ใครจะเชื่อว่า ตลาดสมาร์ทโฟนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรืออาเซียนที่ 'แบล็กเบอรี' มือถือที่คนยุคเจนเนอเรชัน 'วาย' ก้มหน้าก้มตากดๆ จิ้มๆ ตามสถานที่ต่างๆ ประสบความสำเร็จมากที่สุดจะเป็น 'อินโดนีเซีย' ไม่ใช่ไทย ไม่ใช่ฟิลิปปินส์
จากตัวเลขที่รีเสิร์ช อิน โมชั่น หรือเรียกแบบย่อๆ ว่า ริม บริษัทเจ้าของแบรนด์ผลไม้ 'แบล็กเบอรี'ระบุว่า อินโดนีเซียนี่แหละเติบโตมากกว่า 1,000% ขอย้ำตัวเลขนี้ไม่ได้พิมพ์ผิด เรียกว่า ครองแชมป์ประเทศขายแบล็กเบอรีดีที่สุดในภูมิภาคนี้ก็ว่าได้ นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมริมถึงเลือก อินโดนีเซีย เปิดตัวแบล็กเบอรีรุ่นใหม่พร้อมกัน 2 รุ่น
'จิม บาลซิลลี' ประธานบริหารร่วม รีเสิร์ช อิน โมชั่น ให้ข้อมูลที่น่าสนใจถึงความคลั่งไคล้แบล็กเบอรีในอินโดนีเชียว่า แบล็กเบอรี Curve 8520 เป็นโทรศัพท์ที่ขายดีที่สุดในอินโดนีเชีย และ 4 ใน 5 สมาร์ทโฟนที่จำหน่ายออกไปเป็นแบล็กเบอรี นอกจากนี้ ในอินโดนีเซียยังมีมหาวิทยาลัยอีก 15 แห่งที่เปิดสอนวิชาพัฒนาแอปพลิเคชัน มีร้านให้ข้อมูลเชิงลึก 48 ร้าน และยังมีศูนย์ซ่อมเครื่องครบวงจร ทั้งหมดนี้สำหรับแบล็กเบอรี
ถึงแม้แบล็กเบอรี 2 รุ่นใหม่นี้จะไม่ได้มีฟีเจอร์แรงๆ แต่ริมภูมิใจว่า เป็นสเปกที่ออกมาตอบโจทย์ความต้องการของคนในภูมิภาคนี้เต็มๆ เรียกว่า ออกแบบตามไลฟ์สไตล์ผู้ใช้ก็ว่าได้
ถ้านับกันเฉพาะเครื่องที่สามารถใช้งานระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี 7 ในเวลานี้ มีด้วยกันถึง 6 รุ่น ไล่กันตั้งแต่รุ่นไฮเอนด์สุดๆ ของแบล็กเบอรี “Bold 9900” ที่ย้อนอดีตนำดีไซน์ในหน้าตา Bold 9000 รุ่นยอดนิยมมาใช้ โดยปรับปรุงใหม่ตั้งแต่ขนาดและปุ่มของตัวเครื่องที่มีขนาดใหญ่ ใช้งานง่ายขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการเครื่องขนาดเหมาะมือ ขาดแต่เพียงตัวกล้องไม่มีออโต้โฟกัส
ส่วน Bold 9790 ที่นำดีไซน์ของ Bold 9780 มาปรับให้บางลง เน้นเจาะกลุ่มผู้หญิงที่ชอบคีย์บอร์ดขนาดเล็ก มีสเปกต่ำกว่า Bold 9900 เล็กน้อย แต่มาพร้อมกับกล้องแบบออโต้โฟกัส ขณะที่ Torch 9810 ซึ่งเป็นตัวต่อยอดจาก Torch 9800 มีทั้งหน้าจอทัชสกรีน และคีย์บอร์ด QWERTY สไลด์ ที่ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้งานแบบทัชสกรีน หรือ สไลด์คีย์บอร์ดออกมาพิมพ์
และ Curve 9360 ยังคงดีไซน์ขนาดเล็กที่มาพร้อมกับปุ่ม QWERTY แบบเม็ดข้าวโพด คล้ายกับรุ่นที่ขายดีเทน้ำเทท่าอย่าง Curve 8520 และ Curve 3G คาดว่า รุ่นนี้จะกลายเป็นไม้ตายของริมที่วางไว้เพื่อนำมาเจาะตลาดกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ในอนาคต เมื่อมีการปรับราคาลง
นอกจากนี้ ยังมีรุ่นที่เป็นฟอร์มเฟคเตอร์ตามความต้องการของตลาดอย่าง Torch 9860 และ Curve 9380 ซึ่งรองรับการใช้งานทัชสกรีนเพียงอย่างเดียว เน้นการใช้งานด้านมัลติมีเดีย โดยตัว 9860 สามารถบันทึกวิดีโอความละเอียดสูง 720p ได้ด้วย
สเปกต่างๆและความสามารถของเครื่องก็มีการปรับลดและปรับเพิ่มให้เข้ากับช่วงราคาไล่กันตั้งแต่ตลาดกลางไปจนถึงบน โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเดิม ที่ชอบดีไซน์แบบคลาสิก พร้อมกับรุกไปในตลาดใหม่อย่างหน้าจอทัชสกรีนไปในตัว
จิม บาลซิลลี กล่าวค่อว่า ริมยังไม่มีแผนตายตัวที่จะออกผลิตภัณฑ์ที่เป็นทัชสกรีนไปเลย หรือยังคงคีย์บอร์ดแบบ QWERTY ไว้ แต่ริมจะไม่มีทางทิ้งจุดเด่นที่สุดของตัวเองอย่างคีย์บอร์ด QWERTY แน่นอน แต่การออกรุ่นทัชสกรีนมาก็เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด เพราะเชื่อว่ายังมีผู้บริโภคอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องการแบล็กเบอรีแบบทัชสกรีน
แต่อย่างที่รู้กันว่า เครื่องที่กำลังได้รับความนิยมในตลาดประเทศกำลังพัฒนา ไม่ใช่สมาร์ทโฟนในรุ่นไฮเอนด์ราคาสูง ทำให้ตอนนี้ผลิตภัณฑ์ของแบล็กเบอรีที่ขายดีที่สุดยังคงเป็น Curve 8520 ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 1 ปี และลดระดับราคาลงไปใกล้เคียงกับฟีเจอร์โฟน จึงทำให้สามารถขยายตลาดสมาร์ทโฟนไปยังต่างจังหวัดได้ง่ายขึ้น ขณะเดียวกันยังมีข้อมูลหลุดออกมาอีกว่าในอนาคตอาจจะได้เห็นริมทำแบล็กเบอรีราคาไม่ต่างจากฟีเจอร์โฟนราคาถูกออกมาจำหน่าย เพื่อให้เข้าถึงผู้บริโภคจำนวนมาก
นอกจากในแง่ของผลิตภัณฑ์แล้ว ริม ยังโฟกัสไปที่แพลตฟอร์มอย่างระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี 7 ที่มีการพัฒนาขึ้นจากเดิมมาก โดยยังคงเน้นไปที่การพัฒนาให้รองรับการใช้งานเครือข่ายสังคม ให้มีความสามารถมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ดูได้จากเหล่านักพัฒนาที่เริ่มเข้ามาพัฒนาแอปพลิเคชันของแบล็กเบอรีที่มีจำหน่ายมากขึ้นขณะเดียวกันยอดดาวน์โหลดก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน
อีกจุดหนึ่งที่ตลาดของประเทศกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไม่เหมือนกับตลาดยุโรปหรือสหรัฐอเมริกาก็คือ โมเดลการจำหน่ายสินค้า ที่ริมสามารถจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายในแต่ละประเทศได้ทันที ไม่ต้องผูกมัดการจำหน่ายเข้ากับผู้ให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่หรือโอเปอเรเตอร์แต่อย่างไร จึงช่วยให้เกิดความคล่องตัวและง่ายต่อการจัดทำแคมเปญการตลาดของผู้ให้บริการในแต่ละประเทศให้สามารถแข่งขันกับสมาร์ทโฟนแบรนด์อื่นได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยผลักดันให้แบล็กเบอรี ให้เติบโตในตลาดภูมิภาคนี้ได้อย่างต่อเนื่อง
ต่อจากนี้ไป ก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า ทางเดินของ 'ริม' จะหันมาจับตลาดสมาร์ทโฟนราคาถูก หรือยังคงยึดติดอยู่กับการสร้างภาพลักษณ์ของผู้ใช้แบล็กเบอรี ให้ดูดีมีระดับ ซึ่งตลาดในส่วนนี้ กำลังโดนคู่แข่งแบรนด์ผลไม้ด้วยกัน แย่งชิงไปอย่างต่อเนื่อง ขณะที่การหันไปจับตลาดสมาร์ทโฟนราคาถูก ก็มีอีกหลากหลายแบรนด์ที่ใช้หุ่นกระป๋องแย่งเค้กกันอยู่
Company Relate Link :
RIM
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 พฤศจิกายน 2554 11:40 น.
“การใช้งาน แบล็กเบอรีในอินโดนีเชีย ไม่ใช่แค่ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ แต่ยังรวมไปถึงการใช้สมาร์ทโฟนในการตรวจสภาพอากาศ รวมถึงการใช้งานในเชิงธุรกิจด้วย”
นอกจากนี้ ยังให้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมของแบล็กเบอรีในตลาดโลกด้วยว่า ที่ผ่านมาริมสามารถจำหน่ายแบล็กเบอรีไปได้มากกว่า 165 ล้านเครื่อง โดยมีผู้เปิดใช้งานมากกว่า 70 ล้านราย และมากกว่า 50 ล้านรายเปิดใช้บริการ 'บีบีเอ็ม' ซึ่งวางจำหน่ายใน 175 ประเทศทั่วโลก ผ่าน 625 พาร์ทเนอร์
'เกรกอรี่ เวดด์' กรรมการผู้จัดการระดับภูมิภาค ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออก ริม ให้ข้อมูลเพิ่มเติมโดยอ้างอิงจากบริษัทวิจัย จีเอฟเค ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2554 แบล็กเบอรี เป็นผู้นำตลาดสมาร์ทโฟนในอินโดนีเชีย ไทยและฟิลลิปปินส์
“ไอดีซีคาดการณ์ว่า อีก 4 ปีข้างหน้าหรือประมาณปี 2558 ริมจะสามารถจำหน่ายแบล็กเบอรีที่ อินโดนีเชีย ได้ 9.7 ล้านเครื่อง สูงกว่า แอนดรอยด์ ไอโฟน และวินโดวส์ โฟน จึงทำให้ ริม มั่นใจว่า ตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกจะเป็นพื้นที่สำคัญที่ทำให้ ริม เดินหน้าต่อไป"
นอกจากนี้ เวดด์ มีความมั่นใจมากๆ ว่า แบล็กเบอรีมีอาวุธสำคัญที่จะสามารถต่อกรกับสมาร์ทโฟนไฮเอนด์แบรนด์อื่นได้ดี อาวุธที่ว่านั้นก็คือ ระบบปฏิบัติการแบล็กเบอรี 7 เวอร์ชันใหม่จะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ผู้บริโภคหันกลับมาเลือกใช้งานแบล็กเบอรี จากความสามารถต่างๆ ที่พัฒนาขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการรับระบบสัมผัสที่ลื่นไหลขึ้น ใช้งานเว็บไซต์ได้รวดเร็วขึ้น และแน่นอนที่ยังต้องมีการเชื่อมต่อกับเครือข่ายสังคมออนไลน์
จิม บาลซิลลี กล่าวเสริมว่า นอกจากในแง่ของระบบปฏิบัติการแล้ว ตัวเครื่องของแบล็กเบอรีก็มีการพัฒนาฟอร์มเฟคเตอร์ให้หลากหลายขึ้น มีทั้งแบบทัชสกรีนอย่างเดียว หรือทั้งทัชสกรีนและคีย์บอร์ด ตอกย้ำว่าผลิตภัณฑ์ทุกชิ้นของแบล็กเบอรีตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
ล่าสุด ได้มีการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์รุ่นใหม่ Bold 9790 และ Curve 9380 เป็นที่แรกในโลก ที่กรุงจาการ์ต้า อินโดนีเชีย พร้อมกับให้ข้อมูลว่าจะเริ่มจำหน่ายภายในสัปดาห์นี้ทั้งในอินโดนีเชียและแถบประเทศยุโรป ส่วนประเทศไทยคาดว่าจะเริ่มเข้ามาจำหน่ายในช่วงเดือนธันวาคมปีนี้
วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554
วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554
10 อันดับคำค้นหายอดนิยม Google ไทย แห่งปี 2011
คำค้นหา 10 อันดับยอดนิยมในเว็บไซต์ Google ประเทศไทย แห่งปี 2011
อันดับ 1. Facebook
อันดับ 2. Frive
อันดับ 3. คันหู
อันดับ 4. คนอวดผี
อันดับ 5. หน่วง
อันดับ 6. Boomz
อันดับ 7. น้ำท่วม
อันดับ 8. กินตับ
อันดับ 9. มาช่า
อันดับ 10. iPhone 5
ถ้าแยกตามหมวดหมู่...
บันเทิง
อันดับ 1. คันหู
อันดับ 2. คนอวดผี
อันดับ 3. กินตับ
อันดับ 4. พูดไม่คิด
อันดับ 5. เมียแต่ง
อันดับ 6. ยังโสด
อันดับ 7. รอยมาร
อันดับ 8. คิดมาก
อันดับ 9. ลัดดาแลนด์
อันดับ 10. Lazy Song
สื่อและข่าว
อันดับ 1. น้ำท่วม
อันดับ 2. สงกรานต์ สีลม
อันดับ 3. ไทยรัฐ
อันดับ 4. Manager
อันดับ 5. สยามกีฬา
อันดับ 6. ข่าว บันเทิง
อันดับ 7. ข่าว กีฬา
อันดับ 8. ข่าว เศรษฐกิจ
อันดับ 9. กรุงเทพธุรกิจ
อันดับ 10. คมชัดลึก
กีฬา
อันดับ 1. fa
อันดับ 2. บ้านผลบอล
อันดับ 3. แมนยู
อันดับ 4. มวยไทย
อันดับ 5. เชลซี
อันดับ 6. ตกปลา
อันดับ 7. ลิเวอร์พูล
อันดับ 8. soccersuck
อันดับ 9. หมากฮอส
อันดับ 10. บุรีรัมย์ PEA
บุคคลดัง
อันดับ 1. มาช่า
อันดับ 2. โดม
อันดับ 3. แพร วา
อันดับ 4. ประวัติ สุนทร ภู่
อันดับ 5. teresa idalgo
อันดับ 6. bodyslam
อันดับ 7. หลวง พ่อ เงิน
อันดับ 8. eminem
อันดับ 9. ต่าย อรทัย
อันดับ 10. พระมหาสมปอง
เกมส์
อันดับ 1. angry bird
อันดับ 2. fifa online
อันดับ 3. minecraft
อันดับ 4. sf
อันดับ 5. gta
อันดับ 6. เกมทําอาหาร
อันดับ 7. เกมแต่งตัว
อันดับ 8. dota
อันดับ 9. เกมส์จับคู่
อันดับ 10. talesrunner
เทคโนโลยี IT
อันดับ 1. เฟชบุ๊ค
อันดับ 2. Google Plus
อันดับ 3. Google Chrome
อันดับ 4. ยูทูป
อันดับ 5. hotmail.co.th
อันดับ 6. samsung galaxy tab
อันดับ 7. ipad
อันดับ 8. whatsapp
อันดับ 9. android
อันดับ 10. nokia x7
Gadget
อันดับ 1. iphone 5
อันดับ 2. samsung galaxy
อันดับ 3. ipad
อันดับ 4. iphone 4
อันดับ 5. bb
อันดับ 6. เครื่องคิดเลข
อันดับ 7. โน๊ตบุ๊ค
อันดับ 8. โนเกีย
อันดับ 9. acer
อันดับ 10. canon
วันศุกร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2554
ธรรมดาซะที่ไหน! พี่จีนเปิดตัวโน้ตบุ๊กฝาแฝด MacBook Air
หลังจากที่เคยสร้างความฮือฮาด้วยการเปิดร้านแอปเปิลสโตร์ ในคุนหมิงประเทศจีนจนสร้างความฮือฮาไปทั่วโลกอินเทอร์เน็ต คราวนี้พี่จีนขอโชว์เทพอีกครั้งด้วยการเปิดตัวโน้ตบุ๊กตัวใหม่นามว่า AirBook ที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับ MacBook Air ชนิดที่ว่าสามารถเรียกเป็นฝาแฝดได้เลยทีเดียว
คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะมีความสามารถในการก๊อปปี้งานได้เหมือนกับต้นฉบับได้เท่ากับประเทศจีนอีกแล้ว เมื่อเว็บไซต์ MIC Gadget ได้รีวิวภาพและวิดีโอพร้อมสเปกของ AirBook โน้ตบุ๊กฝาแฝดเวอร์ชันก๊อปปี้แคทของ MacBook Air ของแอปเปิลชนิดที่ว่าต้องดูกันหลายตลบถึงจะดูออกว่านี่เป็นของปลอม
สำหรับ AirBook ของจีนที่ลอกเลียนแบบ MacBook Air นั้นนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกจะมีความคล้ายคลึงกันแล้ว ขนาดรอบตัวเครื่องและน้ำหนักก็ยังใกล้เคียงกับ MacBook Air ของจริงอีกด้วย โดยขนาดรอบตัวเครื่องของ AirBook อยู่ที่ 13.1 x 8.83 x 0.75 นิ้ว น้ำหนัก 3.1 ปอนด์ (1.41 กิโลกรัม) ด้านวัสดุประกอบงานใช้เป็นแบบพลาสติกยูนิบอดี้ หรือวัสดุประกอบชิ้นเดียว ส่วนระบบปฏิบัติการ AirBook ใช้เป็น Windows 7 ไม่ใช่ Mac OS X แต่อย่างใด ซึ่งนี่คือจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดอีกจุดหนึ่งถ้าหากให้เทียบกับระหว่าง AirBook และ MacBook Air
อย่างไรก็ตามสเปกภายในของ AirBook จะมาพร้อมหน่วยประมวลผลอะตอม ดูอัล-คอร์ ความเร็ว 1.8GHz, RAM 4GB ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสเปกโน้ตบุ๊กที่แรงพอสมควรเลยทีเดียว
ทั้งนี้ AirBook จะเคาะราคาจำหน่ายที่ 499 เหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยราว 15,500 บาท แต่ไม่แน่ใจว่า AirBook จะวางจำหน่ายได้อีกนานเพียงใด เพราะโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ดันเลียนแบบทุกสิ่งอย่างของ MacBook Air และรวมไปถึงโลโก้ผลแอปเปิลแหว่งด้านหลังด้วย
หากว่าต้องการจะรับชมว่า AirBook จะหน้าตาเหมือนกับ MacBook Air ขนาดไหน ติดตามชมต่อได้จากคลิปด้านล่างได้เลยครับ
คงไม่มีประเทศไหนในโลกที่จะมีความสามารถในการก๊อปปี้งานได้เหมือนกับต้นฉบับได้เท่ากับประเทศจีนอีกแล้ว เมื่อเว็บไซต์ MIC Gadget ได้รีวิวภาพและวิดีโอพร้อมสเปกของ AirBook โน้ตบุ๊กฝาแฝดเวอร์ชันก๊อปปี้แคทของ MacBook Air ของแอปเปิลชนิดที่ว่าต้องดูกันหลายตลบถึงจะดูออกว่านี่เป็นของปลอม
สำหรับ AirBook ของจีนที่ลอกเลียนแบบ MacBook Air นั้นนอกจากรูปลักษณ์ภายนอกจะมีความคล้ายคลึงกันแล้ว ขนาดรอบตัวเครื่องและน้ำหนักก็ยังใกล้เคียงกับ MacBook Air ของจริงอีกด้วย โดยขนาดรอบตัวเครื่องของ AirBook อยู่ที่ 13.1 x 8.83 x 0.75 นิ้ว น้ำหนัก 3.1 ปอนด์ (1.41 กิโลกรัม) ด้านวัสดุประกอบงานใช้เป็นแบบพลาสติกยูนิบอดี้ หรือวัสดุประกอบชิ้นเดียว ส่วนระบบปฏิบัติการ AirBook ใช้เป็น Windows 7 ไม่ใช่ Mac OS X แต่อย่างใด ซึ่งนี่คือจุดแตกต่างที่เห็นได้ชัดที่สุดอีกจุดหนึ่งถ้าหากให้เทียบกับระหว่าง AirBook และ MacBook Air
อย่างไรก็ตามสเปกภายในของ AirBook จะมาพร้อมหน่วยประมวลผลอะตอม ดูอัล-คอร์ ความเร็ว 1.8GHz, RAM 4GB ซึ่งจัดได้ว่าเป็นสเปกโน้ตบุ๊กที่แรงพอสมควรเลยทีเดียว
ทั้งนี้ AirBook จะเคาะราคาจำหน่ายที่ 499 เหรียญฯ คิดเป็นเงินไทยราว 15,500 บาท แต่ไม่แน่ใจว่า AirBook จะวางจำหน่ายได้อีกนานเพียงใด เพราะโน้ตบุ๊กเครื่องนี้ดันเลียนแบบทุกสิ่งอย่างของ MacBook Air และรวมไปถึงโลโก้ผลแอปเปิลแหว่งด้านหลังด้วย
หากว่าต้องการจะรับชมว่า AirBook จะหน้าตาเหมือนกับ MacBook Air ขนาดไหน ติดตามชมต่อได้จากคลิปด้านล่างได้เลยครับ
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 ธันวาคม 2554 12:49 น.
