งหมดต้องขึ้นอยู่กับฝีไม้ลายมือของกูเกิลว่าจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในอนาคตมากน้อยอย่างไร

Company Related Link :
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 ตุลาคม 2553 19:15 น.

วันพฤหัสบดีที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2553

"Office 365"ดับเครื่องชน "Google Apps"

Edited - ไมโครซอฟท์ (Microsoft) เปิดบริการสร้างงานเอกสารและอีเมลบนระบบคลาวด์คอมพิวติ้งเพื่อชนกับ Google Apps ของกูเกิลอย่างเต็มตัว แจ้งเกิดแบรนด์ "Office 365" ในฐานะบริการอีเมลและโปรแกรม Office ออนไลน์ที่จะเปิดให้องค์กรธุรกิจสมัครสมาชิกในราคาเริ่มต้นเพียง 72 เหรียญสหรัฐต่อปี (2,160 บาท) เปิดทดลองใช้งานฟรีในขณะนี้ก่อนจะเริ่มเก็บค่าบริการในปีหน้า (2011)

เคิร์ต เดลเบน (Kurt DelBene) ประธานกลุ่มธุรกิจไมโครซอฟท์ออฟฟิศ ให้สัมภาษณ์ในงานเปิดตัวบริการ Office 365 ที่ซานฟรานซิสโก สหรัฐอเมริกา เมื่อวันอังคารที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ว่าชื่อ Office 365 นั้นหมายถึงผู้ใช้จะสามารถรับบริการที่ดีที่สุดทุกวัน 365 วันทั้งปี โดยเชื่อว่า Office 365 จะเป็นหนึ่งในการเปลี่ยนแปลงที่มีอิทธิพลสูงสุดต่อพนักงานบริษัทในยุคนี้

Office 365 คือหนึ่งในหลายหนทางที่ไมโครซอฟท์ใช้ผลักดันตัวเองเข้าสู่ธุรกิจคลาวด์คอมพิ้ง ด้วยการขายซอฟต์แวร์ซึ่งให้ผู้ใช้ได้สร้างและจัดเก็บเอกสารบนศูนย์ข้อมูลของไมโครซอฟท์ แน่นอนว่า Office 365 ถูกมองว่าเป็นความเคลื่อนไหวเพื่อโต้ตอบบริการ Google Apps เว็บไซต์ให้บริการโปรแกรมประมวลผลคำและงานคำนวณซึ่งกูเกิลคิดค่าบริการจากสมาชิกเพียง 50 เหรียญต่อปี (1,500 บาท) ต่ำกว่าไมโครซอฟท์ที่คิดราคาเริ่มต้นไว้ที่ 72 เหรียญ หรือเดือนละ 6 เหรียญ (180 บาท)

งานนี้ไมโครซอฟท์วางกลยุทธ์รุกเอสเอ็มอีเต็มที่ ด้วยค่าบริการ 6 เหรียญต่อเดือน บริษัทขนาดเล็กที่มีพนักงานไม่ถึง 25 คนจะสามารถใช้งานโปรแกรม Office Web Apps (บริการของไมโครซอฟท์ซึ่งถูกมองว่าเป็นคู่แข่งกับ Google Docs โดยตรง) ซึ่งประกอบด้วย Word, Excel, PowerPoint รวมถึงโปรแกรม SharePoint เพื่อการทำงานร่วมกันจากระยะไกล, โปรแกรม Exchange สำหรับจัดการอีเมล และโปรแกรม Lync เพื่อการติดต่อสื่อสาร ทั้งหมดนี้ทำตลาดในชื่อ Office 365 for small businesses

สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ ไมโครซอฟท์กำหนดค่าบริการตั้งแต่ 2-27 เหรียญต่อพนักงาน 1 คน เพื่อให้องค์กรสามารถจัดสรรระดับการใช้ซอฟต์แวร์ที่ต่างกันในพนักงานแต่ละฝ่ายได้ตามต้องการ เช่น พนักงานในโรงงานที่ต้องการซอฟต์แวร์ต่างจากพนักงานบัญชี เป็นต้น ทำตลาดในชื่อ Office 365 for enterprises ผู้ใช้จะสามารถใช้งานโปรแกรม Office 2010 รวมถึงโปรกรม Active Directory แบบออนไลน์

ไมโครซอฟท์ระบุว่า Office 365 จะเป็นแบรนด์ที่ไมโครซอฟท์จะนำมาใช้แทนที่ชุดผลิตภัณฑ์ Office ออนไลน์ดั้งเดิมคือ Business Productivity Online Suite ซึ่งรู้จักในนาม BPOS และ Office Live Small Business รวมถึงบริการ Live@edu สำหรับองค์กรการศึกษา จุดนี้ไมโครซอฟท์เตรียมทำตลาดในชื่อ Office 365 for education ซึ่งจะชนกับ Google Apps for Education โดยตรง

ประโยชน์หลักที่องค์กรธุรกิจจะได้รับจากบริการ Office 365 คือการไม่ต้องเสียงบประมาณซื้อไลเซนส์โปรแกรม Microsoft Office แยกเป็นชุด และการซื้อเซิร์ฟเวอร์เพื่อให้บริการเมลทั้ง Exchange และ SharePoint มาติดตั้งเองในองค์กร แต่สามารถจ่ายค่าบริการรายเดือน/ปีเพื่อใช้งานโปรแกรมเวอร์ชันที่อยู่บนระบบคลาวด์คอมพิวติ้งของไมโครซอฟท์แทน

ในแง่ไมโครซอฟท์ Office 365 จะเป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางแหล่งเงินรายได้ใหม่ของไมโครซอฟท์ จากเดิมที่ต้องลุ้นกับเส้นเลือดใหญ่อย่างการขายไลเซนส์ใช้งานซอฟต์แวร์ เปลี่ยนมาเป็นการคิดค่าบริการรายเดือน/ปีแทน ทั้งหมดนี้จะเป็นซอฟต์แวร์ชุดเดิมที่ไมโครซอฟท์ไม่ได้พัฒนาคุณสมบัติเพิ่มเติมให้หวือหวา โดยผู้ใช้ทุกคนจะมีพื้นที่เก็บเอกสารขนาด 25GB ซึ่งไมโครซอฟท์การันตีเสถียรภาพของระบบไว้สูงถึง 99.9%

อย่างไรก็ตาม การเกิดขึ้นของ Office 365 มีผลให้ผลิตภัณฑ์ออนไลน์ของไมโครซอฟท์หลายตัวถูกยกเลิก ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์บางรายยังมองว่า Office 365 อาจลดบทบาทของตัวแทนและพันธมิตรไมโครซอฟท์ลง ซึ่งจะทำให้พันธมิตรผู้เป็นตัวแทนจัดจำหน่ายและให้บริการซัปพอร์ตผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์แก่องค์กรธุรกิจมาตลอดสูญเสียประโยชน์ไป จุดนี้เชื่อกันว่า ไมโครซอฟท์จะต้องวางยุทธ์ศาสตร์ในการสนับสนุนพันธมิตรให้ดี เพื่อให้พันธมิตรของไมโครซอฟท์ไม่ได้รับผลกระทบจากความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัท

สิ่งสำคัญที่ทำให้นักวิเคราะห์มองว่าไมโครซอฟท์จะสามารถนำหน้ากูเกิล ซึ่งเดินหน้าทำตลาดมาก่อน คือการพ่วงโซลูชัน Outlook และ Exchange Online ฟรีแก่องค์กร เนื่องจากทั้ง 2 โปรแกรมเป็นที่นิยมอย่างมากในกลุ่มผู้ใช้องค์กรธุรกิจ

Company Related Link :
Microsoft

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 21 ตุลาคม 2553 06:54 น.