Google Maps เวอร์ชันใหม่ ดึงแผนที่อาคารสู่มือถือ
ต้องยกนิ้วให้สำหรับทีมพัฒนาบริการแผนที่ของกูเกิล "กูเกิลแม็ปส์ (Google Maps)" ซึ่งสามารถพัฒนาความสามารถใหม่ได้อย่างมีประโยชน์ ที่ผ่านมา ชาวออนไลน์สามารถดูแผนที่ทั่วโลกได้ทุกตารางนิ้วแต่กลับไม่สามารถดูแผนที่ในอาคารที่ยืนอยู่ได้ กระทั่งวันนี้ที่ Google Maps 6.0 แจ้งเกิด
Google Maps 6.0 for Android นั้นเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันอังคารที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐฯ ความสามารถใหม่ที่โดดเด่นคือ indoor mapping หรือการแสดงแผนที่ในอาคาร (Floor Plan) แน่นอนว่าบริการนี้กูเกิลต้องจับมือเป็นพันธมิตรกับอาคารบางแห่งในสหรัฐฯในช่วงเริ่มต้น โดยรายงานระบุว่ากูเกิลได้เจรจากับบริษัทธุรกิจและผู้ให้บริการสาธารณะหลายแห่ง
Google Maps 6.0 for Android คือระบบแผนที่สำหรับอุปกรณ์แอนดรอยด์พกพาทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ผู้ใช้จะสามารถดูแผนผังอาคารโดยสลับผังไปมาระหว่างชั้น (หากอาคารนั้นมีหลายชั้น) ภายในผังจะชี้ตำแหน่งข้อมูลที่จำเป็นเช่นจุดให้บริการห้องน้ำ ตู้กดเงินสดเอทีเอ็ม รวมถึงร้านค้าในอาคาร
Google Maps 6.0 for Android นั้นเพิ่งเปิดตัวเมื่อวันอังคารที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาตามเวลาสหรัฐฯ ความสามารถใหม่ที่โดดเด่นคือ indoor mapping หรือการแสดงแผนที่ในอาคาร (Floor Plan) แน่นอนว่าบริการนี้กูเกิลต้องจับมือเป็นพันธมิตรกับอาคารบางแห่งในสหรัฐฯในช่วงเริ่มต้น โดยรายงานระบุว่ากูเกิลได้เจรจากับบริษัทธุรกิจและผู้ให้บริการสาธารณะหลายแห่ง
Google Maps 6.0 for Android คือระบบแผนที่สำหรับอุปกรณ์แอนดรอยด์พกพาทั้งสมาร์ทโฟนและแท็บเล็ต ผู้ใช้จะสามารถดูแผนผังอาคารโดยสลับผังไปมาระหว่างชั้น (หากอาคารนั้นมีหลายชั้น) ภายในผังจะชี้ตำแหน่งข้อมูลที่จำเป็นเช่นจุดให้บริการห้องน้ำ ตู้กดเงินสดเอทีเอ็ม รวมถึงร้านค้าในอาคาร
ชัดเจนว่า Google Maps 6.0 for Android จะเป็นประโยชน์กับผู้ที่อยู่ในอาคารขนาดใหญ่เท่านั้น โดยเฉพาะในสนามบินที่นักท่องเที่ยวมักไม่คุ้นทาง รายงานจาก Wired.com ชี้ว่ากูเกิลได้ร่วมมือกับ สนามบิน San Francisco International และ O’Hare ในชิคาโก เพื่อให้บริการแล้ว พร้อมกับธุรกิจอีกประมาณ 25 บริษัทเช่น Macy และ Bloomingdale ซึ่งมีร้านค้าปลีกในเครือมากมายนับไม่ถ้วน
อย่างไรก็ตาม ระบบแผนผังอาคารของ Google Maps 6.0 for Android จะไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบระบุพิกัด GPS ได้เนื่องจากชั้นคอนกรีตหนาในอาคาร จุดนี้ Steve Lee ผู้จัดการโครงการกูเกิลแม็ปส์ยอมรับว่า GPS ไม่สามารถทำงานในอาคารได้เสถียรพอ กูเกิลจึงต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเก่าอย่าง ‘blue dot’ ซึ่งเคยนำมาใช้พัฒนาระบบนำทางของกูเกิลมาก่อน ทำให้ระบบสามารถรับรู้ตำแหน่งของผู้ใช้ในอาคารได้ในระยะสั้นราว 5-10 เมตร
นอกจากสหรัฐฯ กูเกิลเปิดตัวบริการแผนผังอาคารในญี่ปุ่นด้วย โดยครอบคลุมข้อมูลแผนผังรถไฟใต้ดินในโตเกียว และศูนย์การค้าหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวหน้าใหม่ต้องพึ่งแผนที่ทุกราย จุดนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า Google Maps 6.0 for Android ไม่ครอบคลุมเส้นทางการขนส่งของสหรัฐฯ
และที่พลาดไม่ได้ กูเกิลได้เปิดชุดเครื่องมือเบต้าเวอร์ชันเพื่อให้ธุรกิจได้ทดลองอัปโหลดแผนผังอาคารขึ้นสู่ฐานข้อมูลของกูเกิลแม็ปส์ ซึ่งแม้จะต้องใช้เวลาอีกระยะ แต่แน่นอนว่ากูเกิลวางเดิมพันว่าบริษัทธุรกิจที่มีหน้าร้านทั้งน้อยและใหญ่จะต้องสนใจคุณสมบัตินี้
Google Maps 6.0 for Android เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วที่ Android Market สำหรับโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android version 2.1 ขึ้นไป
อย่างไรก็ตาม ระบบแผนผังอาคารของ Google Maps 6.0 for Android จะไม่สามารถทำงานร่วมกับระบบระบุพิกัด GPS ได้เนื่องจากชั้นคอนกรีตหนาในอาคาร จุดนี้ Steve Lee ผู้จัดการโครงการกูเกิลแม็ปส์ยอมรับว่า GPS ไม่สามารถทำงานในอาคารได้เสถียรพอ กูเกิลจึงต้องหันมาใช้เทคโนโลยีเก่าอย่าง ‘blue dot’ ซึ่งเคยนำมาใช้พัฒนาระบบนำทางของกูเกิลมาก่อน ทำให้ระบบสามารถรับรู้ตำแหน่งของผู้ใช้ในอาคารได้ในระยะสั้นราว 5-10 เมตร
นอกจากสหรัฐฯ กูเกิลเปิดตัวบริการแผนผังอาคารในญี่ปุ่นด้วย โดยครอบคลุมข้อมูลแผนผังรถไฟใต้ดินในโตเกียว และศูนย์การค้าหลายแห่งที่นักท่องเที่ยวหน้าใหม่ต้องพึ่งแผนที่ทุกราย จุดนี้มีการตั้งข้อสังเกตว่า Google Maps 6.0 for Android ไม่ครอบคลุมเส้นทางการขนส่งของสหรัฐฯ
และที่พลาดไม่ได้ กูเกิลได้เปิดชุดเครื่องมือเบต้าเวอร์ชันเพื่อให้ธุรกิจได้ทดลองอัปโหลดแผนผังอาคารขึ้นสู่ฐานข้อมูลของกูเกิลแม็ปส์ ซึ่งแม้จะต้องใช้เวลาอีกระยะ แต่แน่นอนว่ากูเกิลวางเดิมพันว่าบริษัทธุรกิจที่มีหน้าร้านทั้งน้อยและใหญ่จะต้องสนใจคุณสมบัตินี้
Google Maps 6.0 for Android เปิดให้ดาวน์โหลดแล้วที่ Android Market สำหรับโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android version 2.1 ขึ้นไป
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 พฤศจิกายน 2554 09:26 น.
วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ARM โชว์ชิปใหม่เพื่อสมาร์ทโฟน 3,000 บาท ขีดเส้นพร้อมรบปี 2013
บริษัท ARM ผู้ออกแบบชิปอิเล็กทรอนิกส์สัญชาติอังกฤษ เปิดตัวโครงสร้างการออกแบบชิปใหม่สำหรับใช้ในสมาร์ทโฟนราคาประหยัดในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ชูความสำเร็จต้นทุนต่ำ-ให้พลังสูง-ประหยัดพลังงานได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนยุคนี้ คาดสามารถนำไปใช้ในการผลิตสมาร์ทโฟนราคาต่ำกว่า 100 เหรียญสหรัฐหรือประมาณ 3,000 บาทได้ภายในปี 2013
ARM ให้ชื่อเรียกผลงานการออกแบบชิปใหม่นี้ว่า Cortex-A7 โดยการันตีว่าสามารถให้พลังการประมวลผลเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนระดับสูงหรือไฮเอนด์ในปัจจุบัน แต่สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 5 เท่าตัว ทั้งหมดนี้ทำให้ Cortex-A7 คือหน่วยประมวลผลสำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพด้านการบริหารพลังงานมากที่สุดในยุคนี้
วอร์เรน อีสต์ (Warren East) ซีอีโอ ARM ยอมรับว่า ระดับการประมวลผลของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในยุคนี้ จะกลายเป็นความสามารถของสมาร์ทโฟนระดับต่ำกว่าหรือ lower-end ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ความสามารถมากมายถูกบรรจุในสมาร์ทโฟนราคาต่ำลงตามไปด้วย
"ชิป Cortex-A7 จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบความต้องการของผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวน 1 พันล้านถัดไปในตลาดกำลังพัฒนาได้"
ชิป Cortex-A7 ถูกออกแบบบนเทคโนโลยีการผลิต 28 นาโนเมตร สามารถทำงานร่วมกับชิปรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงของ ARM อย่าง Cortex-A15 ได้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถติดตั้งชิปในชิ้นส่วนเดียวได้แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้ ARM อ้างว่าจะทำให้สมาร์ทโฟนราคาประหยัดยุคหน้า สามารถลดการผลาญแบตเตอรี่ได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ราคาแพงในยุคนี้ถึง 70%
ซีอีโอ ARM มั่นใจว่า Cortex-A7 จะช่วยให้ ARM สามารถทิ้งห่างจากคู่แข่งแดนลุงแซมอย่างอินเทล (Intel) ได้ไกลในเรื่องของประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ความหวังในการรุกตลาดสมาร์ทโฟนของอินเทลเลือนลางลงไป สวนทางกับภาพผู้นำในตลาดชิปสำหรับคอมพิวเตอร์โลกอย่างเห็นได้ชัด
คาดว่าโลกจะได้เห็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดประสิทธิภาพสูงหลากหลายแบรนด์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจาก ARM เปิดเผยว่าได้เซ็นสัญญาแล้วกับ 10 พันธมิตรที่จะผลิตชิป Cortex-A7 โดยหนึ่งในนั้นคือซัมซุง (Samsung) และทีไอ (Texas Instruments) สำหรับชิป Cortex-A15 ผลการออกแบบรุ่นล่าสุดของ ARM ในขณะนี้นั้นมีการเจรจากับพันธมิตรด้านลิขสิทธิการผลิตแล้วกว่า 14 ราย
Company Related Link :
ARM
ARM ให้ชื่อเรียกผลงานการออกแบบชิปใหม่นี้ว่า Cortex-A7 โดยการันตีว่าสามารถให้พลังการประมวลผลเทียบเท่ากับสมาร์ทโฟนระดับสูงหรือไฮเอนด์ในปัจจุบัน แต่สามารถประหยัดพลังงานได้มากกว่าถึง 5 เท่าตัว ทั้งหมดนี้ทำให้ Cortex-A7 คือหน่วยประมวลผลสำหรับโทรศัพท์สมาร์ทโฟนที่มีประสิทธิภาพด้านการบริหารพลังงานมากที่สุดในยุคนี้
วอร์เรน อีสต์ (Warren East) ซีอีโอ ARM ยอมรับว่า ระดับการประมวลผลของสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ในยุคนี้ จะกลายเป็นความสามารถของสมาร์ทโฟนระดับต่ำกว่าหรือ lower-end ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะทำให้ความสามารถมากมายถูกบรรจุในสมาร์ทโฟนราคาต่ำลงตามไปด้วย
"ชิป Cortex-A7 จะช่วยให้ผู้ผลิตสามารถตอบความต้องการของผู้ใช้สมาร์ทโฟนจำนวน 1 พันล้านถัดไปในตลาดกำลังพัฒนาได้"
ชิป Cortex-A7 ถูกออกแบบบนเทคโนโลยีการผลิต 28 นาโนเมตร สามารถทำงานร่วมกับชิปรุ่นใหม่ประสิทธิภาพสูงของ ARM อย่าง Cortex-A15 ได้ ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนสามารถติดตั้งชิปในชิ้นส่วนเดียวได้แบบเบ็ดเสร็จ ซึ่งทั้งหมดนี้ ARM อ้างว่าจะทำให้สมาร์ทโฟนราคาประหยัดยุคหน้า สามารถลดการผลาญแบตเตอรี่ได้ดีกว่าสมาร์ทโฟนไฮเอนด์ราคาแพงในยุคนี้ถึง 70%
ซีอีโอ ARM มั่นใจว่า Cortex-A7 จะช่วยให้ ARM สามารถทิ้งห่างจากคู่แข่งแดนลุงแซมอย่างอินเทล (Intel) ได้ไกลในเรื่องของประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้ความหวังในการรุกตลาดสมาร์ทโฟนของอินเทลเลือนลางลงไป สวนทางกับภาพผู้นำในตลาดชิปสำหรับคอมพิวเตอร์โลกอย่างเห็นได้ชัด
คาดว่าโลกจะได้เห็นสมาร์ทโฟนราคาประหยัดประสิทธิภาพสูงหลากหลายแบรนด์ในช่วง 2 ปีข้างหน้า เนื่องจาก ARM เปิดเผยว่าได้เซ็นสัญญาแล้วกับ 10 พันธมิตรที่จะผลิตชิป Cortex-A7 โดยหนึ่งในนั้นคือซัมซุง (Samsung) และทีไอ (Texas Instruments) สำหรับชิป Cortex-A15 ผลการออกแบบรุ่นล่าสุดของ ARM ในขณะนี้นั้นมีการเจรจากับพันธมิตรด้านลิขสิทธิการผลิตแล้วกว่า 14 ราย
Company Related Link :
ARM
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 ตุลาคม 2554 10:28 น.
วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554
AMD ลุยชิป 8 คอร์เพื่อคอมพ์ตั้งโต๊ะ
เอเอ็มดี (Advanced Micro Devices) เปิดตัวชิปสำหรับคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะตัวแรกซึ่งมาพร้อมแกนประมวลผล 8 คอร์บนสถาปัตยกรรม Bulldozer ใหม่ล่าสุด ความเร็วสูงสุดการันตีที่ 4.2GHz ท่ามกลางเสียงวิจารณ์แง่ลบว่าไม่สามารถชนกับคู่แข่งตลอดกาลอย่างอินเทลได้
ชิป 8 คอร์ใหม่ล่าสุดของเอเอ็มดีจะถูกรวมอยู่ในซีรียส์ FX ซึ่งเอเอ็มดีเคยเปิดตัวมาก่อนหน้านี้โดยมุ่งกลุ่มคอเกมเป็นหลัก ครั้งนี้เอเอ็มดีระบุชัดเจนว่าผู้ใช้จะสามารถปรับแต่งชิปใหม่ล่าสุดได้ตามต้องการ บนความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าชิป FX รุ่นก่อนหน้าถึง 50%
เอเอ็มดีระบุว่าชิป FX-8150 ใหม่นี้เริ่มเปิดจำหน่ายแล้วเมื่อสัปดาห์ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ความเร็ว 3.6GHz สามารถเพิ่มเป็น 4.2GHz หากทำงานในโหมดเทอร์โบ สนนราคาชิปใหม่อยู่ที่ 245 เหรียญ หรือประมาณ 7,600 บาท
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของเอเอ็มดี หลังจากที่เดือนกันยายนที่ผ่านมา เอเอ็มดีได้เปิดสาธิตการทำงานของชิป FX 8 คอร์ประมวลผลที่ทำงานความเร็วสูง 8.429GHz ซึ่งเอเอ็มดีอ้างว่าเป็นชิปสถิติโลกที่ไม่มีใครเทียบได้เรื่องความเร็ว และยังไม่มีการเผยรายละเอียดการจำหน่ายใดๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนคอร์ประมวลผลที่มากถึง 8 คอร์ซึ่งการันตีความเร็วและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น แต่ชิปใหม่ของเอเอ็มดีกลับถูกวิจารณ์จากสื่อไอทีซึ่งนำชิปไปทดสอบเทียบกับชิปสถาปัตยกรรม Sandy Bridge ของอินเทล ว่าน่าผิดหวังเพราะสามารถทำคะแนนได้น้อยกว่าในการทดสอบหลายคุณสมบัติ
ชิปคู่แข่งโดยตรงของชิป FX รุ่นใหม่ของเอเอ็มดีคือ Core i7-990X Core Extreme Edition ซึ่งเป็นชิป 6 คอร์ของอินเทลแต่มีราคาขายที่ 999 เหรียญ หรือประมาณ 30,000 บาท โดยใน 2-3 เดือนนับจากนี้ อินเทลมีคิวเปิดตัวชิป Extreme Edition ซึ่งพัฒนาบน Sandy Bridge คาดว่าคอเกมทั่วโลกจะหวั่นไหวไปกับการแข่งขันดุเดือดระหว่าง 2 ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก
Company Related Link :
Amd
ชิป 8 คอร์ใหม่ล่าสุดของเอเอ็มดีจะถูกรวมอยู่ในซีรียส์ FX ซึ่งเอเอ็มดีเคยเปิดตัวมาก่อนหน้านี้โดยมุ่งกลุ่มคอเกมเป็นหลัก ครั้งนี้เอเอ็มดีระบุชัดเจนว่าผู้ใช้จะสามารถปรับแต่งชิปใหม่ล่าสุดได้ตามต้องการ บนความเร็วและประสิทธิภาพที่เหนือกว่าชิป FX รุ่นก่อนหน้าถึง 50%
เอเอ็มดีระบุว่าชิป FX-8150 ใหม่นี้เริ่มเปิดจำหน่ายแล้วเมื่อสัปดาห์ต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ความเร็ว 3.6GHz สามารถเพิ่มเป็น 4.2GHz หากทำงานในโหมดเทอร์โบ สนนราคาชิปใหม่อยู่ที่ 245 เหรียญ หรือประมาณ 7,600 บาท
นี่คือความเคลื่อนไหวล่าสุดของเอเอ็มดี หลังจากที่เดือนกันยายนที่ผ่านมา เอเอ็มดีได้เปิดสาธิตการทำงานของชิป FX 8 คอร์ประมวลผลที่ทำงานความเร็วสูง 8.429GHz ซึ่งเอเอ็มดีอ้างว่าเป็นชิปสถิติโลกที่ไม่มีใครเทียบได้เรื่องความเร็ว และยังไม่มีการเผยรายละเอียดการจำหน่ายใดๆ
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีจำนวนคอร์ประมวลผลที่มากถึง 8 คอร์ซึ่งการันตีความเร็วและประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้น แต่ชิปใหม่ของเอเอ็มดีกลับถูกวิจารณ์จากสื่อไอทีซึ่งนำชิปไปทดสอบเทียบกับชิปสถาปัตยกรรม Sandy Bridge ของอินเทล ว่าน่าผิดหวังเพราะสามารถทำคะแนนได้น้อยกว่าในการทดสอบหลายคุณสมบัติ
ชิปคู่แข่งโดยตรงของชิป FX รุ่นใหม่ของเอเอ็มดีคือ Core i7-990X Core Extreme Edition ซึ่งเป็นชิป 6 คอร์ของอินเทลแต่มีราคาขายที่ 999 เหรียญ หรือประมาณ 30,000 บาท โดยใน 2-3 เดือนนับจากนี้ อินเทลมีคิวเปิดตัวชิป Extreme Edition ซึ่งพัฒนาบน Sandy Bridge คาดว่าคอเกมทั่วโลกจะหวั่นไหวไปกับการแข่งขันดุเดือดระหว่าง 2 ผู้ผลิตชิปรายใหญ่ของโลก
Company Related Link :
Amd
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 ตุลาคม 2554 08:12 น.
"เดนนิส ริตชี่" บิดาภาษา C และผู้ร่วมสร้าง Unix ลาโลกแล้ว
เดนนิส ริตชี่ (Dennis Ritchie) ผู้สร้างโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ "ภาษาซี (C programming language)" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ "ยูนิกซ์ (Unix)" ลาโลกแล้วด้วยวัย 70 ปี ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญอีกคนในวงการไอทีเพราะผลงานของริตชี่นั้นเป็นรากฐานสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ทั้งตั้งโต๊ะและพกพาในปัจจุบัน
ภาษาซีนั้นเป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเปิดตัวพร้อมกับไมโครโปรเซสเซอร์ Intel 4004 ของอินเทลช่วงปี 1971 ด้วยฐานะส่วนหนึ่งของระบบการประมวลผลยุคใหม่ ระยะแรก ภาษาซียังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งกลางยุค 70 ภาษาซีสามารถพิสูจน์ตัวเองและครองใจนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เลือกใช้ภาษาซีเพื่อเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประหยัดพลังงาน และไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
ผู้สร้างภาษาซีนั้นเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 12 ตุลาคมบนคำยืนยันจากศูนย์ปฏิบัติการ Alcatel-Lucent Bell Labs ของอัลคาเทลลูเซนต์ซึ่งออกประกาศในวันพฤหัสบดี (13) ที่ผ่านมา โดยระบุเพียงว่าริตชี่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาเป็นเวลานาน หลังจากที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างซอฟต์แวร์ที่เพิ่มความเสรีให้นักเขียนโปรแกรมสามารถสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริงโดยไม่ต้องยุ่งยากและเสียเวลา
ทั้งหมดนี้ จีออง คิม (Jeong Kim) ประธาน Alcatel-Lucent Bell Labs ยกย่องว่าริตชี่จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานในอัลคาร์เทลต่อไป ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะคุณความดีที่ริตชี่สร้างไว้ แต่เป็นเพราะริตชี่คือเพื่อน, นักประดิษฐ์ และคนดีแสนสมถะที่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง
เดนนิส ริตชี่ หรือ Dennis MacAlistair Ritchie นั้นเกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941 จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัท Bell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์ การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
MIT ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่า โดยในปี 1967 บริษัท Bell Labs ก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์ (transistor) ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรมภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด
กูรูไอทีผู้ล่วงลับรายนี้ดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยซอฟต์แวร์ของ Lucent Technology Systems ก่อนจะเกษียนตัวเองในปี 2007 โดยรางวัลที่ริตชี่เคยได้รับร่วมกับผู้ร่วมสร้าง Unix อย่างทอมป์สันได้แก่ ACM Turing Prize ในปี 1983 และรางวัล US National Medal of Technology ในปี 1998
ภาษาซีนั้นเป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเปิดตัวพร้อมกับไมโครโปรเซสเซอร์ Intel 4004 ของอินเทลช่วงปี 1971 ด้วยฐานะส่วนหนึ่งของระบบการประมวลผลยุคใหม่ ระยะแรก ภาษาซียังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งกลางยุค 70 ภาษาซีสามารถพิสูจน์ตัวเองและครองใจนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เลือกใช้ภาษาซีเพื่อเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประหยัดพลังงาน และไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
ผู้สร้างภาษาซีนั้นเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 12 ตุลาคมบนคำยืนยันจากศูนย์ปฏิบัติการ Alcatel-Lucent Bell Labs ของอัลคาเทลลูเซนต์ซึ่งออกประกาศในวันพฤหัสบดี (13) ที่ผ่านมา โดยระบุเพียงว่าริตชี่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาเป็นเวลานาน หลังจากที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างซอฟต์แวร์ที่เพิ่มความเสรีให้นักเขียนโปรแกรมสามารถสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริงโดยไม่ต้องยุ่งยากและเสียเวลา
ทั้งหมดนี้ จีออง คิม (Jeong Kim) ประธาน Alcatel-Lucent Bell Labs ยกย่องว่าริตชี่จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานในอัลคาร์เทลต่อไป ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะคุณความดีที่ริตชี่สร้างไว้ แต่เป็นเพราะริตชี่คือเพื่อน, นักประดิษฐ์ และคนดีแสนสมถะที่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง
เดนนิส ริตชี่ หรือ Dennis MacAlistair Ritchie นั้นเกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941 จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัท Bell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์ การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
MIT ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่า โดยในปี 1967 บริษัท Bell Labs ก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์ (transistor) ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรมภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด
กูรูไอทีผู้ล่วงลับรายนี้ดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยซอฟต์แวร์ของ Lucent Technology Systems ก่อนจะเกษียนตัวเองในปี 2007 โดยรางวัลที่ริตชี่เคยได้รับร่วมกับผู้ร่วมสร้าง Unix อย่างทอมป์สันได้แก่ ACM Turing Prize ในปี 1983 และรางวัล US National Medal of Technology ในปี 1998
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 ตุลาคม 2554 07:50 น.
"เดนนิส ริตชี่" บิดาภาษา C และผู้ร่วมสร้าง Unix ลาโลกแล้ว
เดนนิส ริตชี่ (Dennis Ritchie) ผู้สร้างโปรแกรมภาษาคอมพิวเตอร์ "ภาษาซี (C programming language)" ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ "ยูนิกซ์ (Unix)" ลาโลกแล้วด้วยวัย 70 ปี ถือเป็นการสูญเสียบุคคลสำคัญอีกคนในวงการไอทีเพราะผลงานของริตชี่นั้นเป็นรากฐานสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์ทั้งตั้งโต๊ะและพกพาในปัจจุบัน
ภาษาซีนั้นเป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเปิดตัวพร้อมกับไมโครโปรเซสเซอร์ Intel 4004 ของอินเทลช่วงปี 1971 ด้วยฐานะส่วนหนึ่งของระบบการประมวลผลยุคใหม่ ระยะแรก ภาษาซียังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งกลางยุค 70 ภาษาซีสามารถพิสูจน์ตัวเองและครองใจนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เลือกใช้ภาษาซีเพื่อเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประหยัดพลังงาน และไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
ผู้สร้างภาษาซีนั้นเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 12 ตุลาคมบนคำยืนยันจากศูนย์ปฏิบัติการ Alcatel-Lucent Bell Labs ของอัลคาเทลลูเซนต์ซึ่งออกประกาศในวันพฤหัสบดี (13) ที่ผ่านมา โดยระบุเพียงว่าริตชี่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาเป็นเวลานาน หลังจากที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างซอฟต์แวร์ที่เพิ่มความเสรีให้นักเขียนโปรแกรมสามารถสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริงโดยไม่ต้องยุ่งยากและเสียเวลา
ทั้งหมดนี้ จีออง คิม (Jeong Kim) ประธาน Alcatel-Lucent Bell Labs ยกย่องว่าริตชี่จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานในอัลคาร์เทลต่อไป ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะคุณความดีที่ริตชี่สร้างไว้ แต่เป็นเพราะริตชี่คือเพื่อน, นักประดิษฐ์ และคนดีแสนสมถะที่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง
เดนนิส ริตชี่ หรือ Dennis MacAlistair Ritchie นั้นเกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941 จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัท Bell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์ การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
MIT ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่า โดยในปี 1967 บริษัท Bell Labs ก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์ (transistor) ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรมภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด
กูรูไอทีผู้ล่วงลับรายนี้ดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยซอฟต์แวร์ของ Lucent Technology Systems ก่อนจะเกษียนตัวเองในปี 2007 โดยรางวัลที่ริตชี่เคยได้รับร่วมกับผู้ร่วมสร้าง Unix อย่างทอมป์สันได้แก่ ACM Turing Prize ในปี 1983 และรางวัล US National Medal of Technology ในปี 1998
ภาษาซีนั้นเป็นภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ซึ่งถูกเปิดตัวพร้อมกับไมโครโปรเซสเซอร์ Intel 4004 ของอินเทลช่วงปี 1971 ด้วยฐานะส่วนหนึ่งของระบบการประมวลผลยุคใหม่ ระยะแรก ภาษาซียังไม่เป็นที่แพร่หลายจนกระทั่งกลางยุค 70 ภาษาซีสามารถพิสูจน์ตัวเองและครองใจนักเขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ทั่วโลกที่เลือกใช้ภาษาซีเพื่อเขียนโปรแกรมซึ่งสามารถใช้งานได้บนอุปกรณ์เคลื่อนที่ ประหยัดพลังงาน และไม่ซับซ้อนยุ่งยาก
ผู้สร้างภาษาซีนั้นเสียชีวิตแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 12 ตุลาคมบนคำยืนยันจากศูนย์ปฏิบัติการ Alcatel-Lucent Bell Labs ของอัลคาเทลลูเซนต์ซึ่งออกประกาศในวันพฤหัสบดี (13) ที่ผ่านมา โดยระบุเพียงว่าริตชี่ต้องต่อสู้กับโรคร้ายมาเป็นเวลานาน หลังจากที่ใช้เวลาทั้งชีวิตในการสร้างซอฟต์แวร์ที่เพิ่มความเสรีให้นักเขียนโปรแกรมสามารถสร้างฝันของตัวเองให้เป็นจริงโดยไม่ต้องยุ่งยากและเสียเวลา
ทั้งหมดนี้ จีออง คิม (Jeong Kim) ประธาน Alcatel-Lucent Bell Labs ยกย่องว่าริตชี่จะยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับผู้ร่วมงานในอัลคาร์เทลต่อไป ซึ่งไม่ใช่เพียงเพราะคุณความดีที่ริตชี่สร้างไว้ แต่เป็นเพราะริตชี่คือเพื่อน, นักประดิษฐ์ และคนดีแสนสมถะที่ควรค่าแก่การเป็นแบบอย่าง
เดนนิส ริตชี่ หรือ Dennis MacAlistair Ritchie นั้นเกิดที่เมือง Bronxville มลรัฐนิวยอร์กเมื่อวันที่ 9 กันยายน 1941 จากนั้นจึงย้ายไปเมืองนิวเจอร์ซีย์ตามคุณพ่อที่ทำงานเป็นวิศวกรระบบสวิตชิงให้กับบริษัท Bell Laboratories หนุ่มน้อยริตชี่เรียนดีจนสามารถเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด (Harvard University) และสำเร็จปริญญาด้านฟิซิกส์ในปี 1963
ที่ฮาร์วาร์ดนี้เองซึ่งทำให้ริตชี่มีความสนใจในคอมพิวเตอร์ การเข้าร่วมฟังบรรยายสอนเกี่ยวกับเครื่อง Univac 1 จุดประกายริตชี่อย่างจังและเป็นแรงบันดาลใจให้ริตชี่สมัครเข้าเรียนที่สถาบัน MIT (Massachusetts Institute of Technology) ในเวลาต่อมา
MIT ได้รับการยอมรับว่าเป็นแหล่งแรกๆของโลกในการพัฒนาคอมพิวเตอร์เมนเฟรมให้เป็นคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กและมีราคาประหยัดกว่า โดยในปี 1967 บริษัท Bell Labs ก็สามารถพัฒนาทรานซิสเตอร์ (transistor) ซึ่งเป็นเบื้องหลังสำคัญของการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สำหรับคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลในช่วงตลอดเวลาที่ผ่านมา ทั้งหมดนี้ทำให้ริตชี่เข้าร่วมโครงการสร้างระบบปฏิบัติการแนวคิดใหม่ Multics ของ Bell Labs พร้อมกับเคนเน็ธ ทอมป์สัน (Kenneth Thompson) ซึ่งกลายเป็นผู้ร่วมสร้างระบบปฏิบัติการ Unix ในเวลาต่อมา
บทบาทสำคัญของริตชี่คือการสร้างโปรแกรมภาษาซี ซึ่งสามารถทำให้ฮาร์ดแวร์สามารถสื่อสารกันได้ง่ายและเร็วขึ้นกว่าโปรแกรมภาษาอื่นในอดีต โดยภาษาซีทำให้นักพัฒนาสามารถเรียนรู้ระบบปฏิบัติการเดียว, เครื่องมือตัวเดียว และภาษาสำหรับเขียนโปรแกรมภาษาเดียวแต่สามารถจัดการฮาร์ดแวร์ข้ามระบบได้ แนวคิดเหล่านี้กลายเป็นรากฐานของการเขียนโปรแกรมในยุคปัจจุบันในที่สุด
กูรูไอทีผู้ล่วงลับรายนี้ดำรงตำแหน่งสุดท้ายเป็นหัวหน้าฝ่ายวิจัยซอฟต์แวร์ของ Lucent Technology Systems ก่อนจะเกษียนตัวเองในปี 2007 โดยรางวัลที่ริตชี่เคยได้รับร่วมกับผู้ร่วมสร้าง Unix อย่างทอมป์สันได้แก่ ACM Turing Prize ในปี 1983 และรางวัล US National Medal of Technology ในปี 1998
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 ตุลาคม 2554 07:50 น.
วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554
แอปเปิลส่งอัปเดต iOS 5 ลงไอโฟน ไอแพด อย่างเป็นทางการ
ตามกำหนดการที่ทางแอปเปิลเปิดเผยในงาน "Let's Talk iPhone" ว่าจะพร้อมปล่อยอัปเดต iOS 5 สำหรับ ไอโฟน 3Gs ไอโฟน 4 ไอพอด ทัช รุ่น 3 และ รุ่น 4 รวมถึง ไอแพด 1 และ 2 ในวันที่ 12 ตุลาคม ล่าสุดทางแอปเปิลก็พร้อมเปิดอัปเดต iOS 5 อย่างเป็นทางการแล้ววันนี้
โดยการอัปเดต iOS 5 ในครั้งนี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะทางแอปเปิลได้เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาจาก iOS เวอร์ชัน 4 โดยส่วนที่เด่นที่สุดจะอยู่ที่การเพิ่มระบบ iCloud ที่ใช้ในการสำรองข้อมูลจำพวก เบอร์โทรศัพท์ รูปภาพ ไฟล์เซฟต่างๆ และการทำให้อุปกรณ์ iOS Device เป็น PC Free หรืออีกความหมายคือ "ไม่จำเป็นต้องพึ่ง iTunes ก็สามารถจัดการเอกสาร รูปภาพ รวมถึงติดตั้งหรือสำรองข้อมูล ในเครื่องได้ด้วยตัวเอง"
สำหรับในส่วนของคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 5 มีดังนี้
- iMessage หรือแอปฯ ที่ใช้ในการส่งข้อความลักษณะ iOS to iOS messaging ผ่านสัญญาณดาต้าแบบเดียวกับ BBM ของ BlackBerry และ WhatsApp
- Notification Center หรือระบบแจ้งเตือนข้อความแบบใหม่ ที่จะใช้ลักษณะดึงจากขอบจอบนลงล่าง อีกทั้งใน iOS 5 ยังมาพร้อมระบบ Push แจ้งเตือนแบบใหม่ ที่จะไม่รบกวนผู้ใช้ระหว่างใช้งานแอปฯ หรือเล่นเกมเหมือนกับใน iOS เวอร์ชันก่อน
- Newsstand หรือชั้นวางหนังสือ ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด E-Book หรือหนังสือพิมพ์ออนไลน์มาติดตั้งไว้ พร้อมการอัปเดตที่จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
- Reminders หรือแอปฯ ช่วยในการจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ (To-Do Lists) ในแต่ละวันหรือแต่ละชั่วโมง
- Twitter ใน iOS 5 จะมีการผนวกรวมทวิตเตอร์ไปกับแอปฯ พื้นฐานที่ผู้ใช้สามารถกดแชร์เพจหรือรูปภาพไปยัง Timeline ทวิตเตอร์ของผู้ใช้ได้
- Camera on Lock Screen สำหรับผู้ใช้ไอโฟน เมื่ออยู่หน้าโฮมสามารถกดปุ่มโฮม 2 ครั้งเพื่อเรียกใช้งานกล้องถ่ายภาพได้ทันที นอกจากนั้นในส่วนของการถ่ายภาพ ผู้ใช้ยังสามารถใช้ปุ่มเพิ่มระดับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ได้
- Photo Editing ในส่วนของ Photos ผู้ใช้สามารถตกแต่งภาพที่ถ่ายได้ตั้งแต่ครอปภาพ แก้ตาแดงหรือปรับ Auto Enhance
- Phone Recents Edit ใน iOS 5 ผู้ใช้สามารถกดลบเบอร์โทรศัพท์ทีละเบอร์โทรได้แล้ว
- Add New Album to Photos App ในส่วน Photos App ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดอัลบั้มใหม่ พร้อมความสามารถในการลบและย้ายภาพได้ตามต้องการ
- Over-the-air updates เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปเดต iOS ได้โดยตรงจากเครื่อง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง iTunes
- Safari Tab (iPad) ในแอปฯ Safari บนไอแพดจะมีการเพิ่มแท็บเข้ามาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มหน้า Reader View เข้ามาเช่นกัน
- Restore from iCloud การ Restore ข้อมูลกลับมาบน iDevice สามารถทำผ่านระบบคลาวด์และอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพึ่งไอจูน
- iTunes WiFi Sync สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสำรองข้อมูลไว้ใน iTunes ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายซิงค์อีกต่อไป แต่สามารถซิงค์ข้อมูลผ่าน WiFi ได้ทันที
ส่วนการอัปเดต iOS 5 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก iTunes โดยต้องอัปเดต iTunes เป็นเวอร์ชันล่าสุด 10.5 ก่อนถึงจะสามารถอัปเดต iOS 5 ได้
**แอปฯ บน "App Store" พร้อมใจอัปเดตรองรับ iOS 5**
หลังจากการปล่อยอัปเดต iOS 5 อย่างเป็นทางการไม่ถึง 10 นาที เหล่าบรรดาผู้พัฒนาแอปฯ บน App Store ก็พร้อมใจกันปล่อยอัปเดตแอปฯ ของตนใหม่ ให้รองรับกับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS 5 โดยส่วนใหญ่จะเป็นการอัปเดตเพื่อรองรับการใช้งานมากกว่า เช่น Viber, Evernote แต่บางแอปฯ กลับมีการดึงคุณสมบัติใหม่ๆ บน iOS 5 มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น
แอปฯ Foursquare ที่อัปเดตเวอร์ชัน 4.0 รองรับระบบ Radar ที่เป็นการดึงความสามารถในเรื่องระบบแจ้งเตือนของ iOS 5 มาใช้ โดย Radar จะเป็นเหมือนการที่เรามาร์คสถานที่ไว้ว่าจะไปที่ใด ซึ่งเมื่อผู้ใช้เดินทางเข้าใกล้สถานที่นั้นระบบจะแจ้งเตือนให้เราทราบทันทีแบบอัตโนมัติ
หรือในส่วนของแอปฯ HootSuite ที่สามารถดึงระบบโพสต์ทวิตเตอร์ไปรวมกับระบบแชร์ทวิตเตอร์บน iOS 5 ได้..........
โดยการอัปเดต iOS 5 ในครั้งนี้ถือเป็นการปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะทางแอปเปิลได้เพิ่มฟังก์ชันการใช้งานและพัฒนาฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเข้ามาจาก iOS เวอร์ชัน 4 โดยส่วนที่เด่นที่สุดจะอยู่ที่การเพิ่มระบบ iCloud ที่ใช้ในการสำรองข้อมูลจำพวก เบอร์โทรศัพท์ รูปภาพ ไฟล์เซฟต่างๆ และการทำให้อุปกรณ์ iOS Device เป็น PC Free หรืออีกความหมายคือ "ไม่จำเป็นต้องพึ่ง iTunes ก็สามารถจัดการเอกสาร รูปภาพ รวมถึงติดตั้งหรือสำรองข้อมูล ในเครื่องได้ด้วยตัวเอง"
สำหรับในส่วนของคุณสมบัติเด่นอื่นๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน iOS 5 มีดังนี้
- iMessage หรือแอปฯ ที่ใช้ในการส่งข้อความลักษณะ iOS to iOS messaging ผ่านสัญญาณดาต้าแบบเดียวกับ BBM ของ BlackBerry และ WhatsApp
- Notification Center หรือระบบแจ้งเตือนข้อความแบบใหม่ ที่จะใช้ลักษณะดึงจากขอบจอบนลงล่าง อีกทั้งใน iOS 5 ยังมาพร้อมระบบ Push แจ้งเตือนแบบใหม่ ที่จะไม่รบกวนผู้ใช้ระหว่างใช้งานแอปฯ หรือเล่นเกมเหมือนกับใน iOS เวอร์ชันก่อน
- Newsstand หรือชั้นวางหนังสือ ที่ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลด E-Book หรือหนังสือพิมพ์ออนไลน์มาติดตั้งไว้ พร้อมการอัปเดตที่จะเป็นไปอย่างอัตโนมัติ
- Reminders หรือแอปฯ ช่วยในการจดบันทึกสิ่งที่ต้องทำ (To-Do Lists) ในแต่ละวันหรือแต่ละชั่วโมง
- Twitter ใน iOS 5 จะมีการผนวกรวมทวิตเตอร์ไปกับแอปฯ พื้นฐานที่ผู้ใช้สามารถกดแชร์เพจหรือรูปภาพไปยัง Timeline ทวิตเตอร์ของผู้ใช้ได้
- Camera on Lock Screen สำหรับผู้ใช้ไอโฟน เมื่ออยู่หน้าโฮมสามารถกดปุ่มโฮม 2 ครั้งเพื่อเรียกใช้งานกล้องถ่ายภาพได้ทันที นอกจากนั้นในส่วนของการถ่ายภาพ ผู้ใช้ยังสามารถใช้ปุ่มเพิ่มระดับเสียงแทนปุ่มชัตเตอร์ได้
- Photo Editing ในส่วนของ Photos ผู้ใช้สามารถตกแต่งภาพที่ถ่ายได้ตั้งแต่ครอปภาพ แก้ตาแดงหรือปรับ Auto Enhance
- Phone Recents Edit ใน iOS 5 ผู้ใช้สามารถกดลบเบอร์โทรศัพท์ทีละเบอร์โทรได้แล้ว
- Add New Album to Photos App ในส่วน Photos App ผู้ใช้สามารถสร้างและจัดอัลบั้มใหม่ พร้อมความสามารถในการลบและย้ายภาพได้ตามต้องการ
- Over-the-air updates เป็นคุณสมบัติหนึ่งที่ทำให้ผู้ใช้สามารถอัปเดต iOS ได้โดยตรงจากเครื่อง โดยไม่จำเป็นต้องพึ่ง iTunes
- Safari Tab (iPad) ในแอปฯ Safari บนไอแพดจะมีการเพิ่มแท็บเข้ามาให้ใช้งานได้สะดวกขึ้น รวมถึงมีการเพิ่มหน้า Reader View เข้ามาเช่นกัน
- Restore from iCloud การ Restore ข้อมูลกลับมาบน iDevice สามารถทำผ่านระบบคลาวด์และอินเตอร์เน็ตได้โดยไม่ต้องพึ่งไอจูน
- iTunes WiFi Sync สำหรับผู้ใช้ที่ต้องการสำรองข้อมูลไว้ใน iTunes ก็สามารถทำได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้สายซิงค์อีกต่อไป แต่สามารถซิงค์ข้อมูลผ่าน WiFi ได้ทันที
ส่วนการอัปเดต iOS 5 ผู้สนใจสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก iTunes โดยต้องอัปเดต iTunes เป็นเวอร์ชันล่าสุด 10.5 ก่อนถึงจะสามารถอัปเดต iOS 5 ได้
**แอปฯ บน "App Store" พร้อมใจอัปเดตรองรับ iOS 5**
หลังจากการปล่อยอัปเดต iOS 5 อย่างเป็นทางการไม่ถึง 10 นาที เหล่าบรรดาผู้พัฒนาแอปฯ บน App Store ก็พร้อมใจกันปล่อยอัปเดตแอปฯ ของตนใหม่ ให้รองรับกับการใช้งานบนระบบปฏิบัติการ iOS 5 โดยส่วนใหญ่จะเป็นการอัปเดตเพื่อรองรับการใช้งานมากกว่า เช่น Viber, Evernote แต่บางแอปฯ กลับมีการดึงคุณสมบัติใหม่ๆ บน iOS 5 มาใช้ ยกตัวอย่างเช่น
แอปฯ Foursquare ที่อัปเดตเวอร์ชัน 4.0 รองรับระบบ Radar ที่เป็นการดึงความสามารถในเรื่องระบบแจ้งเตือนของ iOS 5 มาใช้ โดย Radar จะเป็นเหมือนการที่เรามาร์คสถานที่ไว้ว่าจะไปที่ใด ซึ่งเมื่อผู้ใช้เดินทางเข้าใกล้สถานที่นั้นระบบจะแจ้งเตือนให้เราทราบทันทีแบบอัตโนมัติ
หรือในส่วนของแอปฯ HootSuite ที่สามารถดึงระบบโพสต์ทวิตเตอร์ไปรวมกับระบบแชร์ทวิตเตอร์บน iOS 5 ได้..........
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 ตุลาคม 2554 03:23 น.
วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ไมโครซอฟท์ดิ้นหนีตาย โฟกัสคอนซูเมอร์มากขึ้น
ไมโครซอฟท์ไทย ปรับวิสัยทัศน์ตามบริษัทแม่ มุ่งหน้าสู่ เซอร์วิส คัมพานี หวังลบภาพบริษัทขายซอฟต์แวร์ให้ได้ภายใน 3 ปีข้างหน้า พร้อมเปิดวิสัยทัศน์ในไทย สร้างฟุตพรินต์เทคโนโลยีเข้าถึงคนไทย 70 ล้านคน
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่าในปีงบประมาณที่ผ่านมาของไมโครซอฟท์ประเทศไทยถือว่า เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลข 2 หลักโดยยังคงเป็นผู้นำด้านคลาวด์ คอมพิวติ้ง เห็นได้จากมีผู้ใช้วินโดวส์ ไลฟ์ในไทยถึง 11.8 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่วินโดวส์ โฟน มีผู้ใช้ราว 235,000 เครื่อง และผู้ใช้ไมโครซอฟท์ เอ็กซ์พลอเลอร์อยู่ 13.5 ล้านคน มีจำนวนผู้ใช้พีซีที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ถึง 19.1 ล้านคน และในจำนวนนั้น มีผู้ใช้งานโปรแกรมออฟฟิศอยู่ 2.79 ล้านไลเซนส์ ในขณะที่คนไทยมีการใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์อยู่ทั้งหมด 16.7 ล้านคน
'กิจกรรมที่ไมโครซอฟท์ทำให้กับสังคมไทยในแต่ละปี ในหลากหลายโปรแกรมนั้น เท่ากับว่าคนไทยได้มีโอกาสสัมผัสหรือใช้งานผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ในเวลานี้ถึง 63.8 ล้านคน ซึ่งถือว่าไมโครซอฟท์มีพื้นฐานในไทยที่กว้างมาก'
สำหรับทิศทางของไมโครซอฟท์ในไทยอีก 3 ปีข้างหน้า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของไมโครซอฟท์ โดยซีอีโอ 'สตีฟ บัลเมอร์' ต้องการให้ไมโครซอฟท์ก้าวสู่เซอร์วิสคัมพานี โดยเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากเดิมที่หลายคนมองว่า ไมโครซอฟท์เป็นซอฟท์แวร์คัมพานี นั่นจึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ We Make 70 Million Lives Better ที่ไมโครซอฟท์จะสัมผัสกับคนไทยถึง 70 ล้านคนภายใน 3 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของไมโครซอฟท์ที่ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อมอบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ
ในปีงบประมาณ 2012 ไมโครซอฟท์จะมุ่งเข้าสู่ตลาดคอมซูเมอร์มากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ไมโครซอฟท์เริ่มทำแล้วในบางเรื่อง เช่น เรื่องสถานที่ (Location) เป็นกระแสนิยมที่ผู้คนสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ประกอบกับการใช้งานสมาร์ทโฟนที่แสดงสถานที่ใช้งาน ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ตรงกับความต้องการ
ในต้นปีหน้า ไมโครซอฟท์ จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน เวอร์ชัน 7.5 หรือที่รู้จักในชื่อ 'แมงโก้' และจะเห็นมาร์เกตเพรสที่พัฒนาเป็นภาษาไทยช่วงสิ้นปีหน้า
'ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยยังเพิ่งเริ่มต้นเวลานี้มีผู้ใช้อยู่ประมาณ 2.5 ล้านเครื่องเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ช้าที่ไมโครซอฟท์จะเข้ามาทำตลาดในไทยปีหน้า'
นอกจากนี้ โซเชียล คอมพิวติ้ง ที่เป็นการประมวลผลแบบสังคมช่วยให้คนติดต่อสื่อสาร มีการทำกิจกรรมแบบเวิร์กแอนด์เพลย์ร่วมกันในรูปแบบอวตารได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงการให้บริการคลาวด์ คอมพิวตี้งในแบบแมส ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ของฮอตเมลที่จะพร้อมใช้งานในวันที่ 3 ต.ค.54 ในเรื่องของสแปมเมลที่จะลดลงไปได้ถึง 33% รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สตอเรจในการเก็บข้อมูลที่จะไม่จำกัด และในต้นปีหน้า จะมีการเปิดตัวบริการ ออฟฟิศ 386 ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ของไมโครซอฟท์ที่อยู่ในรูปแบบคิดตามการใช้งานสำหรับตลาดคอนซูเมอร์ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่ไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่างกลุ่มทรู
ตามมาด้วยการเปิดแคมเปญใหญ่ของไมโครซอฟท์ช่วงเดือนม.ค.ปีหน้า เพื่อส่งเสริมให้คนไทยใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ออฟฟิศ วินโดวส์โฟน วินโดวส์ ไลฟ์ พร้อมกันนี้ยังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าง บิง และ คินเน็ค เอ็กซ์บ็อกซ์ แต่ความชัดเจนของเครื่องเล่นเกมอย่างเอ็กซ์บ็อก 360 ในไทยนั้น คาดว่าจะเห็นในเฟสถัดไป หลังวันนี้ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวไปแล้ว 30 ประเทศ
'รายได้ของไมโครซอฟท์ระหว่างกลุ่มตลาดเอนเตอร์ไพรส์ กับคอนซูเมอร์ในไทย ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านั้น จะมีสัดส่วนมาจากกลุ่มเอนเตอร์ไพรส์ 2 ใน 3 ที่เหลือจะเป็นกลุ่มคอนซูเมอร์'
Company Related Link :
Microsoft
นายพีรธน เกษมศรี ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) กล่าวว่าในปีงบประมาณที่ผ่านมาของไมโครซอฟท์ประเทศไทยถือว่า เติบโตอย่างต่อเนื่องด้วยตัวเลข 2 หลักโดยยังคงเป็นผู้นำด้านคลาวด์ คอมพิวติ้ง เห็นได้จากมีผู้ใช้วินโดวส์ ไลฟ์ในไทยถึง 11.8 ล้านคน ซึ่งถือว่าสูงที่สุดในอาเซียน ขณะที่วินโดวส์ โฟน มีผู้ใช้ราว 235,000 เครื่อง และผู้ใช้ไมโครซอฟท์ เอ็กซ์พลอเลอร์อยู่ 13.5 ล้านคน มีจำนวนผู้ใช้พีซีที่ใช้ผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ถึง 19.1 ล้านคน และในจำนวนนั้น มีผู้ใช้งานโปรแกรมออฟฟิศอยู่ 2.79 ล้านไลเซนส์ ในขณะที่คนไทยมีการใช้งานระบบปฏิบัติการวินโดวส์อยู่ทั้งหมด 16.7 ล้านคน
'กิจกรรมที่ไมโครซอฟท์ทำให้กับสังคมไทยในแต่ละปี ในหลากหลายโปรแกรมนั้น เท่ากับว่าคนไทยได้มีโอกาสสัมผัสหรือใช้งานผลิตภัณฑ์ของไมโครซอฟท์ในเวลานี้ถึง 63.8 ล้านคน ซึ่งถือว่าไมโครซอฟท์มีพื้นฐานในไทยที่กว้างมาก'
สำหรับทิศทางของไมโครซอฟท์ในไทยอีก 3 ปีข้างหน้า จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของไมโครซอฟท์ โดยซีอีโอ 'สตีฟ บัลเมอร์' ต้องการให้ไมโครซอฟท์ก้าวสู่เซอร์วิสคัมพานี โดยเปลี่ยนภาพลักษณ์ จากเดิมที่หลายคนมองว่า ไมโครซอฟท์เป็นซอฟท์แวร์คัมพานี นั่นจึงเป็นที่มาของวิสัยทัศน์ We Make 70 Million Lives Better ที่ไมโครซอฟท์จะสัมผัสกับคนไทยถึง 70 ล้านคนภายใน 3 ปีข้างหน้า สะท้อนให้เห็นถึงการดำเนินธุรกิจของไมโครซอฟท์ที่ทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์เพื่อมอบผลิตภัณฑ์และบริการใหม่ๆ
ในปีงบประมาณ 2012 ไมโครซอฟท์จะมุ่งเข้าสู่ตลาดคอมซูเมอร์มากยิ่งขึ้น ด้วยเทคโนโลยีที่ไมโครซอฟท์เริ่มทำแล้วในบางเรื่อง เช่น เรื่องสถานที่ (Location) เป็นกระแสนิยมที่ผู้คนสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา ประกอบกับการใช้งานสมาร์ทโฟนที่แสดงสถานที่ใช้งาน ทำให้ธุรกิจต่างๆ สามารถให้บริการแก่ผู้ใช้งานในแต่ละพื้นที่ตรงกับความต้องการ
ในต้นปีหน้า ไมโครซอฟท์ จะเปิดตัวสมาร์ทโฟนที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ โฟน เวอร์ชัน 7.5 หรือที่รู้จักในชื่อ 'แมงโก้' และจะเห็นมาร์เกตเพรสที่พัฒนาเป็นภาษาไทยช่วงสิ้นปีหน้า
'ตลาดสมาร์ทโฟนในไทยยังเพิ่งเริ่มต้นเวลานี้มีผู้ใช้อยู่ประมาณ 2.5 ล้านเครื่องเท่านั้น ซึ่งถือว่าไม่ช้าที่ไมโครซอฟท์จะเข้ามาทำตลาดในไทยปีหน้า'
นอกจากนี้ โซเชียล คอมพิวติ้ง ที่เป็นการประมวลผลแบบสังคมช่วยให้คนติดต่อสื่อสาร มีการทำกิจกรรมแบบเวิร์กแอนด์เพลย์ร่วมกันในรูปแบบอวตารได้อย่างสมบูรณ์แบบ รวมถึงการให้บริการคลาวด์ คอมพิวตี้งในแบบแมส ซึ่งจะเห็นการเปลี่ยนโฉมครั้งใหญ่ของฮอตเมลที่จะพร้อมใช้งานในวันที่ 3 ต.ค.54 ในเรื่องของสแปมเมลที่จะลดลงไปได้ถึง 33% รวมไปถึงการเพิ่มพื้นที่สตอเรจในการเก็บข้อมูลที่จะไม่จำกัด และในต้นปีหน้า จะมีการเปิดตัวบริการ ออฟฟิศ 386 ซึ่งถือเป็นโมเดลธุรกิจใหม่ของไมโครซอฟท์ที่อยู่ในรูปแบบคิดตามการใช้งานสำหรับตลาดคอนซูเมอร์ โดยเฉพาะกลุ่มเอสเอ็มอี ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งบริการที่ไมโครซอฟท์ทำงานร่วมกับพาร์ตเนอร์อย่างกลุ่มทรู
ตามมาด้วยการเปิดแคมเปญใหญ่ของไมโครซอฟท์ช่วงเดือนม.ค.ปีหน้า เพื่อส่งเสริมให้คนไทยใกล้ชิดกันมากขึ้นด้วยเทคโนโลยีของไมโครซอฟท์ ไม่ว่าจะเป็นวินโดวส์ ออฟฟิศ วินโดวส์โฟน วินโดวส์ ไลฟ์ พร้อมกันนี้ยังจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อย่าง บิง และ คินเน็ค เอ็กซ์บ็อกซ์ แต่ความชัดเจนของเครื่องเล่นเกมอย่างเอ็กซ์บ็อก 360 ในไทยนั้น คาดว่าจะเห็นในเฟสถัดไป หลังวันนี้ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวไปแล้ว 30 ประเทศ
'รายได้ของไมโครซอฟท์ระหว่างกลุ่มตลาดเอนเตอร์ไพรส์ กับคอนซูเมอร์ในไทย ภายใน 2-3 ปีข้างหน้านั้น จะมีสัดส่วนมาจากกลุ่มเอนเตอร์ไพรส์ 2 ใน 3 ที่เหลือจะเป็นกลุ่มคอนซูเมอร์'
Company Related Link :
Microsoft
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2554 11:19 น.
ศูนย์ข้อมูลใหม่ออราเคิล "เร็วเท่าความคิด"
ยักษ์ใหญ่ซอฟต์แวร์อันดับ 3 ของโลกอย่างออราเคิล (Oracle) เปิดตัวเครื่องวิเคราะห์ข้อมูลสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์หรือศูนย์ข้อมูลแบบออลอินวันรุ่นใหม่ล่าสุด การันตีว่าการรวมกันของฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ที่ออราเคิลพัฒนาขึ้นจะสามารถวิเคราะห์ข้อมูลได้ในความเร็วระดับ"ไวเท่าความคิด" ระบุว่าใช้เทคโนโลยีคู่ขนานจนทำให้ศูนย์ข้อมูลรุ่นล่าสุดนี้มีความเร็วในการวิเคราะห์ข้อมูลมากกว่าเดิม 10 เท่าตัว
ระบบวิเคราะห์ข้อมูลความเร็วสูงของออราเคิลนี้มีชื่อว่า Exalytics ถูกเปิดตัวโดยแลร์รี่ เอลิสัน (Larry Ellison) ซีอีโอออราเคิลซึ่งประกาศด้วยฐานะผลิตภัณฑ์ดาต้าเซ็นเตอร์ครบวงจรรุ่นล่าสุดของบริษัท บนเวทีงานประชุมประจำปี OpenWorld ซึ่งออราเคิลจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานมากกว่า 40,000 คนจากทั่วมุมโลก
ศูนย์ข้อมูลนั้นเป็นระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เหมาะกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล หรืออุตสาหกรรมที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่ผ่านมา ออราเคิลนั้นเป็นบริษัทที่เน้นพัฒนาเฉพาะซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล จนเมื่อไม่กี่ปีให้หลัง ออราเคิลจึงเปลี่ยนนโยบายบริษัท มามุ่งพัฒนาและทำตลาดฮาร์ดแวร์ระบบศูนย์ข้อมูลอย่างเต็มตัว
สำหรับ Exalytics ออราเคิลระบุว่าได้พัฒนาบนเทคโนโลยีการประมวลผลคู่ขนานหรือ parallel computing ซึ่งเป็นการนำระบบประมวลผลและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆมาทำงานพร้อมกันแบบเสมือนชนิดไร้รอยต่อ จนสามารถพัฒนาความสามารถโดยรวมของระบบได้จนเป็นรูปธรรม ซึ่งในเชิงเทคนิค Exalytics จะใช้เทคโนโลยี in-memory database หรือการประมวลผลข้อมูลในระดับหน่วยความจำสำรองหรือ RAM แทนที่จะเป็นการเรียกข้อมูลมาอ่านในระดับดิสก์เก็บข้อมูล ทำให้ระบบสามารถทำงานได้เร็วขึ้น
"ถามว่าเราทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์นี้ทำงานเร็วขึ้น 10 เท่าตัว คำตอบคือการทำงานคู่ขนานทุกอย่าง ศูนย์ข้อมูลล่าสุดของเราประกอบด้วยเครือข่ายคู่ขนานจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความเร็วที่สัมผัสได้"
Exalytics มาพร้อมหน่วยประมวลผล 40 คอร์ และ DRAM ความจุ 1TB แต่ใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลจนทำให้ DRAM ใน Exalytics มีความจุข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 5-10TB ไม่มีข้อมูลอัตราความเร็วของระบบที่แน่นอน มีเพียงการใช้คำว่า"ไวเท่าความคิด"ซึ่งออราเคิลการันตีว่าไม่เกินจริงเมื่อระบบทำงานบนหน้าตาโปรแกรมหรือยูสเซอร์อินเทอร์เฟสที่โต้ตอบได้แบบใหม่ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ออราเคิลไม่ใช่บริษัทเดียวที่สามารถพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลครบวงจรความเร็วสูงพิเศษ เพราะคู่แข่งอย่างเอสเอพี (SAP) ก็มีแผนวางจำหน่ายระบบประมวลผล in-memory เช่นกันในชื่อ HANA ซึ่งคาดว่านี่จะเป็นทิศทางการแข่งขันในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ต่อเนื่องไปอีกหลายปี
นอกจาก Exalytics ในงานปีนี้ ซีอีโอออราเคิลยังเปิดตัวคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ตระกูล SPARC Solaris รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย ผลจากการเข้าซื้อบริษัทผลิตและจำหน่ายคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ชื่อดัง "ซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems)" ด้วยเงินมูลค่า 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดหลังจากออราเคิลประกาศร่วมวงในตลาดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ระบบศูนย์ข้อมูลเพื่อแข่งขันกับอดีตพันธมิตรอย่างเอชพี (Hewlett-Packard) แบบเต็มตัว
การเปิดตัว Exalytics ถือเป็นการต่อยอดจากการเปิดตัว Exalogic ระบบศูนย์ข้อมูลครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของออราเคิลในปีที่แล้ว และการเปิดตัวเครื่องแม่ข่ายฐานข้อมูลตระกูล Exadata ซึ่งออราเคิลระบุว่าได้ติดตั้งแก่ลูกค้าทั่วโลกแล้วกว่า 1,000 ตัว มีเป้าหมายจำหน่ายอีก 3,000 ตัวในปีนี้ คาดว่าแนวโน้มตลาดจะยังไปได้ดีต่อเนื่อง
คู่แข่งของออราเคิลนั้นนอกจากจะมียักษ์ใหญ่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลในยุโรปอย่างเอสเอพี ยังมียักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ฐานข้อมูลโลก
ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของออราเคิลในวงการโลก คือการฟ้องร้องกูเกิล (Google) ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีชุดคำสั่งภาษาจาวาของซันฯในแอนดรอยด์ ความคืบหน้าคดีในขณะนี้คือการประเมินความเสียหายในชั้นศาล เบื้องต้นออราเคิลยืนยันว่าการที่กูเกิลละเมิดเทคโนโลยีของซัน ที่กลายเป็นสมบัติของออราเคิลในขณะนี้ ทำให้ออราเคิลได้รับความเสียหายมากกว่า 1.16 พันล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าในการพิจารณาคดีแต่อย่างใด
Company Related Link :
Oracle
ระบบวิเคราะห์ข้อมูลความเร็วสูงของออราเคิลนี้มีชื่อว่า Exalytics ถูกเปิดตัวโดยแลร์รี่ เอลิสัน (Larry Ellison) ซีอีโอออราเคิลซึ่งประกาศด้วยฐานะผลิตภัณฑ์ดาต้าเซ็นเตอร์ครบวงจรรุ่นล่าสุดของบริษัท บนเวทีงานประชุมประจำปี OpenWorld ซึ่งออราเคิลจัดขึ้นที่ซานฟรานซิสโกในปีนี้ คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานมากกว่า 40,000 คนจากทั่วมุมโลก
ศูนย์ข้อมูลนั้นเป็นระบบคอมพิวเตอร์ประสิทธิภาพสูงสำหรับการประมวลผลข้อมูลจำนวนมาก เหมาะกับการใช้งานในองค์กรขนาดใหญ่ เช่น ธนาคาร โรงพยาบาล หรืออุตสาหกรรมที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากให้ได้ในเวลาอันรวดเร็ว ที่ผ่านมา ออราเคิลนั้นเป็นบริษัทที่เน้นพัฒนาเฉพาะซอฟต์แวร์จัดการฐานข้อมูล จนเมื่อไม่กี่ปีให้หลัง ออราเคิลจึงเปลี่ยนนโยบายบริษัท มามุ่งพัฒนาและทำตลาดฮาร์ดแวร์ระบบศูนย์ข้อมูลอย่างเต็มตัว
สำหรับ Exalytics ออราเคิลระบุว่าได้พัฒนาบนเทคโนโลยีการประมวลผลคู่ขนานหรือ parallel computing ซึ่งเป็นการนำระบบประมวลผลและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์อื่นๆมาทำงานพร้อมกันแบบเสมือนชนิดไร้รอยต่อ จนสามารถพัฒนาความสามารถโดยรวมของระบบได้จนเป็นรูปธรรม ซึ่งในเชิงเทคนิค Exalytics จะใช้เทคโนโลยี in-memory database หรือการประมวลผลข้อมูลในระดับหน่วยความจำสำรองหรือ RAM แทนที่จะเป็นการเรียกข้อมูลมาอ่านในระดับดิสก์เก็บข้อมูล ทำให้ระบบสามารถทำงานได้เร็วขึ้น
"ถามว่าเราทำอย่างไรให้ผลิตภัณฑ์นี้ทำงานเร็วขึ้น 10 เท่าตัว คำตอบคือการทำงานคู่ขนานทุกอย่าง ศูนย์ข้อมูลล่าสุดของเราประกอบด้วยเครือข่ายคู่ขนานจำนวนมาก สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นความเร็วที่สัมผัสได้"
Exalytics มาพร้อมหน่วยประมวลผล 40 คอร์ และ DRAM ความจุ 1TB แต่ใช้เทคโนโลยีบีบอัดข้อมูลจนทำให้ DRAM ใน Exalytics มีความจุข้อมูลเพิ่มขึ้นเป็น 5-10TB ไม่มีข้อมูลอัตราความเร็วของระบบที่แน่นอน มีเพียงการใช้คำว่า"ไวเท่าความคิด"ซึ่งออราเคิลการันตีว่าไม่เกินจริงเมื่อระบบทำงานบนหน้าตาโปรแกรมหรือยูสเซอร์อินเทอร์เฟสที่โต้ตอบได้แบบใหม่ของบริษัท
อย่างไรก็ตาม ออราเคิลไม่ใช่บริษัทเดียวที่สามารถพัฒนาระบบวิเคราะห์ข้อมูลครบวงจรความเร็วสูงพิเศษ เพราะคู่แข่งอย่างเอสเอพี (SAP) ก็มีแผนวางจำหน่ายระบบประมวลผล in-memory เช่นกันในชื่อ HANA ซึ่งคาดว่านี่จะเป็นทิศทางการแข่งขันในตลาดดาต้าเซ็นเตอร์ต่อเนื่องไปอีกหลายปี
นอกจาก Exalytics ในงานปีนี้ ซีอีโอออราเคิลยังเปิดตัวคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ตระกูล SPARC Solaris รุ่นใหม่ล่าสุดด้วย ผลจากการเข้าซื้อบริษัทผลิตและจำหน่ายคอมพิวเตอร์เซิร์ฟเวอร์ชื่อดัง "ซันไมโครซิสเต็มส์ (Sun Microsystems)" ด้วยเงินมูลค่า 7.5 พันล้านเหรียญสหรัฐเมื่อปีที่แล้ว ซึ่งถือเป็นก้าวที่สำคัญที่สุดหลังจากออราเคิลประกาศร่วมวงในตลาดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ระบบศูนย์ข้อมูลเพื่อแข่งขันกับอดีตพันธมิตรอย่างเอชพี (Hewlett-Packard) แบบเต็มตัว
การเปิดตัว Exalytics ถือเป็นการต่อยอดจากการเปิดตัว Exalogic ระบบศูนย์ข้อมูลครบวงจรทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ของออราเคิลในปีที่แล้ว และการเปิดตัวเครื่องแม่ข่ายฐานข้อมูลตระกูล Exadata ซึ่งออราเคิลระบุว่าได้ติดตั้งแก่ลูกค้าทั่วโลกแล้วกว่า 1,000 ตัว มีเป้าหมายจำหน่ายอีก 3,000 ตัวในปีนี้ คาดว่าแนวโน้มตลาดจะยังไปได้ดีต่อเนื่อง
คู่แข่งของออราเคิลนั้นนอกจากจะมียักษ์ใหญ่ผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ฐานข้อมูลในยุโรปอย่างเอสเอพี ยังมียักษ์ใหญ่สีฟ้าไอบีเอ็ม (IBM) ซึ่งทั้งหมดเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาดซอฟต์แวร์และฮาร์ดแวร์ฐานข้อมูลโลก
ความเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ของออราเคิลในวงการโลก คือการฟ้องร้องกูเกิล (Google) ในข้อหาละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีชุดคำสั่งภาษาจาวาของซันฯในแอนดรอยด์ ความคืบหน้าคดีในขณะนี้คือการประเมินความเสียหายในชั้นศาล เบื้องต้นออราเคิลยืนยันว่าการที่กูเกิลละเมิดเทคโนโลยีของซัน ที่กลายเป็นสมบัติของออราเคิลในขณะนี้ ทำให้ออราเคิลได้รับความเสียหายมากกว่า 1.16 พันล้านเหรียญ ซึ่งยังไม่มีความคืบหน้าในการพิจารณาคดีแต่อย่างใด
Company Related Link :
Oracle
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 ตุลาคม 2554 11:08 น.
วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554
"ริม" ลุ้นหนีตาย
ริม (Research in Motion : RIM) คอตกกำไรไตรมาสล่าสุดหายไปเกือบครึ่ง แถมยอดจำหน่ายแท็บเล็ตบีบีนามเพลย์บุ๊ก (PlayBook) ยังพลาดเป้าไปเกือบ 5 แสนเครื่อง เบื้องต้นคาดริมกำลังเตรียมแผนหนีตายด้วยการประกาศหั่นราคาเพลย์บุ๊กลงตามรอยแท็บเล็ตแบรนด์อื่น
***ริมกำไรลดฮวบ 47%
ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฮิตแบล็กเบอรี่ (บีบี) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปีการเงิน 2011 ของริม (มิถุนายน-สิงหาคม 2011) ปรากฏว่ากำไรของริมลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ขณะที่รายได้รวมก็น้อยลง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสต้นปี
ริมประกาศว่ากำไรไตรมาสที่ผ่านมาของบริษัทมีมูลค่า 497 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1.49 หมื่นล้านบาท) ลดลงจากที่ริมเคยทำได้ 797 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว (ราว 2.39 หมื่นล้านบาท) รายได้รวมตลอด 3 เดือนคือ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้าราว 15% แต่คิดเป็นสัดส่วนลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2010
เฉพาะตัวเลขเงินสดสำรอง ริมประกาศว่าลดลงเหลือ 1,400 ล้านเหรียญหลังจากที่ริมต้องส่งเงิน 1,500 ล้านเหรียญให้บริษัทอเมริกันอย่าง Nortel ในเรื่องลิขสิทธิเทคโนโลยี
ทั้งหมดนี้ จิม บาลซิลลี (Jim Balsillie) ซีอีโอร่วมของริมระบุว่า ริมยังสามารถไปได้ดีกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการใหม่ BlackBerry 7 ในทุกตลาดทั่วโลก โดยสามารถจัดส่งสมาร์ทโฟนบีบีได้ราว 10.6 ล้านเครื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่ายอดจัดส่งสินค้าของริมนั้นน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการผลักดัน BlackBerry 7 สู่ตลาดองค์กร ก่อนที่ริมจะนำระบบปฏิบัติการ QNX มาใช้ในบีบีรุ่นถัดไป
สำหรับแท็บเล็ตแบรนด์บีบีอย่างเพลย์บุ๊ก ผู้บริหารริมระบุว่าสามารถจำหน่ายจัดส่งไปได้เพียง 200,000 เครื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น้อยกว่าช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่จัดส่งไปราว 500,000 เครื่อง ทำให้รายได้หลักของริมมาจากสมาร์ทโฟนบีบีระบบปฏิบัติการ BlackBerry 7 สะท้อนความต้องการในตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง
***อาจหั่นราคาเพลย์บุ๊ก
ความเป็นไปได้ในการลดราคาเพลย์บุ๊กเพื่อระบายสินค้าคงคลังของริมถูกตีความจากคำพูดของไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) ซีอีโอร่วมอีกรายของริม ซึ่งระบุว่าริมกำลังจะสร้างสรรค์โครงการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเพื่อผลักดันยอดขายแท็บเล็ตของริมแบบก้าวกระโดด จุดนี้สื่อต่างประเทศเชื่อว่าริมอาจปรับลดราคาจำหน่ายเพลย์บุ๊กลงตามรอยเอชพี (Hewlett-Packard) ซึ่งหั่นราคาแท็บเล็ตของตัวเองอย่างทัชแพด (TouchPad) ลงเหลือราคาเริ่มต้นที่ 99 เหรียญ (ราว 3,000 บาท) หลังจากประกาศแผนเลิกพัฒนาทัชแพดรุ่นต่อไปอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยความคืบหน้าของแผนลดราคาแท็บเล็ตบีบีในขณะนี้ โดยในร้านออนไลน์ของริม เพลย์บุ๊กยังคงวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 499 เหรียญ (สำหรับรุ่น 16GB) ขณะที่รุ่น 32GB ราคา 599 เหรียญ และรุ่น 64GB ราคา 699 เหรียญ
ยอดจัดส่งเพลย์บุ๊ก 200,000 เครื่องถือเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตเจ้าตลาดอย่างไอแพด (iPad) โดยไตรมาสที่ผ่านมา แอปเปิลระบุว่าสามารถจำหน่ายไอแพด 2 ได้มากถึง 9.25 ล้านเครื่อง ที่น่าสนใจคือตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขจำหน่ายจริงสู่มือผู้ใช้ ไม่ใช่ยอดจัดส่งที่แปลว่าอาจมีบางสินค้าค้างอยู่ในสต็อคเพื่อรอการจำหน่ายต่อไป
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจแท็บเล็ตของริมนั้นมีโอกาสเป็นต่อในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อริมสามารถเปิดตัวสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ QNX ในปี 2012 เพลย์บุ๊กซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันจะมีโอกาสกลายเป็นกระแสอีกครั้ง สำหรับความเป็นไปได้ว่าริมจะลดราคาเพลย์บุ๊กลงเท่าใดนั้นยังไม่มีข้อสรุป เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ราว 150 เหรียญสหรัฐ ตามที่ร้านเบสต์บาย (Best Buy) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอเมริกันเคยจัดโปรโมชันลดราคาเพลย์บุ๊กลง 50-150 เหรียญในช่วงวันแรงงานอเมริกันเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ครั้งนั้น เบสต์บายตั้งใจระบายเพลย์บุ๊กรุ่น 64GB ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกลดราคาลงมากที่สุด โดยลดเหลือ 549.99 เหรียญ จากเดิมราคา 700 เหรียญ ขณะที่รุ่น 16GB ถูกลดราคาลง 50 เหรียญเหลือ 449.99 เหรียญ เช่นเดียวกับรุ่น 32GB ที่จะลดราคา 50 เหรียญเหลือ 549.99 เหรียญ
สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ริมเชื่อว่ายอดขายรวมจะมีอัตราเติบโต 27-30% บนยอดขายรวมที่คาดว่าจะทะลุ 5,300-5,600 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยตัวเลขยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ 13.5-14.5 ล้านเครื่อง
Company Related Link :
RIM
***ริมกำไรลดฮวบ 47%
ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฮิตแบล็กเบอรี่ (บีบี) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปีการเงิน 2011 ของริม (มิถุนายน-สิงหาคม 2011) ปรากฏว่ากำไรของริมลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ขณะที่รายได้รวมก็น้อยลง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสต้นปี
ริมประกาศว่ากำไรไตรมาสที่ผ่านมาของบริษัทมีมูลค่า 497 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1.49 หมื่นล้านบาท) ลดลงจากที่ริมเคยทำได้ 797 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว (ราว 2.39 หมื่นล้านบาท) รายได้รวมตลอด 3 เดือนคือ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้าราว 15% แต่คิดเป็นสัดส่วนลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2010
เฉพาะตัวเลขเงินสดสำรอง ริมประกาศว่าลดลงเหลือ 1,400 ล้านเหรียญหลังจากที่ริมต้องส่งเงิน 1,500 ล้านเหรียญให้บริษัทอเมริกันอย่าง Nortel ในเรื่องลิขสิทธิเทคโนโลยี
ทั้งหมดนี้ จิม บาลซิลลี (Jim Balsillie) ซีอีโอร่วมของริมระบุว่า ริมยังสามารถไปได้ดีกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการใหม่ BlackBerry 7 ในทุกตลาดทั่วโลก โดยสามารถจัดส่งสมาร์ทโฟนบีบีได้ราว 10.6 ล้านเครื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่ายอดจัดส่งสินค้าของริมนั้นน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการผลักดัน BlackBerry 7 สู่ตลาดองค์กร ก่อนที่ริมจะนำระบบปฏิบัติการ QNX มาใช้ในบีบีรุ่นถัดไป
สำหรับแท็บเล็ตแบรนด์บีบีอย่างเพลย์บุ๊ก ผู้บริหารริมระบุว่าสามารถจำหน่ายจัดส่งไปได้เพียง 200,000 เครื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น้อยกว่าช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่จัดส่งไปราว 500,000 เครื่อง ทำให้รายได้หลักของริมมาจากสมาร์ทโฟนบีบีระบบปฏิบัติการ BlackBerry 7 สะท้อนความต้องการในตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง
***อาจหั่นราคาเพลย์บุ๊ก
ความเป็นไปได้ในการลดราคาเพลย์บุ๊กเพื่อระบายสินค้าคงคลังของริมถูกตีความจากคำพูดของไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) ซีอีโอร่วมอีกรายของริม ซึ่งระบุว่าริมกำลังจะสร้างสรรค์โครงการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเพื่อผลักดันยอดขายแท็บเล็ตของริมแบบก้าวกระโดด จุดนี้สื่อต่างประเทศเชื่อว่าริมอาจปรับลดราคาจำหน่ายเพลย์บุ๊กลงตามรอยเอชพี (Hewlett-Packard) ซึ่งหั่นราคาแท็บเล็ตของตัวเองอย่างทัชแพด (TouchPad) ลงเหลือราคาเริ่มต้นที่ 99 เหรียญ (ราว 3,000 บาท) หลังจากประกาศแผนเลิกพัฒนาทัชแพดรุ่นต่อไปอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยความคืบหน้าของแผนลดราคาแท็บเล็ตบีบีในขณะนี้ โดยในร้านออนไลน์ของริม เพลย์บุ๊กยังคงวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 499 เหรียญ (สำหรับรุ่น 16GB) ขณะที่รุ่น 32GB ราคา 599 เหรียญ และรุ่น 64GB ราคา 699 เหรียญ
ยอดจัดส่งเพลย์บุ๊ก 200,000 เครื่องถือเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตเจ้าตลาดอย่างไอแพด (iPad) โดยไตรมาสที่ผ่านมา แอปเปิลระบุว่าสามารถจำหน่ายไอแพด 2 ได้มากถึง 9.25 ล้านเครื่อง ที่น่าสนใจคือตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขจำหน่ายจริงสู่มือผู้ใช้ ไม่ใช่ยอดจัดส่งที่แปลว่าอาจมีบางสินค้าค้างอยู่ในสต็อคเพื่อรอการจำหน่ายต่อไป
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจแท็บเล็ตของริมนั้นมีโอกาสเป็นต่อในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อริมสามารถเปิดตัวสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ QNX ในปี 2012 เพลย์บุ๊กซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันจะมีโอกาสกลายเป็นกระแสอีกครั้ง สำหรับความเป็นไปได้ว่าริมจะลดราคาเพลย์บุ๊กลงเท่าใดนั้นยังไม่มีข้อสรุป เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ราว 150 เหรียญสหรัฐ ตามที่ร้านเบสต์บาย (Best Buy) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอเมริกันเคยจัดโปรโมชันลดราคาเพลย์บุ๊กลง 50-150 เหรียญในช่วงวันแรงงานอเมริกันเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา
ครั้งนั้น เบสต์บายตั้งใจระบายเพลย์บุ๊กรุ่น 64GB ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกลดราคาลงมากที่สุด โดยลดเหลือ 549.99 เหรียญ จากเดิมราคา 700 เหรียญ ขณะที่รุ่น 16GB ถูกลดราคาลง 50 เหรียญเหลือ 449.99 เหรียญ เช่นเดียวกับรุ่น 32GB ที่จะลดราคา 50 เหรียญเหลือ 549.99 เหรียญ
สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ริมเชื่อว่ายอดขายรวมจะมีอัตราเติบโต 27-30% บนยอดขายรวมที่คาดว่าจะทะลุ 5,300-5,600 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยตัวเลขยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ 13.5-14.5 ล้านเครื่อง
Company Related Link :
RIM
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กันยายน 2554 07:59 น.
เปิดแผนดิ้น"อินเทล" บทสรุปจากงาน IDF 2011
ในเมื่ออินเทลคือยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปหน่วยประมวลผลสำหรับคอมพิวเตอร์พีซี การที่โลกทุกวันนี้กำลังถูกแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนขโมยซีนจากพีซีทำให้อินเทลต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเพื่อหาที่ยืนในอุตสาหกรรมอุปกรณ์อัจฉริยะเคลื่อนที่ให้ได้ กลศึกหลายชั้นของอินเทลจึงถูกประกาศกลางงานประชุมนักพัฒนา IDF 2011 ที่ซานฟรานซิสโกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้โลกรับรู้ว่าอินเทลไม่ได้ก้มหน้ารอชะตากรรมใน"ยุคหลังพีซี" แต่กำลังหาทางดิ้นรนบนเดิมพันคือเก้าอี้เจ้าตลาดชิปหน่วยประมวลผลโลก
งานนี้อินเทลยังคงชู"อัลตร้าบุ๊ก"ในฐานะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางเฉียบที่มี"หน่วยประมวลผลที่สมบูรณ์แบบที่สุด" ขณะเดียวกันก็เปิดตัวโปรเซสเซอร์ “Haswell" ซึ่งการันตีว่ากินไฟต่ำกว่าชิปรุ่นอื่นของอินเทลกว่า 20 เท่าเมื่ออยู่ในโหมดสแตนด์บายพร้อมใช้งาน โดยชิปนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพื่อเปิดตัวในปี 2013
อินเทลนั้นคุยฟุ้งในงานว่า ชิปตระกูล "คอร์ โปรเซสเซอร์" เจเนอเรชัน 2 ปัจจุบันนั้นมีสถิติการจำหน่ายที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทล โดยจนถึงปัจจุบันอินเทลสามารถจำหน่ายโปรเซสเซอร์ไปแล้วกว่า 75 ล้านตัว จุดนี้อินเทลการันตีว่าชิปคอร์โปรเซสเซอร์ยุคหน้าที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตร จะให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีสมรรถนะที่ดีขึ้นทั้งในด้านประหยัดพลังงาน กราฟิกและมีเดีย คาดว่าจะพร้อมวางตลาดในอัลตร้าบุ๊กและพีซีช่วงปี 2012
ที่สำคัญ อินเทลและยักษ์ใหญ่บริษัทรักษาความปลอดภัยอย่างแมคอาฟี ยังประกาศความร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันป้องกันการโจรกรรมข้อมูลสำหรับอัลตร้าบุ๊ก กำหนดการจำหน่ายคือปี 2012 เชื่อว่าคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ในตัวเครื่องจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและใช้งานอัลตร้าบุ๊กอย่างสบายใจ
***ยกพลเทคโนฯใหม่
ต้องยอมรับว่างาน IDF 2011 ครั้งนี้เป็นเวทีเปิดตัวกองทัพเทคโนโลยีของอินเทลแบบเต็มพิกัด ทั้งการเปิดตัว 'Claremont' แนวคิดการทำงานชิปหน่วยประมวลผลใหม่จากสถาบันวิจัย Intel Labs, การเปิดตัวหน่วยความจำ SSD 710 สำหรับใช้งานในศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร รวมถึงการสาธิต 3 ต้นแบบพีซีอินเทลที่ใช้พอร์ตข้อมูลความเร็วสูงของแอปเปิลอย่าง Thunderbolt, พีซีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิปใหม่ Haswell รวมถึงแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield จากอินเทล
Claremont นั้นเป็นชื่อรหัสของแนวคิดชิปใหม่ Near Threshold Voltage Processor ของอินเทล แนวคิดนี้อิงจากทฤษฎีการใช้วงจรไฟฟ้าที่มีกำลังไฟต่ำพิเศษจนสามารถลดการใช้พลังงานได้แบบก้าวกระโดด อินเทลระบุว่ากำลังพัฒนาให้ Claremont ต้องการกำลังไฟต่ำกว่า 10 มิลลิวัตต์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานจากแผงเซลล์ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดเล็กเท่าสแตมป์ได้ ซึ่งหากทำได้จริง อินเทลจะนำแนวคิดนี้ไปใช้กับหลายผลิตภัณฑ์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการผลาญพลังไฟของอุปกรณ์ไอทีมากกว่าเกิน 5 เท่าตัว
สำหรับ SSD 710 นั้นถูกอินเทลตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า Lyndonville เป็นผลิตภัณฑ์หน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลองค์กรที่อินเทลเตรียมมาทำตลาดแทนรุ่น X25-E Extreme ตัว SSD 710 มาพร้อมหน่วยความจำแฟลชเทคโนโลยีการผลิต 25 นาโนเมตรทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ได้เร็วกว่าเดิม มีกำหนดวางตลาดในเดือนกันยายนนี้ในราคาเริ่มต้น 649 เหรียญ (สำหรับการสั่งซื้อรุ่น 100GB จำนวน 1,000 ชิ้นขึ้นไป)
1 ใน 3 พีซีที่อินเทลนำมาโชว์ตัวในงานนี้คือ พีซีที่มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูง Thunderbolt I/O ซึ่งอินเทลและแอปเปิลมีความร่วมมือในการพัฒนาด้วยกัน สมรรถนะหลักคือการช่วยให้อุปกรณ์บันทึกและจัดเก็บสื่อข้อมูลต่างๆ ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่าพอร์ต USB 2.0 ทั่วไป
จุดนี้ต้องยกความดีให้อินเทลในฐานะผู้ทำให้พอร์ต Thunderbolt I/O สามารถติดตั้งในคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่แมคอินทอชได้ ซึ่งแม้ในงาน Mooly Eden รองประธานและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจพีซีไคลเอนท์จะไม่ระบุว่าพีซีพร้อมพอร์ต Thunderbolt I/O จะวางตลาดได้เมื่อไร แต่ก็มีการยืนยันว่าผู้ผลิตอย่าง Acer และ ASUS จะพร้อมเปิดตลาดพีซี Thunderbolt I/O ได้ในปี 2012
อีกอุปกรณ์ต้นแบบที่เรียกเสียงฮือฮาในงานคือพีซีระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิป Haswell โดยอินเทลระบุว่า Haswell จะถูกพัฒนาบนเทคโนโลยีการผลิต 22 นาโนเมตรเช่นเดียวกับ Ivy Bridge แต่สามารถประหยัดพลังงานลงได้กว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับการออกแบบปกติ คาดว่าจะทำให้อัลตร้าบุ๊กสามารถเปิดการทำงานโหมดสแตนด์บายต่อเนื่องนาน 10 วันได้ภายในปี 2013
ยังมีแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield ของอินเทล ซึ่งอินเทลการันตีว่านับจากนี้ชิปอินเทลจะสามารถใช้งานได้ดีกับอุปกรณ์พกพาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รองรับแพลตฟอร์มการทำงานหลายรูปแบบ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดกำหนดการทำตลาดแต่อย่างใด
***ลุยอัลตร้าบุ๊กปีนี้
ผลิตภัณฑ์อัลตร้าบุ๊กรุ่นแรกซึ่งอินเทลเชื่อว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงวันหยุดปลายปี 2011 นี้จะเป็นรุ่นที่ใช้ชิปอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 2 โดยจะมีดีไซน์ของรูปทรงที่บางเบา พร้อมใช้เกือบจะทันทีหลังออกจากการพักเครื่องในระดับที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นผลจากคุณสมบัติของเทคโนโลยี Intel Rapid Start ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับชมภาพของผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของกราฟิกที่อยู่ในโปรเซสเซอร์
แต่อัลตร้าบุ๊กรุ่นถัดไปในปีหน้าจะใช้โปรเซสเซอร์ในตระกูลอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชัน 3 คือ Ivy Bridge ซึ่งมีสมรรถนะด้านประสิทธิภาพและการประหยัดไฟ ชิปเจเนอเรชันใหม่พร้อมอัลตร้าบุ๊กรุ่นหน้า คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ในครึ่งปีแรกของปี 2012
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคใช้อัลตร้าบุ๊กได้อย่างมั่นใจ อินเทลตัดสินใจเพิ่มคุณสมบัติพิเศษในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัย อาทิเช่น เทคโนโลยี Intel Identity Protection และ Intel Anti-Theft เพื่อป้องการการโจรกรรมข้อมูลจากเครื่อง และเพื่อเป็นการต่อยอดคุณสมบัติของระบบความปลอดภัยที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอินเทลประกาศร่วมมือกับแมคอาฟี พัฒนาบริการ McAfee anti-theft สำหรับอัลตร้าบุ๊ก ซึ่งสามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์รุ่นถัดไปของทั้งอัลตร้าบุ๊ก โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป
ในปี 2012 โซลูชันแมคอาฟีจะเป็นโซลูชันแรกที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆที่อยู่ในตัวชิปของอินเทล และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรักษาข้อมูลในตัวอุปกรณ์ให้กับผู้บริโภค เช่น การล็อคอุปกรณ์ การลบข้อมูล และ การค้นหาตำแหน่ง เป็นต้น
อินเทลย้ำว่าวิสัยทัศน์ของอัลตร้าบุ๊กนั้นเป็นแผนระยะยาว และเป็นความพยายามในระดับอุตสาหกรรมโดยแบ่งการพัฒนาออกเป็นสามระยะ
"ระยะที่หนึ่งเป็นการเปิดตัวอัลตร้าบุ๊กรุ่นแรก ซึ่งขณะนี้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้เป็นต้นไป ระยะที่สองจะเริ่มขึ้นด้วยการเปิดตัวของ อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 3 ภายในครึ่งแรกของปี 2012 ส่วนในระยะสุดท้ายนั้น จะเป็นการเปิดตัวชิป Haswell ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 22 นาโนเมตร เพื่อตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงจากการใช้คอมพิวเตอร์แบบเดิมมาสู่อัลตร้าบุ๊ก" ผู้บริหารอินเทล เปิดเผย
Company Related Link :
Intel
งานนี้อินเทลยังคงชู"อัลตร้าบุ๊ก"ในฐานะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางเฉียบที่มี"หน่วยประมวลผลที่สมบูรณ์แบบที่สุด" ขณะเดียวกันก็เปิดตัวโปรเซสเซอร์ “Haswell" ซึ่งการันตีว่ากินไฟต่ำกว่าชิปรุ่นอื่นของอินเทลกว่า 20 เท่าเมื่ออยู่ในโหมดสแตนด์บายพร้อมใช้งาน โดยชิปนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพื่อเปิดตัวในปี 2013
อินเทลนั้นคุยฟุ้งในงานว่า ชิปตระกูล "คอร์ โปรเซสเซอร์" เจเนอเรชัน 2 ปัจจุบันนั้นมีสถิติการจำหน่ายที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทล โดยจนถึงปัจจุบันอินเทลสามารถจำหน่ายโปรเซสเซอร์ไปแล้วกว่า 75 ล้านตัว จุดนี้อินเทลการันตีว่าชิปคอร์โปรเซสเซอร์ยุคหน้าที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตร จะให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีสมรรถนะที่ดีขึ้นทั้งในด้านประหยัดพลังงาน กราฟิกและมีเดีย คาดว่าจะพร้อมวางตลาดในอัลตร้าบุ๊กและพีซีช่วงปี 2012
ที่สำคัญ อินเทลและยักษ์ใหญ่บริษัทรักษาความปลอดภัยอย่างแมคอาฟี ยังประกาศความร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันป้องกันการโจรกรรมข้อมูลสำหรับอัลตร้าบุ๊ก กำหนดการจำหน่ายคือปี 2012 เชื่อว่าคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ในตัวเครื่องจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและใช้งานอัลตร้าบุ๊กอย่างสบายใจ
***ยกพลเทคโนฯใหม่
ต้องยอมรับว่างาน IDF 2011 ครั้งนี้เป็นเวทีเปิดตัวกองทัพเทคโนโลยีของอินเทลแบบเต็มพิกัด ทั้งการเปิดตัว 'Claremont' แนวคิดการทำงานชิปหน่วยประมวลผลใหม่จากสถาบันวิจัย Intel Labs, การเปิดตัวหน่วยความจำ SSD 710 สำหรับใช้งานในศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร รวมถึงการสาธิต 3 ต้นแบบพีซีอินเทลที่ใช้พอร์ตข้อมูลความเร็วสูงของแอปเปิลอย่าง Thunderbolt, พีซีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิปใหม่ Haswell รวมถึงแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield จากอินเทล
Claremont นั้นเป็นชื่อรหัสของแนวคิดชิปใหม่ Near Threshold Voltage Processor ของอินเทล แนวคิดนี้อิงจากทฤษฎีการใช้วงจรไฟฟ้าที่มีกำลังไฟต่ำพิเศษจนสามารถลดการใช้พลังงานได้แบบก้าวกระโดด อินเทลระบุว่ากำลังพัฒนาให้ Claremont ต้องการกำลังไฟต่ำกว่า 10 มิลลิวัตต์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานจากแผงเซลล์ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดเล็กเท่าสแตมป์ได้ ซึ่งหากทำได้จริง อินเทลจะนำแนวคิดนี้ไปใช้กับหลายผลิตภัณฑ์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการผลาญพลังไฟของอุปกรณ์ไอทีมากกว่าเกิน 5 เท่าตัว
สำหรับ SSD 710 นั้นถูกอินเทลตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า Lyndonville เป็นผลิตภัณฑ์หน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลองค์กรที่อินเทลเตรียมมาทำตลาดแทนรุ่น X25-E Extreme ตัว SSD 710 มาพร้อมหน่วยความจำแฟลชเทคโนโลยีการผลิต 25 นาโนเมตรทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ได้เร็วกว่าเดิม มีกำหนดวางตลาดในเดือนกันยายนนี้ในราคาเริ่มต้น 649 เหรียญ (สำหรับการสั่งซื้อรุ่น 100GB จำนวน 1,000 ชิ้นขึ้นไป)
1 ใน 3 พีซีที่อินเทลนำมาโชว์ตัวในงานนี้คือ พีซีที่มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูง Thunderbolt I/O ซึ่งอินเทลและแอปเปิลมีความร่วมมือในการพัฒนาด้วยกัน สมรรถนะหลักคือการช่วยให้อุปกรณ์บันทึกและจัดเก็บสื่อข้อมูลต่างๆ ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่าพอร์ต USB 2.0 ทั่วไป
จุดนี้ต้องยกความดีให้อินเทลในฐานะผู้ทำให้พอร์ต Thunderbolt I/O สามารถติดตั้งในคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่แมคอินทอชได้ ซึ่งแม้ในงาน Mooly Eden รองประธานและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจพีซีไคลเอนท์จะไม่ระบุว่าพีซีพร้อมพอร์ต Thunderbolt I/O จะวางตลาดได้เมื่อไร แต่ก็มีการยืนยันว่าผู้ผลิตอย่าง Acer และ ASUS จะพร้อมเปิดตลาดพีซี Thunderbolt I/O ได้ในปี 2012
อีกอุปกรณ์ต้นแบบที่เรียกเสียงฮือฮาในงานคือพีซีระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิป Haswell โดยอินเทลระบุว่า Haswell จะถูกพัฒนาบนเทคโนโลยีการผลิต 22 นาโนเมตรเช่นเดียวกับ Ivy Bridge แต่สามารถประหยัดพลังงานลงได้กว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับการออกแบบปกติ คาดว่าจะทำให้อัลตร้าบุ๊กสามารถเปิดการทำงานโหมดสแตนด์บายต่อเนื่องนาน 10 วันได้ภายในปี 2013
ยังมีแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield ของอินเทล ซึ่งอินเทลการันตีว่านับจากนี้ชิปอินเทลจะสามารถใช้งานได้ดีกับอุปกรณ์พกพาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รองรับแพลตฟอร์มการทำงานหลายรูปแบบ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดกำหนดการทำตลาดแต่อย่างใด
***ลุยอัลตร้าบุ๊กปีนี้
ผลิตภัณฑ์อัลตร้าบุ๊กรุ่นแรกซึ่งอินเทลเชื่อว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงวันหยุดปลายปี 2011 นี้จะเป็นรุ่นที่ใช้ชิปอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 2 โดยจะมีดีไซน์ของรูปทรงที่บางเบา พร้อมใช้เกือบจะทันทีหลังออกจากการพักเครื่องในระดับที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นผลจากคุณสมบัติของเทคโนโลยี Intel Rapid Start ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับชมภาพของผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของกราฟิกที่อยู่ในโปรเซสเซอร์
แต่อัลตร้าบุ๊กรุ่นถัดไปในปีหน้าจะใช้โปรเซสเซอร์ในตระกูลอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชัน 3 คือ Ivy Bridge ซึ่งมีสมรรถนะด้านประสิทธิภาพและการประหยัดไฟ ชิปเจเนอเรชันใหม่พร้อมอัลตร้าบุ๊กรุ่นหน้า คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ในครึ่งปีแรกของปี 2012
ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคใช้อัลตร้าบุ๊กได้อย่างมั่นใจ อินเทลตัดสินใจเพิ่มคุณสมบัติพิเศษในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัย อาทิเช่น เทคโนโลยี Intel Identity Protection และ Intel Anti-Theft เพื่อป้องการการโจรกรรมข้อมูลจากเครื่อง และเพื่อเป็นการต่อยอดคุณสมบัติของระบบความปลอดภัยที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอินเทลประกาศร่วมมือกับแมคอาฟี พัฒนาบริการ McAfee anti-theft สำหรับอัลตร้าบุ๊ก ซึ่งสามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์รุ่นถัดไปของทั้งอัลตร้าบุ๊ก โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป
ในปี 2012 โซลูชันแมคอาฟีจะเป็นโซลูชันแรกที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆที่อยู่ในตัวชิปของอินเทล และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรักษาข้อมูลในตัวอุปกรณ์ให้กับผู้บริโภค เช่น การล็อคอุปกรณ์ การลบข้อมูล และ การค้นหาตำแหน่ง เป็นต้น
อินเทลย้ำว่าวิสัยทัศน์ของอัลตร้าบุ๊กนั้นเป็นแผนระยะยาว และเป็นความพยายามในระดับอุตสาหกรรมโดยแบ่งการพัฒนาออกเป็นสามระยะ
"ระยะที่หนึ่งเป็นการเปิดตัวอัลตร้าบุ๊กรุ่นแรก ซึ่งขณะนี้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้เป็นต้นไป ระยะที่สองจะเริ่มขึ้นด้วยการเปิดตัวของ อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 3 ภายในครึ่งแรกของปี 2012 ส่วนในระยะสุดท้ายนั้น จะเป็นการเปิดตัวชิป Haswell ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 22 นาโนเมตร เพื่อตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงจากการใช้คอมพิวเตอร์แบบเดิมมาสู่อัลตร้าบุ๊ก" ผู้บริหารอินเทล เปิดเผย
Company Related Link :
Intel
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กันยายน 2554 00:39 น.
ไมโครซอฟท์ร่วมวงแอปเปิลคว่ำบาตร "Flash"
ดูเหมือนว่าอนาคตของรูปแบบไฟล์ภาพเคลื่อนไหวนามสกุลแฟลช (Flash) ในตลาดอุปกรณ์พกพานั้นมีความเสี่ยงถูกหรี่แสงลงเรื่อยๆ เพราะยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการระดับโลกทยอยไม่สนับสนุนแฟลชอย่างชัดเจน โดยไมโครซอฟท์ยอมรับว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่ล่าสุด "วินโดวส์ 8 (Windows 8)" เวอร์ชันมุมมอง Metro View สำหรับอุปกรณ์แท็บเล็ตหน้าจอทัชสกรีนนั้นจะไม่รองรับแฟลชและโปรแกรมลูกเล่นเสริม (plug-in) อื่นๆ ถือเป็นการเดินตามรอยคู่แข่งอย่างแอปเปิลซึ่งตั้งใจคว่ำบาตรให้อุปกรณ์พกพาทั้งไอโฟน ไอแพด และไอพ็อดทัชไม่รองรับแฟลชมาตลอด
Dean Hachamovitch หัวหน้าทีมพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ไออี (Internet Explorer) ประกาศชัดเจนว่า Windows 8 เวอร์ชันมุมมอง Metro View จะรองรับมาตรฐานเว็บไซต์ HTML5 เท่านั้น โดยหากมีการเปิดเว็บไซต์ที่มีรูปแบบไฟล์เคลื่อนไหวอื่นอย่าง ActiveX ระบบปฎิบัติการจะส่งผู้ใช้ออกจากมุมมอง Metro ไปยังมุมมองคลาสสิกสไตล์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะดั้งเดิมแทน
Hachamovitch อธิบายเหตุผลในการพัฒนาเบราว์เซอร์ IE เวอร์ชันสำหรับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสที่ไม่รองรับแฟลชและโปรแกรมเสริมอื่นๆว่าต้องการยกระดับการยืดอายุแบตเตอรี่เครื่องและความปลอดภัย รวมถึงความเสถียรและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับแอปเปิลที่ไม่สนับสนุนแฟลชในสินค้าตระกูลพกพาของตัวเอง
“การทำให้เบราว์เซอร์เข้ากันได้กับเทคโนโลยี plug-in เดิมๆนั้นจะลดค่าประสบการณ์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนวินโดวส์ 8 หน้าโปรแกรมแบบ Metro ลง มากกว่าที่จะพัฒนาขึ้น” Hachamovitch ระบุในบล็อกของไมโครซอฟท์
แน่นอนว่าเรื่องนี้ บริษัทอโดบี (Adobe) ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีแฟลชนั้นออกมาปกป้องแฟลชในทันที โดยระบุว่าแม้อุปกรณ์พกพาของไมโครซอฟท์จะไม่รองรับแฟลช แต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กก็จะยังรอบรับแฟลชได้อยู่ดี เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้แฟลชสามารถอยู่ยงในสังเวียนมาตรฐานเว็บได้ต่อไป
“เราคาดว่าคอมพ์ตั้งโต๊ะระบบปฏิบัติการวินโดวส์จะได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกหลายปี ซึ่งคอมพ์เหล่านี้จะสนับสนุนแฟลชได้ ทั้งเกมออนไลน์และวิดีโอที่พัฒนาบนเทคโนโลยีแฟลช” ตามคำกล่าวของผู้บริหารอโดบีในรายงานของ Wired.com
นี่ถือเป็นอีกขวากหนามของเทคโนโลยีอโดบีในวงการอุปกรณ์พกพา ก่อนหน้านี้ แฟลชถูกแอปเปิลสั่งแบนแบบต่อเนื่องในระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาของแอปเปิล จนล่าสุด แอปเปิลตัดสินใจไม่สนับสนุนแฟลชทั้งในสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์พกพาอย่าง MacBook Air รุ่นปี 2010 ซึ่งทำให้คอมพ์พกพาหน้าจอ 11 นิ้วนี้มีแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมง
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลก็ยังพัฒนาให้แอนดรอยด์ (Android) สามารถรองรับแฟลชต่อเนื่องในปัจจุบัน (นับตั้งแต่เวอร์ชัน 2.2 หรือ Froyo) ทำให้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์หลากรุ่นในท้องตลาดสามารถแสดงผลแฟลชได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้จะทำได้ไม่ดีนักเพราะแฟลชนั้นต้องการทรัพยากรสูงในการทำงาน ทั้งหมดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ายังไม่ชัดเจนว่าแอนดรอยด์จะยังรองรับแฟลชต่อไปหรือไม่ เพราะแฟลชคือ 1 ในจุดขายที่สำคัญของแอนดรอยด์ ขณะเดียวกันแฟลชก็ทำให้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ไม่เร็วทันใจเหมือนแท็บเล็ตแบรนด์อื่น
นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการคิวเอ็นเอ็กซ์ (QNX) ในแท็บเล็ตตระกูลบีบีอย่างเพลย์บุ๊ก (BlackBerry PlayBook) ที่สามารถรองรับแฟลชได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งการทดลองโดย Wired.com พบว่าเกมและเว็บไซต์แฟลชนั้นสามารถทำงานบนเพลย์บุ๊กได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตแบรนด์อื่น
ข่าวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของ HTML5 ซึ่งกำลังมาแทนที่มาตรฐานภาพเคลื่อนไหวอย่าง Adobe Flash ปัจจุบันมาตรฐาน HTML5 ถูกใช้ในบริการวิดีโอสตรีมมิ่งเพื่อการดูวิดีโอออนไลน์แบบลื่นไหลบนไอแพด โดยการสำรวจประจำเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าวิดีโอบนเว็บไซต์ทั้วโลกกว่า 63% นั้นรองรับมาตรฐาน HTML5 ทั้งสิ้น สวนทางกับแฟลชซึ่งกำลังลดบทบาทลง
และแม้แฟลชจะลดบทบาทลง แต่อโดบีก็ไม่ได้ยอมลดบทบาทตาม โดยกำลังพัฒนาเครื่องมือแปลงไฟล์แฟลชให้รองรับมาตรฐาน HTML5 ในชื่อ Edge ซึ่งกำลังเปิดให้นักพัฒนาทดสอบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันยังมีแพลตฟอร์มการทำงานใหม่ Adobe AIR เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้ไฟล์แฟลชและเครื่องมืออื่นในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบสแตนอโลนเพื่อใช้ในอุปกรณ์พกพาด้วย
Company Related Links :
Adobe
Apple
Microsoft
Dean Hachamovitch หัวหน้าทีมพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ไออี (Internet Explorer) ประกาศชัดเจนว่า Windows 8 เวอร์ชันมุมมอง Metro View จะรองรับมาตรฐานเว็บไซต์ HTML5 เท่านั้น โดยหากมีการเปิดเว็บไซต์ที่มีรูปแบบไฟล์เคลื่อนไหวอื่นอย่าง ActiveX ระบบปฎิบัติการจะส่งผู้ใช้ออกจากมุมมอง Metro ไปยังมุมมองคลาสสิกสไตล์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะดั้งเดิมแทน
Hachamovitch อธิบายเหตุผลในการพัฒนาเบราว์เซอร์ IE เวอร์ชันสำหรับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสที่ไม่รองรับแฟลชและโปรแกรมเสริมอื่นๆว่าต้องการยกระดับการยืดอายุแบตเตอรี่เครื่องและความปลอดภัย รวมถึงความเสถียรและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับแอปเปิลที่ไม่สนับสนุนแฟลชในสินค้าตระกูลพกพาของตัวเอง
“การทำให้เบราว์เซอร์เข้ากันได้กับเทคโนโลยี plug-in เดิมๆนั้นจะลดค่าประสบการณ์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนวินโดวส์ 8 หน้าโปรแกรมแบบ Metro ลง มากกว่าที่จะพัฒนาขึ้น” Hachamovitch ระบุในบล็อกของไมโครซอฟท์
แน่นอนว่าเรื่องนี้ บริษัทอโดบี (Adobe) ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีแฟลชนั้นออกมาปกป้องแฟลชในทันที โดยระบุว่าแม้อุปกรณ์พกพาของไมโครซอฟท์จะไม่รองรับแฟลช แต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กก็จะยังรอบรับแฟลชได้อยู่ดี เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้แฟลชสามารถอยู่ยงในสังเวียนมาตรฐานเว็บได้ต่อไป
“เราคาดว่าคอมพ์ตั้งโต๊ะระบบปฏิบัติการวินโดวส์จะได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกหลายปี ซึ่งคอมพ์เหล่านี้จะสนับสนุนแฟลชได้ ทั้งเกมออนไลน์และวิดีโอที่พัฒนาบนเทคโนโลยีแฟลช” ตามคำกล่าวของผู้บริหารอโดบีในรายงานของ Wired.com
| |||
อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลก็ยังพัฒนาให้แอนดรอยด์ (Android) สามารถรองรับแฟลชต่อเนื่องในปัจจุบัน (นับตั้งแต่เวอร์ชัน 2.2 หรือ Froyo) ทำให้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์หลากรุ่นในท้องตลาดสามารถแสดงผลแฟลชได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้จะทำได้ไม่ดีนักเพราะแฟลชนั้นต้องการทรัพยากรสูงในการทำงาน ทั้งหมดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ายังไม่ชัดเจนว่าแอนดรอยด์จะยังรองรับแฟลชต่อไปหรือไม่ เพราะแฟลชคือ 1 ในจุดขายที่สำคัญของแอนดรอยด์ ขณะเดียวกันแฟลชก็ทำให้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ไม่เร็วทันใจเหมือนแท็บเล็ตแบรนด์อื่น
นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการคิวเอ็นเอ็กซ์ (QNX) ในแท็บเล็ตตระกูลบีบีอย่างเพลย์บุ๊ก (BlackBerry PlayBook) ที่สามารถรองรับแฟลชได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งการทดลองโดย Wired.com พบว่าเกมและเว็บไซต์แฟลชนั้นสามารถทำงานบนเพลย์บุ๊กได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตแบรนด์อื่น
ข่าวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของ HTML5 ซึ่งกำลังมาแทนที่มาตรฐานภาพเคลื่อนไหวอย่าง Adobe Flash ปัจจุบันมาตรฐาน HTML5 ถูกใช้ในบริการวิดีโอสตรีมมิ่งเพื่อการดูวิดีโอออนไลน์แบบลื่นไหลบนไอแพด โดยการสำรวจประจำเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าวิดีโอบนเว็บไซต์ทั้วโลกกว่า 63% นั้นรองรับมาตรฐาน HTML5 ทั้งสิ้น สวนทางกับแฟลชซึ่งกำลังลดบทบาทลง
และแม้แฟลชจะลดบทบาทลง แต่อโดบีก็ไม่ได้ยอมลดบทบาทตาม โดยกำลังพัฒนาเครื่องมือแปลงไฟล์แฟลชให้รองรับมาตรฐาน HTML5 ในชื่อ Edge ซึ่งกำลังเปิดให้นักพัฒนาทดสอบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันยังมีแพลตฟอร์มการทำงานใหม่ Adobe AIR เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้ไฟล์แฟลชและเครื่องมืออื่นในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบสแตนอโลนเพื่อใช้ในอุปกรณ์พกพาด้วย
Company Related Links :
Adobe
Apple
Microsoft
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2554 10:44 น.
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554
"กูเกิ้ล"เดินเครื่องบรอดแบนด์ 1 กิกะไบต์ต่อวินาที พลิกโฉมอนาคตโลกไซเบอร์
โลกไซเบอร์กำลังจะพลิกโฉมหน้า เมื่อกูเกิ้ล เริ่มเดินเครื่องทดสอบบริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่สุดในโลก 1 กิกะไบต์ต่อวินาที กลุ่มผู้โชคดีที่ได้ลิ้มรสชาติความรวดเร็วทันใจในการดาวน์โหลดข้อมูลก่อนใครเพื่อนคือประชากรในย่านซิลิกอน แวลเลย์ ถิ่นอุตสาหกรรมไอทีของโลก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และย่านมหา วิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันที่ผู้ก่อตั้งกูเกิ้ลเป็นศิษย์เก่า
ปกติอัตราความเร็วบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศจะอยู่ที่ 300 Mbps หรือเมกะไบต์ต่อวินาที ส่วนการอัพโหลดข้อมูลขึ้นไปจะใช้ความเร็ว 150 Mbps ขณะที่การดาวน์โหลดผ่านสายเคเบิล ความเร็วอยู่ที่ 13 Mbps เท่านั้น แต่จากความเร็วใหม่ล่าสุดของกูเกิ้ล การดาวน์โหลดตัวอย่างภาพยนตร์ความละเอียดสูงขนาด 95 เมกะไบต์ จะใช้เวลาเพียง 9 วินาที
บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่เป็นก้าวย่างสำคัญที่การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามบ้านเรือนจะเปลี่ยนจากเส้นลวดทองแดงและสายโทรศัพท์มาสู่เคเบิล ใยแก้วนำแสง เกิดขึ้นกับอาคารของมหาวิทยาลัยจำนวน 850 หลังและจะไม่คิดค่าบริการในปีแรก
มาร์ติน คาร์โนอี้ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ของสแตนฟอร์ดซึ่งปกติมักจะต้องส่งและรับไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ 20 MB หรือใหญ่กว่านั้นจากคอมพิวเตอร์ที่บ้าน กล่าวว่า "ที่ผ่านมาผมต้องคอยนานหลายนาทีในการส่งหรือรับไฟล์ผ่านเอทีแอนด์ที บรอดแบนด์ที่ใช้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่ต้องคอยอีกแล้ว"
ด้านอีริก ชมิดต์ ผู้บริหารของกูเกิ้ล กล่าวว่า สหรัฐจะต้องมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใช้อย่างทั่วถึง เพราะบรอดแบนด์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการจ้างงานใหม่และธุรกิจ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการสื่อสารว่าด้วยแผนการวางโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติมีเป้าหมายจะขยายการใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไปยังบ้านทุกหลังในสหรัฐ ให้บริการประชากร 100 ล้านคน ด้วยความเร็ว 100 Mbps ภายในปี 2563
ปกติอัตราความเร็วบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศจะอยู่ที่ 300 Mbps หรือเมกะไบต์ต่อวินาที ส่วนการอัพโหลดข้อมูลขึ้นไปจะใช้ความเร็ว 150 Mbps ขณะที่การดาวน์โหลดผ่านสายเคเบิล ความเร็วอยู่ที่ 13 Mbps เท่านั้น แต่จากความเร็วใหม่ล่าสุดของกูเกิ้ล การดาวน์โหลดตัวอย่างภาพยนตร์ความละเอียดสูงขนาด 95 เมกะไบต์ จะใช้เวลาเพียง 9 วินาที
บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่เป็นก้าวย่างสำคัญที่การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามบ้านเรือนจะเปลี่ยนจากเส้นลวดทองแดงและสายโทรศัพท์มาสู่เคเบิล ใยแก้วนำแสง เกิดขึ้นกับอาคารของมหาวิทยาลัยจำนวน 850 หลังและจะไม่คิดค่าบริการในปีแรก
มาร์ติน คาร์โนอี้ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ของสแตนฟอร์ดซึ่งปกติมักจะต้องส่งและรับไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ 20 MB หรือใหญ่กว่านั้นจากคอมพิวเตอร์ที่บ้าน กล่าวว่า "ที่ผ่านมาผมต้องคอยนานหลายนาทีในการส่งหรือรับไฟล์ผ่านเอทีแอนด์ที บรอดแบนด์ที่ใช้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่ต้องคอยอีกแล้ว"
ด้านอีริก ชมิดต์ ผู้บริหารของกูเกิ้ล กล่าวว่า สหรัฐจะต้องมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใช้อย่างทั่วถึง เพราะบรอดแบนด์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการจ้างงานใหม่และธุรกิจ
ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการสื่อสารว่าด้วยแผนการวางโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติมีเป้าหมายจะขยายการใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไปยังบ้านทุกหลังในสหรัฐ ให้บริการประชากร 100 ล้านคน ด้วยความเร็ว 100 Mbps ภายในปี 2563
วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554
แจ้งเกิดแอปฯ ดูหนังบนเฟซบุ๊ก 'ใหญ่ที่สุด'
เฟซบุ๊ก (Facebook) บริการเครือข่ายสังคมประกาศร่วมมือกับสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์มิราแม็กซ์ (Miramax) เปิดตัวแอปพลิเคชันเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กแบบจริงจัง พิเศษกว่าด้วยการเพิ่มจำนวนภาพยนตร์และอุปกรณ์ที่รองรับชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เช่าหนังบนเฟซบุ๊ก ประเดิมตลาดลุงแซม อังกฤษ และตุรกีบนราคาเรื่องละ 30 เฟซบุ๊กเครดิตหรือเทียบเท่าเงิน 90 บาท ก่อนจะขยายไปยังฝรั่งเศสและเยอรมนีในอนาคตอันใกล้
แอปพลิเคชันเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กมีชื่อว่า มิราแม็กซ์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Miramax eXperience) ได้รับการการันตีว่าเป็นบริการเช่าภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดบนเฟซบุ๊กในขณะนี้ เพราะการเปิดให้บริการภาพยนตร์จำนวน 20 เรื่องแก่ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ขณะที่ในอังกฤษและตุรกีเปิดให้เช่า 10 เรื่อง ถือเป็นสถิติจำนวนภาพยนตร์สูงที่สุด แถมมิราแม็กซ์ยังเพิ่มให้สาวกเฟซบุ๊กสามารถเพลิดเพลินกับหนังเรื่องโปรดได้บนไอแพด (iPad) และชุดอุปกรณ์กูเกิลทีวี (Google TV) ด้วย จากเดิมที่มักรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในบริการเป็นภาพยนตร์อมตะอย่าง Pulp Fiction, Good Will Hunting, Chicago และ Kill Bill เป็นต้น ผู้สนใจจะต้องเช่าภาพยนตร์ด้วยหน่วยเงินบนเฟซบุ๊กราคา 30 เฟซบุ๊กเครดิต (Facebook credit) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่า 3 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อสตรีมมิงภาพยนตร์มาชมในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน
การร่วมมือเปิดเช่าภาพยนตร์บนเครือข่ายสังคมที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของทั้งคู่ เพราะเฟซบุ๊กนั้นเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์โดยร่วมมือกับสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์รายอื่นมาก่อน ทั้ง Warner Bros. ที่เปิดให้ชาวเฟซบุ๊กเช่าภาพยนตร์มนุษย์ค้างคาว The Dark Knight ก่อนที่ Paramount และ Universal จะเปิดให้บริการเรื่อง The Big Lebowski ตามมา แต่มิราแม็กซ์ถือเป็นพันธมิตรที่เปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้
ขณะที่แม้มิราแม็กซ์จะเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์แบบสมัครสมาชิกกับ Amazon, Netflix, Hulu และ Apple มาก่อน แต่การร่วมมือกับเฟซบุ๊กในครั้งนี้ก็ถูกจับตามองอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากเฟซบุ๊กนั้นมีอัตราการใช้งานสูงมากในยุโรป สถิติล่าสุดคือผู้ใช้งานเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วน 65% ของประชากรยุโรปรวม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า เครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กจะเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจภาพยนตร์ดิจิตอลในอนาคต
ที่ต้องย้ำว่าในอนาคต เพราะปัจจุบันเฟซบุ๊กยังไม่สามารถติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ออนไลน์รายใหญ่ของโลกในขณะนี้ โดยช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัย IHS ระบุว่าร้านไอจูนส์ (iTunes) ร้านจำหน่ายคอนเทนต์ออนไลน์ของแอปเปิลนั้นเป็นแชมป์ที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในวงการเช่าภาพยนตร์ดิจิตอลของสหรัฐฯ ที่ 65.8% เพิ่มจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 64.9%
รองลงมาคือ ร้าน Playstation ของ Sony ซึ่งมีส่วนแบ่งลดลงเหลือ 16.2% จากที่มีอยู่ 18.5% ตามด้วย Vudu ในเครือวอล-มาร์ทซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 1% เป็น 5% ขณะที่บริการ Zune จากไมโครซอฟท์ซึ่งคอหนังสามารถดาวน์โหลดมาชมบนคอมพิวเตอร์และเครื่องเกม Xbox 360 นั้นมีส่วนแบ่ง 4.4% ลดลงจาก 8.2% อันดับ 5 คือ Amazon.com ที่ครองส่วนแบ่งได้ 4%
นักวิเคราะห์เชื่อว่า เฟซบุ๊กจะสามารถแทรกตัวเป็น 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ดิจิตอลได้ในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะเฟซบุ๊กนั้นมีดีกรีเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก สถิติเดือนกรกฎาคม 54 จากบริษัทวิจัย Comscore ระบุว่าชาวสหรัฐฯ เข้าใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 162 ล้านคนต่อเดือน นำหน้าบริการในธุรกิจเดียวกันอย่างทวิตเตอร์ที่มีผู้ใช้ 32.8 ล้านคน หรือบริการเครือข่ายสังคมสำหรับคนทำงานอย่าง LinkedIn ซึ่งมีผู้ใช้งาน 32.5 ล้านคน
Company Related Link:
Facebook
แอปพลิเคชันเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กมีชื่อว่า มิราแม็กซ์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Miramax eXperience) ได้รับการการันตีว่าเป็นบริการเช่าภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดบนเฟซบุ๊กในขณะนี้ เพราะการเปิดให้บริการภาพยนตร์จำนวน 20 เรื่องแก่ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ขณะที่ในอังกฤษและตุรกีเปิดให้เช่า 10 เรื่อง ถือเป็นสถิติจำนวนภาพยนตร์สูงที่สุด แถมมิราแม็กซ์ยังเพิ่มให้สาวกเฟซบุ๊กสามารถเพลิดเพลินกับหนังเรื่องโปรดได้บนไอแพด (iPad) และชุดอุปกรณ์กูเกิลทีวี (Google TV) ด้วย จากเดิมที่มักรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์เท่านั้น
ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในบริการเป็นภาพยนตร์อมตะอย่าง Pulp Fiction, Good Will Hunting, Chicago และ Kill Bill เป็นต้น ผู้สนใจจะต้องเช่าภาพยนตร์ด้วยหน่วยเงินบนเฟซบุ๊กราคา 30 เฟซบุ๊กเครดิต (Facebook credit) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่า 3 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อสตรีมมิงภาพยนตร์มาชมในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน
การร่วมมือเปิดเช่าภาพยนตร์บนเครือข่ายสังคมที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของทั้งคู่ เพราะเฟซบุ๊กนั้นเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์โดยร่วมมือกับสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์รายอื่นมาก่อน ทั้ง Warner Bros. ที่เปิดให้ชาวเฟซบุ๊กเช่าภาพยนตร์มนุษย์ค้างคาว The Dark Knight ก่อนที่ Paramount และ Universal จะเปิดให้บริการเรื่อง The Big Lebowski ตามมา แต่มิราแม็กซ์ถือเป็นพันธมิตรที่เปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้
ขณะที่แม้มิราแม็กซ์จะเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์แบบสมัครสมาชิกกับ Amazon, Netflix, Hulu และ Apple มาก่อน แต่การร่วมมือกับเฟซบุ๊กในครั้งนี้ก็ถูกจับตามองอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากเฟซบุ๊กนั้นมีอัตราการใช้งานสูงมากในยุโรป สถิติล่าสุดคือผู้ใช้งานเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วน 65% ของประชากรยุโรปรวม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า เครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กจะเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจภาพยนตร์ดิจิตอลในอนาคต
ที่ต้องย้ำว่าในอนาคต เพราะปัจจุบันเฟซบุ๊กยังไม่สามารถติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ออนไลน์รายใหญ่ของโลกในขณะนี้ โดยช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัย IHS ระบุว่าร้านไอจูนส์ (iTunes) ร้านจำหน่ายคอนเทนต์ออนไลน์ของแอปเปิลนั้นเป็นแชมป์ที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในวงการเช่าภาพยนตร์ดิจิตอลของสหรัฐฯ ที่ 65.8% เพิ่มจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 64.9%
รองลงมาคือ ร้าน Playstation ของ Sony ซึ่งมีส่วนแบ่งลดลงเหลือ 16.2% จากที่มีอยู่ 18.5% ตามด้วย Vudu ในเครือวอล-มาร์ทซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 1% เป็น 5% ขณะที่บริการ Zune จากไมโครซอฟท์ซึ่งคอหนังสามารถดาวน์โหลดมาชมบนคอมพิวเตอร์และเครื่องเกม Xbox 360 นั้นมีส่วนแบ่ง 4.4% ลดลงจาก 8.2% อันดับ 5 คือ Amazon.com ที่ครองส่วนแบ่งได้ 4%
นักวิเคราะห์เชื่อว่า เฟซบุ๊กจะสามารถแทรกตัวเป็น 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ดิจิตอลได้ในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะเฟซบุ๊กนั้นมีดีกรีเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก สถิติเดือนกรกฎาคม 54 จากบริษัทวิจัย Comscore ระบุว่าชาวสหรัฐฯ เข้าใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 162 ล้านคนต่อเดือน นำหน้าบริการในธุรกิจเดียวกันอย่างทวิตเตอร์ที่มีผู้ใช้ 32.8 ล้านคน หรือบริการเครือข่ายสังคมสำหรับคนทำงานอย่าง LinkedIn ซึ่งมีผู้ใช้งาน 32.5 ล้านคน
Company Related Link:
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 สิงหาคม 2554 10:23 น.
วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554
กูเกิลฮุบโมโตโรลา 1.25 หมื่นล.ดอลล์
กูเกิล (Google) ประกาศแผนฮุบกิจการผลิตและจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของโมโตโรลา (Motorola Mobility Holdings Inc) พร้อมเทเงินมูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.75 แสนล้านบาท) บนความหวังว่าจะสามารถเสริมเขี้ยวเล็บให้กับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์แอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิลได้
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงินมหาศาลที่ถูกเตรียมไว้สำหรับการซื้อโมโตโรลานั้นทำให้ดีลที่เกิดขึ้นเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์กูเกิล กูเกิลระบุว่าจะซื้อหุ้นโมโตโรลาในราคา 40 เหรียญต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าตลาดโมโตโรลาถึง 63% จากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้น New York Stock Exchange
ธุรกิจสมาร์ทโฟนของโมโตโรลาในชื่อบริษัท Motorola Mobility นั้นเน้นทำตลาดสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์หรือ T.V. set-top box เป็นหลัก การเข้าซื้อโมโตโรลาจะทำให้กูเกิลสามารถควบคุมการผลิตได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อุปกรณ์มือถือ ไม่ต่างจากแอปเปิล (Apple) ซึ่งสามารถสร้างสรรค์อุปกรณ์ทั้ง 2 ด้านจนสามารถครองตลาดสมาร์ทโฟนได้แล้วในขณะนี้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งแรงกดดันสำคัญที่ทำให้กูเกิลต้องการซื้อโมโตโรลา คือการที่กูเกิลเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือมาตรฐานเปิดอย่างแอนดรอยด์ (Android) แต่ไม่สามารถครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ จนทำให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มีความเสี่ยงถูกฟ้องจากผู้ผลิตรายอื่นซึ่งสามารถรวมตัวกันซื้อสิทธิบัตรเทคโนโลยีมากมายจากบริษัทนอร์เทล (Nortel) ได้เมื่อเดือนที่ผ่านมา
อีกจุดที่น่าสนใจคือ การฮุบโมโตโรลาของกูเกิลครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นชัยชนะของคาร์ล ไอคาห์น (Carl Icahn) นักลงทุนชื่อก้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ใหญ่ที่สุดของโมโตโรลา (ราว 11.36%) ด้วย
กูเกิลวางกรอบเวลาไว้ให้กระบวนการซื้อโมโตโรลาครั้งนี้แล้วเสร็จภายในปี 2011 หรือต้นปี 2012 โดยกูเกิลจะวางจุดยืนให้ Motorola Mobility เป็นธุรกิจที่แยกต่างหากจากกูเกิล
Company Related Link :
Google
Motorola Mobility
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงินมหาศาลที่ถูกเตรียมไว้สำหรับการซื้อโมโตโรลานั้นทำให้ดีลที่เกิดขึ้นเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์กูเกิล กูเกิลระบุว่าจะซื้อหุ้นโมโตโรลาในราคา 40 เหรียญต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าตลาดโมโตโรลาถึง 63% จากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้น New York Stock Exchange
ธุรกิจสมาร์ทโฟนของโมโตโรลาในชื่อบริษัท Motorola Mobility นั้นเน้นทำตลาดสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์หรือ T.V. set-top box เป็นหลัก การเข้าซื้อโมโตโรลาจะทำให้กูเกิลสามารถควบคุมการผลิตได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อุปกรณ์มือถือ ไม่ต่างจากแอปเปิล (Apple) ซึ่งสามารถสร้างสรรค์อุปกรณ์ทั้ง 2 ด้านจนสามารถครองตลาดสมาร์ทโฟนได้แล้วในขณะนี้
นอกจากนี้ อีกหนึ่งแรงกดดันสำคัญที่ทำให้กูเกิลต้องการซื้อโมโตโรลา คือการที่กูเกิลเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือมาตรฐานเปิดอย่างแอนดรอยด์ (Android) แต่ไม่สามารถครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ จนทำให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มีความเสี่ยงถูกฟ้องจากผู้ผลิตรายอื่นซึ่งสามารถรวมตัวกันซื้อสิทธิบัตรเทคโนโลยีมากมายจากบริษัทนอร์เทล (Nortel) ได้เมื่อเดือนที่ผ่านมา
อีกจุดที่น่าสนใจคือ การฮุบโมโตโรลาของกูเกิลครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นชัยชนะของคาร์ล ไอคาห์น (Carl Icahn) นักลงทุนชื่อก้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ใหญ่ที่สุดของโมโตโรลา (ราว 11.36%) ด้วย
กูเกิลวางกรอบเวลาไว้ให้กระบวนการซื้อโมโตโรลาครั้งนี้แล้วเสร็จภายในปี 2011 หรือต้นปี 2012 โดยกูเกิลจะวางจุดยืนให้ Motorola Mobility เป็นธุรกิจที่แยกต่างหากจากกูเกิล
Company Related Link :
Motorola Mobility
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2554 20:36 น.
วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554
กลุ่ม Anonymous เตรียมถล่ม Facebook 5 พ.ย. นี้
กลายเป็นเรื่องฮือฮาเมื่อมีวิดีโอนิรนามปรากฎบนเว็บไซต์ยูทูบ ระบุว่ากลุ่มแฮกเกอร์ Anonymous มีแผนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของเครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊กในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยนอกจากยูทูบ แผนถล่มเฟซบุ๊กยังถูกประกาศไว้บนทวิตเตอร์ซึ่งระบุว่าแผนการโจมตีครั้งนี้มีชื่อเรียกว่าปฏิบัติการเฟซบุ๊กหรือ "Operation Facebook"
แน่นอนว่าวิดีโอดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและเรื่องลวง ซึ่งไม่มีข้อมูลใดๆยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเจตนารมณ์แท้จริงของกลุ่มนักแฮก Anonymous
หากปฏิบัติการ Operation Facebook เป็นเรื่องจริง โลกจะต้องบันทึกว่ากลุ่ม Anonymous นั้นกำลังเพิ่มบทบาทของตัวเองไปอีกขั้นหลังจากร่วมมือกับกลุ่มนักแฮก LulzSec ในการถล่มระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานกฎหมายระดับประเทศภายใต้ชื่อโครงการ Antisec เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ล่าสุด ปฏิบัติการ Operation Facebook ถูกระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโครงการ Antisec เนื่องจากเป็นคนละสาเหตุกัน
เนื้อความในวิดีโอปริศนาระบุว่า เหตุที่ทำให้กลุ่ม Anonymous พุ่งเป้าโจมตีที่ Facebook เป็นเพราะกลุ่มพบว่าเฟซบุ๊กนั้นขายความลับของผู้ใช้ให้กับสำนักงานรัฐบาล พร้อมกับเปิดทางให้สำนักงานเหล่านี้สอดแนมผู้ใช้ได้ทุกคนทั่วโลก เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคน กลุ่มจึงต้องการกำจัดเฟซบุ๊กทิ้งไปแทนที่จะปล่อยให้ชาวออนไลน์ต้องเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
เนื้อความระบุว่า เฟซบุ๊กเป็นระบบเครือข่ายสังคมที่รู้เรื่องราวส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่าที่คนในครอบครัวรู้ โดยในจดหมายแถลงการณ์ปริศนานั้นมีการแสดงลิงก์ของสำนักงาน ACLU ที่ประเมินว่าเฟซบุ๊กนั้นไม่มีการรักษาความเป็นส่วนตัวที่เพียงพอ รวมถึงนานาเสียงวิจารณ์ต่อกรณีที่เฟซบุ๊กดักจับข้อมูลในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับวันที่ 5 พฤศจิกายนนั้นถือเป็นวัน Guy Fawkes Day วันที่ชาวอังกฤษจะเฉลิมฉลองให้กับความล้มเหลวที่ Guy Fawkes พยายามจะเผารัฐสภาแดนผู้ดีเมื่อปี 1650 ซึ่งกลายเป็นพล็อตเรื่องนิยายกราฟฟิคของ Alan Moore อย่าง V for Vendetta ที่อุดมด้วยเรื่องราวเน้นสาระการเมืองและความแค้นที่ฝังลึกมานาน ตัวเอกของเรื่องหวังต่อต้านอำนาจรัฐ และโค่นล้มรัฐบาลฉ้อฉลเผด็จการเพื่อปลดปล่อยประเทศอังกฤษให้เป็นอิสระ
ที่ผ่านมา หน้ากาก Guy Fawkes ที่ตัวเอกของเรื่อง V for Vendetta ใส่เวลาปฏิบัติภารกิจนั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม Anonymous มาตลอด ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ้นจริงตามเนื้อหาในวิดีโอ โดยวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ไว้บนยูทูบตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา
****
ข้อความต้นฉบับจากวิดีโอข่มขู่เฟซบุ๊ก ขอบคุณข้อมูลจาก pcmag.com :
Attention citizens of the world,
We wish to get your attention, hoping you heed the warnings as follows:
Your medium of communication you all so dearly adore will be destroyed. If you are a willing hacktivist or a guy who just wants to protect the freedom of information then join the cause and kill facebook for the sake of your own privacy.
Facebook has been selling information to government agencies and giving clandestine access to information security firms so that they can spy on people from all around the world. Some of these so-called whitehat infosec firms are working for authoritarian governments, such as those of Egypt and Syria.
Everything you do on Facebook stays on Facebook regardless of your "privacy" settings, and deleting your account is impossible, even if you "delete" your account, all your personal info stays on Facebook and can be recovered at any time. Changing the privacy settings to make your Facebook account more "private" is also a delusion. Facebook knows more about you than your family.
http://www.physorg.com/news170614271.html
http://itgrunts.com/2010/10/07/facebook-steals-numbers-and-data-from-your-iphone/
You cannot hide from the reality in which you, the people of the internet, live in. Facebook is the opposite of the Antisec cause. You are not safe from them nor from any government. One day you will look back on this and realise what we have done here is right, you will thank the rulers of the internet, we are not harming you but saving you.
The riots are underway. It is not a battle over the future of privacy and publicity. It is a battle for choice and informed consent. It's unfolding because people are being raped, tickled, molested, and confused into doing things where they don't understand the consequences. Facebook keeps saying that it gives users choices, but that is completely false. It gives users the illusion of and hides the details away from them "for their own good" while they then make millions off of you. When a service is "free," it really means they're making money off of you and your information.
Think for a while and prepare for a day that will go down in history. November 5 2011, #opfacebook . Engaged.
This is our world now. We exist without nationality, without religious bias. We have the right to not be surveilled, not be stalked, and not be used for profit. We have the right to not live as slaves.
We are anonymous
We are legion
We do not forgive
We do not forget
Expect us
แน่นอนว่าวิดีโอดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและเรื่องลวง ซึ่งไม่มีข้อมูลใดๆยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเจตนารมณ์แท้จริงของกลุ่มนักแฮก Anonymous
หากปฏิบัติการ Operation Facebook เป็นเรื่องจริง โลกจะต้องบันทึกว่ากลุ่ม Anonymous นั้นกำลังเพิ่มบทบาทของตัวเองไปอีกขั้นหลังจากร่วมมือกับกลุ่มนักแฮก LulzSec ในการถล่มระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานกฎหมายระดับประเทศภายใต้ชื่อโครงการ Antisec เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ล่าสุด ปฏิบัติการ Operation Facebook ถูกระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโครงการ Antisec เนื่องจากเป็นคนละสาเหตุกัน
เนื้อความในวิดีโอปริศนาระบุว่า เหตุที่ทำให้กลุ่ม Anonymous พุ่งเป้าโจมตีที่ Facebook เป็นเพราะกลุ่มพบว่าเฟซบุ๊กนั้นขายความลับของผู้ใช้ให้กับสำนักงานรัฐบาล พร้อมกับเปิดทางให้สำนักงานเหล่านี้สอดแนมผู้ใช้ได้ทุกคนทั่วโลก เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคน กลุ่มจึงต้องการกำจัดเฟซบุ๊กทิ้งไปแทนที่จะปล่อยให้ชาวออนไลน์ต้องเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว
เนื้อความระบุว่า เฟซบุ๊กเป็นระบบเครือข่ายสังคมที่รู้เรื่องราวส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่าที่คนในครอบครัวรู้ โดยในจดหมายแถลงการณ์ปริศนานั้นมีการแสดงลิงก์ของสำนักงาน ACLU ที่ประเมินว่าเฟซบุ๊กนั้นไม่มีการรักษาความเป็นส่วนตัวที่เพียงพอ รวมถึงนานาเสียงวิจารณ์ต่อกรณีที่เฟซบุ๊กดักจับข้อมูลในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต
สำหรับวันที่ 5 พฤศจิกายนนั้นถือเป็นวัน Guy Fawkes Day วันที่ชาวอังกฤษจะเฉลิมฉลองให้กับความล้มเหลวที่ Guy Fawkes พยายามจะเผารัฐสภาแดนผู้ดีเมื่อปี 1650 ซึ่งกลายเป็นพล็อตเรื่องนิยายกราฟฟิคของ Alan Moore อย่าง V for Vendetta ที่อุดมด้วยเรื่องราวเน้นสาระการเมืองและความแค้นที่ฝังลึกมานาน ตัวเอกของเรื่องหวังต่อต้านอำนาจรัฐ และโค่นล้มรัฐบาลฉ้อฉลเผด็จการเพื่อปลดปล่อยประเทศอังกฤษให้เป็นอิสระ
ที่ผ่านมา หน้ากาก Guy Fawkes ที่ตัวเอกของเรื่อง V for Vendetta ใส่เวลาปฏิบัติภารกิจนั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม Anonymous มาตลอด ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ้นจริงตามเนื้อหาในวิดีโอ โดยวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ไว้บนยูทูบตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา
****
ข้อความต้นฉบับจากวิดีโอข่มขู่เฟซบุ๊ก ขอบคุณข้อมูลจาก pcmag.com :
Attention citizens of the world,
We wish to get your attention, hoping you heed the warnings as follows:
Your medium of communication you all so dearly adore will be destroyed. If you are a willing hacktivist or a guy who just wants to protect the freedom of information then join the cause and kill facebook for the sake of your own privacy.
Facebook has been selling information to government agencies and giving clandestine access to information security firms so that they can spy on people from all around the world. Some of these so-called whitehat infosec firms are working for authoritarian governments, such as those of Egypt and Syria.
Everything you do on Facebook stays on Facebook regardless of your "privacy" settings, and deleting your account is impossible, even if you "delete" your account, all your personal info stays on Facebook and can be recovered at any time. Changing the privacy settings to make your Facebook account more "private" is also a delusion. Facebook knows more about you than your family.
http://www.physorg.com/news170614271.html
http://itgrunts.com/2010/10/07/facebook-steals-numbers-and-data-from-your-iphone/
You cannot hide from the reality in which you, the people of the internet, live in. Facebook is the opposite of the Antisec cause. You are not safe from them nor from any government. One day you will look back on this and realise what we have done here is right, you will thank the rulers of the internet, we are not harming you but saving you.
The riots are underway. It is not a battle over the future of privacy and publicity. It is a battle for choice and informed consent. It's unfolding because people are being raped, tickled, molested, and confused into doing things where they don't understand the consequences. Facebook keeps saying that it gives users choices, but that is completely false. It gives users the illusion of and hides the details away from them "for their own good" while they then make millions off of you. When a service is "free," it really means they're making money off of you and your information.
Think for a while and prepare for a day that will go down in history. November 5 2011, #opfacebook . Engaged.
This is our world now. We exist without nationality, without religious bias. We have the right to not be surveilled, not be stalked, and not be used for profit. We have the right to not live as slaves.
We are anonymous
We are legion
We do not forgive
We do not forget
Expect us
วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554
โอละพ่อ ผลทดสอบ "ผู้ใช้ IE ไอคิวต่ำ" โกหกทั้งเพ
กลายเป็นเรื่องกุขึ้นเองสำหรับผลการศึกษาที่พบว่า ผู้ใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer : IE) มีระดับสติปัญญาหรือ IQ ที่ต่ำกว่าผู้ใช้เบราว์เซอร์ยี่ห้ออื่น โดยผู้ปล่อยข่าวลวงโลกรับสารภาพว่าไม่มีการสำรวจใดๆและบริษัทวิจัย Aptiquant ก็ไม่มีตัวตนจริง ระบุไม่ตั้งใจดูถูกหรือทำร้ายใคร แต่ต้องการสร้างความตื่นตัวเรื่องความเข้ากันไม่ได้ของเบราว์เซอร์ IE6 เท่านั้น
ในเว็บไซต์ Aptiquant.com บริษัทปลอมซึ่งถูกอุปโลกน์ชื่อว่าเป็นผู้สำรวจระดับ IQ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตามเบราว์เซอร์ มีการโพสต์ข้อความสารภาพว่าได้เพิ่งเริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นเมื่อกรกฎาคมปี 2011 ส่วนบริษัท AptiQuant นั้นไม่มีตัวตนจริง การสำรวจที่บริษัทอ้างมานั้นไม่เคยเกิดขึ้น และทั้งหมดถูกสร้างเพื่อให้เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
การสารภาพบนบล็อกของ Aptiquant นั้นมีการระบุว่าถูกสร้างโดยเว็บไซต์ AtCheap.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าที่มีชื่อ Tarandeep Gill ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อของเว็บไซต์แห่งนี้ โดย Gill ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลวงโลก ตามที่สำนักข่าว BBC พบความไม่ชอบมาพากลของบริษัทชื่อแปลกแห่งนี้
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ภาพพนักงานของเว็บไซต์แห่งนี้เป็นภาพที่ก็อปปี้มาจากเว็บไซต์อื่น โดยภาพต้นฉบับนั้นปรากฎในเว็บไซต์บริษัทวิจัยสัญชาติฝรั่งเศสนาม Central Test แต่มีการเปลี่ยนชื่อไป ซึ่ง Patrick Leguide ผู้ก่อตั้งบริษัท Central Test ระบุว่าไม่ทราบเรื่องมาก่อนจนกระทั่งได้รับคำถามจากผู้สื่อข่าว โดยใน aptiquant.com ระบุชัดจนว่าบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับ Central Test
ก่อนหน้านี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า โดเมนเนมของบริษัท AptiQuant นั้นเพิ่งถูกจดช่วงเดือน ก.ค. 2011 ถือว่าเร็วเกินไปหากบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ ซึ่งทั้งหมดบีบให้ Gill ออกมายอมรับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องลวงที่หวังให้เป็นเรื่องตลกเท่านั้น
Gill ยังระบุด้วยว่า การใช้คำประเภท IQ ต่ำกว่า/ฉลาดน้อยกว่า นั้นไม่ได้มาจากเจตนาเพื่อจะดูถูกใคร แต่คำลักษณะนี้สามารถสร้างความสนใจกับสื่อมวลชนได้ดีกว่า โดยเหตุผลที่ทำให้เขาจงใจสร้างข่าวนี้คือความเข้ากันไม่ได้ของ IE6 นั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางนวัตกรรมใหม่บนโลกเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ข่าวนี้เน้นโจมตี IE มากเหลือเกิน
Company Related Link :
Aptiquant
ในเว็บไซต์ Aptiquant.com บริษัทปลอมซึ่งถูกอุปโลกน์ชื่อว่าเป็นผู้สำรวจระดับ IQ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตามเบราว์เซอร์ มีการโพสต์ข้อความสารภาพว่าได้เพิ่งเริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นเมื่อกรกฎาคมปี 2011 ส่วนบริษัท AptiQuant นั้นไม่มีตัวตนจริง การสำรวจที่บริษัทอ้างมานั้นไม่เคยเกิดขึ้น และทั้งหมดถูกสร้างเพื่อให้เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น
การสารภาพบนบล็อกของ Aptiquant นั้นมีการระบุว่าถูกสร้างโดยเว็บไซต์ AtCheap.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าที่มีชื่อ Tarandeep Gill ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อของเว็บไซต์แห่งนี้ โดย Gill ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลวงโลก ตามที่สำนักข่าว BBC พบความไม่ชอบมาพากลของบริษัทชื่อแปลกแห่งนี้
สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ภาพพนักงานของเว็บไซต์แห่งนี้เป็นภาพที่ก็อปปี้มาจากเว็บไซต์อื่น โดยภาพต้นฉบับนั้นปรากฎในเว็บไซต์บริษัทวิจัยสัญชาติฝรั่งเศสนาม Central Test แต่มีการเปลี่ยนชื่อไป ซึ่ง Patrick Leguide ผู้ก่อตั้งบริษัท Central Test ระบุว่าไม่ทราบเรื่องมาก่อนจนกระทั่งได้รับคำถามจากผู้สื่อข่าว โดยใน aptiquant.com ระบุชัดจนว่าบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับ Central Test
ก่อนหน้านี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า โดเมนเนมของบริษัท AptiQuant นั้นเพิ่งถูกจดช่วงเดือน ก.ค. 2011 ถือว่าเร็วเกินไปหากบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ ซึ่งทั้งหมดบีบให้ Gill ออกมายอมรับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องลวงที่หวังให้เป็นเรื่องตลกเท่านั้น
Gill ยังระบุด้วยว่า การใช้คำประเภท IQ ต่ำกว่า/ฉลาดน้อยกว่า นั้นไม่ได้มาจากเจตนาเพื่อจะดูถูกใคร แต่คำลักษณะนี้สามารถสร้างความสนใจกับสื่อมวลชนได้ดีกว่า โดยเหตุผลที่ทำให้เขาจงใจสร้างข่าวนี้คือความเข้ากันไม่ได้ของ IE6 นั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางนวัตกรรมใหม่บนโลกเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ข่าวนี้เน้นโจมตี IE มากเหลือเกิน
Company Related Link :
Aptiquant
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2554 12:47 น.
วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
ฟีเจอร์ใหม่กูเกิล เตือนผู้ใช้ที่ติดไวรัส
กูเกิลเปิดมิติฟีเจอร์ใหม่แสนมีประโยชน์ โดยจะขึ้นข้อความเตือนว่าผู้ใช้มีโปรแกรมร้ายหรือมัลแวร์แฝงไวรัสอยู่ในเครื่อง ถือเป็นครั้งแรกที่กูเกิลตั้งใจใช้เสิร์ชเอนจิ้นของตัวเองในฐานะระบบเตือนภัยให้ผู้ใช้ หลังจากที่กูเกิลเคยออกมาประกาศเตือนภัยมัลแวร์แก่ผู้ใช้ในช่วงปี 2009
Damian Menscher วิศวกรด้านความปลอดภัยของกูเกิลอธิบายไว้ในเว็บล็กบริษัทว่า กูเกิลมักจะพบกับรูปแบบทราฟิกการค้นหาข้อมูลที่ผิดปกติซึ่งวิ่งมาที่เซิร์ฟเวอร์บริษัท ซึ่งเมื่อประสานกับวิศวกรด้านการรักษาความปลอดภัยของหลายบริษัทก็จะพบว่ามีมัลแวร์ร้ายแฝงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ กูเกิลจึงตัดสินใจประกาศข้อมูลเหล่านี้เพื่อเตือนผู้ใช้กูเกิล ที่มักไม่รู้ตัวว่าได้ติดไวรัสหรือมีมัลแวร์แฝงในเครื่อง เนื่องจากมัลแวร์ดังกล่าวไม่มีผลรบกวนการทำงานของเครื่อง แต่จะตรงไปรบกวนการทำงานของเว็บไซต์ต่างๆ แทน
การแจ้งเตือนของกูเกิลจะปรากฏเป็นข้อความอยู่ด้านบนของหน้าค้นหาข้อมูล Google.com ซึ่งหากผู้ใช้รายได้ได้เห็นข้อความดังกล่าว ก็ขอให้รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่นั้นมีปัญหา และควรสแกนหาไวรัสในเครื่องเพื่อกำจัดทิ้งไป ซึ่งผู้ใช้ควรอัปเดทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสให้ใหม่อยู่เสมอ
ความคืบหน้าล่าสุดของกูเกิลคือการออกแอปพลิเคชัน Google+ for iPhone โปรแกรมเครือข่ายสังคม Google+ บน iPhone โดยแอปพลิเคชัน Google+ for iPhone ปรากฏให้ชาวไอโฟนในสหรัฐฯ สามารถดาวน์โหลดบนแอปสโตร์ (App Store) ได้แล้ว รายงานระบุว่ารูปแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ของ Google+ for iPhone มีลักษณะเดียวกับแอปพลิเคชันสำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความแชตหรือ Huddle หากันได้
รายงานระบุว่า Google+ for iPhone มีข้อจำกัดที่การไม่สามารถรองรับหน้าจอใหญ่ของแท็บเล็ตได้ เท่ากับผู้ใช้ iPad จะยังต้องรอต่อไป
Company Related Link :
Google
Damian Menscher วิศวกรด้านความปลอดภัยของกูเกิลอธิบายไว้ในเว็บล็กบริษัทว่า กูเกิลมักจะพบกับรูปแบบทราฟิกการค้นหาข้อมูลที่ผิดปกติซึ่งวิ่งมาที่เซิร์ฟเวอร์บริษัท ซึ่งเมื่อประสานกับวิศวกรด้านการรักษาความปลอดภัยของหลายบริษัทก็จะพบว่ามีมัลแวร์ร้ายแฝงในเครื่องคอมพิวเตอร์ของผู้ใช้ กูเกิลจึงตัดสินใจประกาศข้อมูลเหล่านี้เพื่อเตือนผู้ใช้กูเกิล ที่มักไม่รู้ตัวว่าได้ติดไวรัสหรือมีมัลแวร์แฝงในเครื่อง เนื่องจากมัลแวร์ดังกล่าวไม่มีผลรบกวนการทำงานของเครื่อง แต่จะตรงไปรบกวนการทำงานของเว็บไซต์ต่างๆ แทน
การแจ้งเตือนของกูเกิลจะปรากฏเป็นข้อความอยู่ด้านบนของหน้าค้นหาข้อมูล Google.com ซึ่งหากผู้ใช้รายได้ได้เห็นข้อความดังกล่าว ก็ขอให้รู้ว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ใช้งานอยู่นั้นมีปัญหา และควรสแกนหาไวรัสในเครื่องเพื่อกำจัดทิ้งไป ซึ่งผู้ใช้ควรอัปเดทซอฟต์แวร์แอนตี้ไวรัสให้ใหม่อยู่เสมอ
ความคืบหน้าล่าสุดของกูเกิลคือการออกแอปพลิเคชัน Google+ for iPhone โปรแกรมเครือข่ายสังคม Google+ บน iPhone โดยแอปพลิเคชัน Google+ for iPhone ปรากฏให้ชาวไอโฟนในสหรัฐฯ สามารถดาวน์โหลดบนแอปสโตร์ (App Store) ได้แล้ว รายงานระบุว่ารูปแบบส่วนติดต่อผู้ใช้ของ Google+ for iPhone มีลักษณะเดียวกับแอปพลิเคชันสำหรับระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ โดยผู้ใช้สามารถส่งข้อความแชตหรือ Huddle หากันได้
รายงานระบุว่า Google+ for iPhone มีข้อจำกัดที่การไม่สามารถรองรับหน้าจอใหญ่ของแท็บเล็ตได้ เท่ากับผู้ใช้ iPad จะยังต้องรอต่อไป
Company Related Link :
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 20 กรกฎาคม 2554 20:27 น.
วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
วิจัยพบ"กูเกิล"เปลี่ยนวิถีการจำของสมอง
นักวิจัยอเมริกันพบ เครื่องมือค้นหาข้อมูลออนไลน์หรือเสิร์ชเอนจิ้นอย่างกูเกิลและค่ายอื่นๆ มีผลทำให้กระบวนการจำข้อมูลของสมองมนุษย์เปลี่ยนแปลงไป โดยพบว่ามนุษย์จำข้อมูลน้อยลงแต่จะจำแหล่งที่สามารถค้นหาได้แทน เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่ากูเกิลทำให้มนุษย์"ปัญญาทึบ"ลงหรือไม่ เนื่องจากมนุษย์ยังสามารถจดจำเรื่องราวที่เกิดขึ้นจริงได้อย่างสมบูรณ์
ล่าสุด กูเกิลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 6,920 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่า 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี
***ไม่ได้แปลว่าสมองว่าง
การสำรวจผลกระทบของการใช้เสิร์ชเอนจิ้นต่อมนุษย์นี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Science บนหัวข้อ The Google Effect โดย Betsy Sparrow นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ย้ำว่าผลกระทบจากการใช้เสิร์ชเอนจิ้นตลอดเวลาของชาวออนไลน์นั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนสมองว่างเปล่าที่ไม่จดจำข้อมูลใดๆ แต่มนุษย์กำลังปรับตัวเพื่อจำแหล่งที่จะเข้าไปหาข้อมูลได้แม่นยำขึ้น ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง โดยการศึกษาพบด้วยว่ารูปแบบการจำของมนุษย์ถูกปรับให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่
การทดลองของ Sparrow พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งเลือกไม่จำข้อมูลหากรู้ว่าสามารถจะใช้เสิร์ชเอนจิ้นค้นหาข้อมูลได้อีกครั้งในอนาคต และเมื่อสุ่มถามกลุ่มตัวอย่างถึงสีธงชาติ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะหาวิธีเสิร์ชแทบจะในทันที แทนที่จะนึกจากความจำจากสิ่งที่ได้อ่านมา ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างสามารถจำชื่อโฟลเดอร์หรือกล่องเก็บไฟล์ได้ดีอย่างน่าแปลกใจ เป็นที่มาของข้อสรุปว่า สมองมนุษย์ในยุคดิจิตอลนั้นจดจำแหล่งที่เก็บข้อมูลได้ดีขึ้น
นักจิตวิทยาอเมริกันรายนี้เชื่อว่าการศึกษาเรื่องความจำของมนุษย์ในยุคดิจิตอลยังต้องดำเนินไปอีกหลายปี เนื่องจากเชื่อว่า ความจำของมนุษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีการสื่อสารตลอดเวลา
***กูเกิลกำไรพุ่ง
ยังไม่มีรายงานความเห็นจากกูเกิลต่อผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยล่าสุด กูเกิลได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาว่ามีกำไรสุทธิมูลค่า 2,510 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมาจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 1,840 ล้านเหรียญ ถือเป็นการยอกย้ำวัฒนธรรมการค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นแบบไม่มีหยุด
แม้กำไรและรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายของกูเกิลในไตรมาสที่ผ่านมานั้นมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 2,452 คน ซึ่งขยายตัวตามธุรกิจของกูเกิลที่ครอบคลุมตลาดอื่นนอกเหนือจากการเสิร์ช
ปัจจุบัน รายได้ในธุรกิจค้นหาข้อมูลและโฆษณาคิดเป็นสัดส่วน 66% ของรายได้รวมทั้งหมดของกูเกิล โดยคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้านี้ สำหรับบริการอื่นๆ กูเกิลระบุว่าบริการเครือข่ายสังคม Google+ มีผู้ใช้งานเกิน 10 ล้านบัญชี เว็บเบราว์เซอร์ Chrome มีผู้ใช้งานมากกว่า 160 ล้านคน ระบบปฏิบัติการ Android ในอุปกรณ์พกพาถูกเปิดใช้งานเพิ่มขึ้น 550,000 ครั้งต่อวัน ทำให้ขณะนี้มีอุปกรณ์ Android ที่เปิดใช้งานแล้วกว่า 135 ล้านเครื่อง ซึ่งล้วนส่งเสริมให้การค้นหาข้อมูลออนไลน์ทำได้บ่อยและง่ายขึ้นขณะเดินทาง
Company Related Link :
Google
ล่าสุด กูเกิลประกาศผลประกอบการไตรมาส 2 ว่ามีรายได้เพิ่มขึ้น 36% จากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนอยู่ที่ 6,920 ล้านเหรียญสหรัฐ สูงกว่า 6% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี
***ไม่ได้แปลว่าสมองว่าง
การสำรวจผลกระทบของการใช้เสิร์ชเอนจิ้นต่อมนุษย์นี้ถูกตีพิมพ์ในวารสารวิทยาศาสตร์ Science บนหัวข้อ The Google Effect โดย Betsy Sparrow นักจิตวิทยาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ย้ำว่าผลกระทบจากการใช้เสิร์ชเอนจิ้นตลอดเวลาของชาวออนไลน์นั้นไม่ได้ทำให้มนุษย์กลายเป็นคนสมองว่างเปล่าที่ไม่จดจำข้อมูลใดๆ แต่มนุษย์กำลังปรับตัวเพื่อจำแหล่งที่จะเข้าไปหาข้อมูลได้แม่นยำขึ้น ซึ่งถือเป็นความเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง โดยการศึกษาพบด้วยว่ารูปแบบการจำของมนุษย์ถูกปรับให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่
การทดลองของ Sparrow พบว่า กลุ่มตัวอย่างเกินครึ่งเลือกไม่จำข้อมูลหากรู้ว่าสามารถจะใช้เสิร์ชเอนจิ้นค้นหาข้อมูลได้อีกครั้งในอนาคต และเมื่อสุ่มถามกลุ่มตัวอย่างถึงสีธงชาติ คนส่วนใหญ่เลือกที่จะหาวิธีเสิร์ชแทบจะในทันที แทนที่จะนึกจากความจำจากสิ่งที่ได้อ่านมา ขณะเดียวกัน กลุ่มตัวอย่างสามารถจำชื่อโฟลเดอร์หรือกล่องเก็บไฟล์ได้ดีอย่างน่าแปลกใจ เป็นที่มาของข้อสรุปว่า สมองมนุษย์ในยุคดิจิตอลนั้นจดจำแหล่งที่เก็บข้อมูลได้ดีขึ้น
นักจิตวิทยาอเมริกันรายนี้เชื่อว่าการศึกษาเรื่องความจำของมนุษย์ในยุคดิจิตอลยังต้องดำเนินไปอีกหลายปี เนื่องจากเชื่อว่า ความจำของมนุษย์นั้นจะเปลี่ยนแปลงตามเทคโนโลยีการสื่อสารตลอดเวลา
***กูเกิลกำไรพุ่ง
ยังไม่มีรายงานความเห็นจากกูเกิลต่อผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย โดยล่าสุด กูเกิลได้ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมาว่ามีกำไรสุทธิมูลค่า 2,510 ล้านเหรียญ เพิ่มขึ้นมาจากไตรมาสเดียวกันในปีก่อนที่ทำได้ 1,840 ล้านเหรียญ ถือเป็นการยอกย้ำวัฒนธรรมการค้นหาข้อมูลออนไลน์ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นแบบไม่มีหยุด
แม้กำไรและรายได้จะเพิ่มขึ้น แต่ค่าใช้จ่ายของกูเกิลในไตรมาสที่ผ่านมานั้นมีมูลค่าสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยส่วนใหญ่เป็นผลจากการเพิ่มจำนวนพนักงานอีก 2,452 คน ซึ่งขยายตัวตามธุรกิจของกูเกิลที่ครอบคลุมตลาดอื่นนอกเหนือจากการเสิร์ช
ปัจจุบัน รายได้ในธุรกิจค้นหาข้อมูลและโฆษณาคิดเป็นสัดส่วน 66% ของรายได้รวมทั้งหมดของกูเกิล โดยคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้านี้ สำหรับบริการอื่นๆ กูเกิลระบุว่าบริการเครือข่ายสังคม Google+ มีผู้ใช้งานเกิน 10 ล้านบัญชี เว็บเบราว์เซอร์ Chrome มีผู้ใช้งานมากกว่า 160 ล้านคน ระบบปฏิบัติการ Android ในอุปกรณ์พกพาถูกเปิดใช้งานเพิ่มขึ้น 550,000 ครั้งต่อวัน ทำให้ขณะนี้มีอุปกรณ์ Android ที่เปิดใช้งานแล้วกว่า 135 ล้านเครื่อง ซึ่งล้วนส่งเสริมให้การค้นหาข้อมูลออนไลน์ทำได้บ่อยและง่ายขึ้นขณะเดินทาง
Company Related Link :
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 กรกฎาคม 2554 12:18 น.
วันศุกร์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2554
RIM แจกซีเคียวริตี้ BB ขั้นเทพฟรี
ริม เดินสายโปรโมทแอปฯรักษาความปลอดภัยขั้นเทพบน BB คุยเป็นครั้งแรกที่ผู้บริโภคทั่วไปสามารถสั่งตามหา ล็อกเครื่อง รวมถึงลบข้อมูลได้ด้วยตนเองผ่านเว็บไซต์
นายมาร์คุส คลิชช์ ที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยแบล็กเบอรี่ บริษัท รีเสิร์ช อินโมชัน (RIM) กล่าวว่า ความปลอดภัยข้อมูลบนสมาร์ทโฟนอย่างแบล็กเบอรี่นับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภคมีการใช้สมาร์ทโฟนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะบนสังคมออนไลน์ ส่งผลให้ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล กลายเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมา ขณะที่องค์กรธุรกิจให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มานานแล้ว
'เดิมระบบรักษาความปลอดภัยจะเป็นสิ่งสำคัญในการจำกัดการใช้งานแอปฯต่างๆ บนสมาร์ทโฟน แต่วันนี้แอปฯต่างมีบทบาทในการใช้งานมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการให้ความสำคัญระหว่างความปลอดภัยข้อมูลกับการใช้งานแอปฯต่างๆว่าจะต้องทำอย่างไร'
ริมจึงได้พัฒนาแอปฯ ด้านการรักษาความปลอดภัย 'BlackBerry Protect' ขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเริ่มที่อเมริกาเหนือก่อน ตามมาด้วยยุโรป และเอเชีย
'เป็นครั้งแรกที่ริมนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยชั้นสูงลงมาสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเดิมเป็นแอปฯที่ใช้งานในตลาดเอนเตอร์ไพรซ์มาก่อน'
BlackBerry Protect เป็นแอปฯ รักษาความปลอดภัยที่ช่วยในการสำรองข้อมูลจากเครื่อง BB เมื่อใดก็ได้ตามแต่ต้องการ สามารถกู้คืนการตั้งค่าต่างๆ ฐานข้อมูลและข้อมูลส่วนตัวได้ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซด์เพียงแค่ตั้งค่าต่างๆ บน BB โดยล็อกอินผ่านไอดี BB ที่กำหนดขึ้นโดยผู้ใช้เองโดยตรง สามารถค้นหาเครื่องในกรณีที่ลืมเครื่อง แม้กระทั่งเครื่องหายก็สามารถที่จะสั่งให้เครื่องล็อกการเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่อง แม้กระทั่งสั่งลบข้อมูลภายในเครื่องผ่านทางเว็บไซด์
'ในเบื้องต้น สำหรับผู้ใช้ BB รวมถึงเพลย์บุ๊กสามารถดาวน์โหลดผ่านแอปเวิล์ดมาใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในอนาคต ริมจะมีการติดตั้งแอปฯดังกล่าวมาพร้อมกับเครื่อง BB รุ่นใหม่ๆ ที่จะออกวางขายในตลาด'
นายมาร์คุส คลิชช์ ที่ปรึกษาด้านการรักษาความปลอดภัยแบล็กเบอรี่ บริษัท รีเสิร์ช อินโมชัน (RIM) กล่าวว่า ความปลอดภัยข้อมูลบนสมาร์ทโฟนอย่างแบล็กเบอรี่นับวันจะทวีความสำคัญมากขึ้น ปัจจุบันผู้บริโภคมีการใช้สมาร์ทโฟนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะบนสังคมออนไลน์ ส่งผลให้ระบบรักษาความปลอดภัยข้อมูล กลายเป็นประเด็นสำคัญขึ้นมา ขณะที่องค์กรธุรกิจให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มานานแล้ว
'เดิมระบบรักษาความปลอดภัยจะเป็นสิ่งสำคัญในการจำกัดการใช้งานแอปฯต่างๆ บนสมาร์ทโฟน แต่วันนี้แอปฯต่างมีบทบาทในการใช้งานมากขึ้น ทำให้เกิดปัญหาเรื่องการให้ความสำคัญระหว่างความปลอดภัยข้อมูลกับการใช้งานแอปฯต่างๆว่าจะต้องทำอย่างไร'
ริมจึงได้พัฒนาแอปฯ ด้านการรักษาความปลอดภัย 'BlackBerry Protect' ขึ้นเพื่อให้ผู้บริโภคดาวน์โหลดมาใช้งานได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย ซึ่งจะเริ่มที่อเมริกาเหนือก่อน ตามมาด้วยยุโรป และเอเชีย
'เป็นครั้งแรกที่ริมนำเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยชั้นสูงลงมาสู่ตลาดผู้บริโภคทั่วไป ซึ่งเดิมเป็นแอปฯที่ใช้งานในตลาดเอนเตอร์ไพรซ์มาก่อน'
BlackBerry Protect เป็นแอปฯ รักษาความปลอดภัยที่ช่วยในการสำรองข้อมูลจากเครื่อง BB เมื่อใดก็ได้ตามแต่ต้องการ สามารถกู้คืนการตั้งค่าต่างๆ ฐานข้อมูลและข้อมูลส่วนตัวได้ด้วยตนเองผ่านทางเว็บไซด์เพียงแค่ตั้งค่าต่างๆ บน BB โดยล็อกอินผ่านไอดี BB ที่กำหนดขึ้นโดยผู้ใช้เองโดยตรง สามารถค้นหาเครื่องในกรณีที่ลืมเครื่อง แม้กระทั่งเครื่องหายก็สามารถที่จะสั่งให้เครื่องล็อกการเข้าถึงข้อมูลภายในเครื่อง แม้กระทั่งสั่งลบข้อมูลภายในเครื่องผ่านทางเว็บไซด์
'ในเบื้องต้น สำหรับผู้ใช้ BB รวมถึงเพลย์บุ๊กสามารถดาวน์โหลดผ่านแอปเวิล์ดมาใช้ได้โดยไม่มีค่าใช้จ่าย แต่ในอนาคต ริมจะมีการติดตั้งแอปฯดังกล่าวมาพร้อมกับเครื่อง BB รุ่นใหม่ๆ ที่จะออกวางขายในตลาด'
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 30 มิถุนายน 2554 13:08 น.
วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554
'ฟูจิตสึ'ส่งซูเปอร์คอมพ์ ขึ้นอันดับ1ประมวลผลเร็วสุดในโลก
บริษัทฟูจิตสึ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์ชื่อดังประเทศญี่ปุ่น สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลเร็วที่สุดในโลกออกมาแล้วในชื่อ 'เค ซูเปอร์คอมพิวเตอร์' (K-Supercomputer) ถือเป็นอีกครั้งในรอบ 7 ปี นับตั้งแต่ปี 2547 ที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งสร้างโดยบริษัทแดนอาทิตย์อุทัยสามารถครองแชมป์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วสูงสุดในโลก โดยเค ทุบสถิติที่ความเร็ว 8 เพตาฟล็อปต่อวินาที ซึ่งก็คือการประมวลผลได้ถึง 8 พันล้านล้านคำสั่งใน 1 วินาที บนซีพียูมากกว่า 8 หมื่นตัว ทำให้เคกลายเป็นสุดยอดคอมพิวเตอร์อันดับ 1 ของโลก ในการจัดอันดับ 驌 ซูเปอร์คอมพิวเตอร์โลก' ทันที
สำหรับผลการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกทั้ง 500 ลำดับนั้น ครั้งล่าสุดเปิดเผยในงานประชุมที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิ.ย.ผ่านมา โดย 'เค ซูเปอร์คอมพิวเตอร์' สามารถคว่ำแชมป์เก่าอย่าง 'เทียนเหอ-1 เอ' (Tianhe-1A) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จากประเทศจีนที่ผลิตโดยศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติจีน ซึ่งเคยทำสถิติได้ 2.6 เพตาฟล็อปต่อวินาที ล่าสุดต้องตกมาอยู่อันดับสอง
ด้านเคล็ดลับความเร็วของเค ก็คือ ซีพียูทุกตัวที่ใช้เป็นชิพ 8 คอร์ประมวลผล ทำให้เคสามารถทำสถิติเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงที่สุดในโลกนั่นเอง ส่วนเครื่องจากญี่ปุ่นที่เคยทำสถิติไว้เมื่อปี 2547 คือเครื่อง 'เอิร์ธ ซิมูเลเตอร์' ซูเปอร์คอมพ์ของเอ็นอีซี
ส่วนเครื่องความเร็วอันดับสาม ได้แก่ เครื่องจากัวร์ (Jaguar) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐซึ่งเป็นฝีมือการพัฒนาโดยสถาบันวิจัยแห่งชาติโอ๊กริดจ์ ความเร็วที่บันทึกไว้คือ 1.75 เพตาฟล็อป อันดับที่ 4 คือ 'เนบิวเล' (Nebulae) ของศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติจีน ความเร็ว 1.27 เพตาฟล็อป และอันดับที่ 5 คือ 'สึบาเมะ 2.0' (Tsubame 2.0) ของสถาบันเทคโนโลยีโตเกียว ความเร็ว 1.19 เพตาฟล็อป
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความเร็วระดับเพตาฟล็อปหรือพันล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีนั้นถูกนำไปใช้ในงานที่ต้องการระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลสูงเป็นพิเศษ เช่น ในอุตสาหกรรมพลังงาน การพยากรณ์อากาศ เป็นต้น ขณะที่ประเทศที่มีการใช้งานซูเปอร์คอมพ์มากที่สุดในโลกคือสหรัฐอเมริกา รองลงมาคือจีน เยอรมนี อังกฤษ และญี่ปุ่น ตามลำดับ
สำหรับผลการจัดอันดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วโลกทั้ง 500 ลำดับนั้น ครั้งล่าสุดเปิดเผยในงานประชุมที่เมืองฮัมบูร์ก ประเทศเยอรมนี เมื่อวันจันทร์ที่ 20 มิ.ย.ผ่านมา โดย 'เค ซูเปอร์คอมพิวเตอร์' สามารถคว่ำแชมป์เก่าอย่าง 'เทียนเหอ-1 เอ' (Tianhe-1A) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์จากประเทศจีนที่ผลิตโดยศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติจีน ซึ่งเคยทำสถิติได้ 2.6 เพตาฟล็อปต่อวินาที ล่าสุดต้องตกมาอยู่อันดับสอง
ด้านเคล็ดลับความเร็วของเค ก็คือ ซีพียูทุกตัวที่ใช้เป็นชิพ 8 คอร์ประมวลผล ทำให้เคสามารถทำสถิติเป็นซูเปอร์คอมพิวเตอร์ที่มีความเร็วในการประมวลผลสูงที่สุดในโลกนั่นเอง ส่วนเครื่องจากญี่ปุ่นที่เคยทำสถิติไว้เมื่อปี 2547 คือเครื่อง 'เอิร์ธ ซิมูเลเตอร์' ซูเปอร์คอมพ์ของเอ็นอีซี
ส่วนเครื่องความเร็วอันดับสาม ได้แก่ เครื่องจากัวร์ (Jaguar) ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ของกระทรวงพลังงานสหรัฐซึ่งเป็นฝีมือการพัฒนาโดยสถาบันวิจัยแห่งชาติโอ๊กริดจ์ ความเร็วที่บันทึกไว้คือ 1.75 เพตาฟล็อป อันดับที่ 4 คือ 'เนบิวเล' (Nebulae) ของศูนย์ซูเปอร์คอมพิวเตอร์แห่งชาติจีน ความเร็ว 1.27 เพตาฟล็อป และอันดับที่ 5 คือ 'สึบาเมะ 2.0' (Tsubame 2.0) ของสถาบันเทคโนโลยีโตเกียว ความเร็ว 1.19 เพตาฟล็อป
ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ความเร็วระดับเพตาฟล็อปหรือพันล้านล้านคำสั่งต่อวินาทีนั้นถูกนำไปใช้ในงานที่ต้องการระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งมีความสามารถในการประมวลผลสูงเป็นพิเศษ เช่น ในอุตสาหกรรมพลังงาน การพยากรณ์อากาศ เป็นต้น ขณะที่ประเทศที่มีการใช้งานซูเปอร์คอมพ์มากที่สุดในโลกคือสหรัฐอเมริกา รองลงมาคือจีน เยอรมนี อังกฤษ และญี่ปุ่น ตามลำดับ
วันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554 ปีที่ 21 ฉบับที่ 7512 ข่าวสดรายวัน
วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554
AMD เปิดตัว 'ลาโน' บุกตลาดไทยมิ.ย.นี้
เอเอ็มดีเปิดตัวเอพียู เอ-ซีรี่ส์รหัส ลาโน นำเสนอภาพกราฟิกที่สว่างสดใส พร้อมประสิทธิภาพคล้ายกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ และ ใช้งานแบตเตอรีทนนานเป็นวัน
เอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ (ภายใต้รหัสการพัฒนา Llano) หน่วยเร่งการประมวลผล ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับผู้บริโภคกลุ่มหลักสำหรับโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อปพร้อมความสามารถในการแสดงผลกราฟิกระดับ HD และการประมวลผลในลักษณะเดียวกันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทั้งยังใช้งานแบตเตอรียาวนานถึงกว่า 10.5 ชั่วโมง
นายจักรกฤษณ์ วชิระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเอ็มดี กล่าวว่า เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ตอบสนองกระแสการใช้งานในปัจจุบัน และอนาคต ที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสำคัญกับการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง การแสดงผลภาพที่สดใส การเล่นเกมส์เลียนแบบชีวิตประจำวัน การเล่นวิดีโอโดยไม่มีความล่าช้า รวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานมัลติมีเดียระดับสูงสุด
ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ จึงผสานเอาคอร์ซีพียูตระกูล X86 สูงสุดถึง 4 คอร์ เข้ากับชิปกราฟิกระดับกลางที่มีความสามารถในการใช้งาน DirectX 11 จนถึงระดับกราฟิกชิปตระกูล Radeon 400 รวมทั้งประสิทธิภาพการประมวลผลภาพวิดีโอระดับ HD เข้าไว้ในชิปตัวเดียวกัน นอกจากนั้นเอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ยังพร้อมรับการสั่งการผ่านอินเตอร์เฟสสัญลักษณ์ (gestural interface) สนับสนุนการแสดงผลผ่านหลายหน้าจอ ความบันเทิงแบบ 3 มิติและการป้องกันภาพสั่นแบบเรียลไทม์
ทั้งนี้ ผู้บริโภคในไทยจะได้พบกับโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อป ที่ใช้หน่วยเร่งการประมวลผลตัวใหม่ เอพียู เอ-ซีรี่ส์ จากค่ายพีซีในสัปดาห์เดียวกับที่มีการเปิดตัวสู่ตลาดโลกที่สหรัฐฯในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้โดยเอเซอร์จะเป็นค่ายแรกที่เปิดตัวโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อป ที่ใช้หน่วยเร่งการประมวลผลตัวใหม่ เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ในกลางเดือนมิ.ย.นี้ ตามด้วยอัสซุส และเอชพี ที่จะวางจำหน่ายสินค้าในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ส่วนซัมซุง โตชิบา โซนี่ และเลอโนโว่ คาดว่าจะทำตลาดในช่วงเดือนก.ค.ปีนี้
Company Related Link :
AMD
เอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ (ภายใต้รหัสการพัฒนา Llano) หน่วยเร่งการประมวลผล ประสิทธิภาพสูงรุ่นใหม่ล่าสุดสำหรับผู้บริโภคกลุ่มหลักสำหรับโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อปพร้อมความสามารถในการแสดงผลกราฟิกระดับ HD และการประมวลผลในลักษณะเดียวกันกับซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ทั้งยังใช้งานแบตเตอรียาวนานถึงกว่า 10.5 ชั่วโมง
นายจักรกฤษณ์ วชิระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เอเอ็มดี กล่าวว่า เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ตอบสนองกระแสการใช้งานในปัจจุบัน และอนาคต ที่ผู้บริโภคกำลังให้ความสำคัญกับการทำงานแบบมัลติทาสกิ้ง การแสดงผลภาพที่สดใส การเล่นเกมส์เลียนแบบชีวิตประจำวัน การเล่นวิดีโอโดยไม่มีความล่าช้า รวมทั้งประสิทธิภาพการทำงานมัลติมีเดียระดับสูงสุด
ดังนั้นเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค เอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ จึงผสานเอาคอร์ซีพียูตระกูล X86 สูงสุดถึง 4 คอร์ เข้ากับชิปกราฟิกระดับกลางที่มีความสามารถในการใช้งาน DirectX 11 จนถึงระดับกราฟิกชิปตระกูล Radeon 400 รวมทั้งประสิทธิภาพการประมวลผลภาพวิดีโอระดับ HD เข้าไว้ในชิปตัวเดียวกัน นอกจากนั้นเอเอ็มดี เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ยังพร้อมรับการสั่งการผ่านอินเตอร์เฟสสัญลักษณ์ (gestural interface) สนับสนุนการแสดงผลผ่านหลายหน้าจอ ความบันเทิงแบบ 3 มิติและการป้องกันภาพสั่นแบบเรียลไทม์
ทั้งนี้ ผู้บริโภคในไทยจะได้พบกับโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อป ที่ใช้หน่วยเร่งการประมวลผลตัวใหม่ เอพียู เอ-ซีรี่ส์ จากค่ายพีซีในสัปดาห์เดียวกับที่มีการเปิดตัวสู่ตลาดโลกที่สหรัฐฯในช่วงกลางเดือนมิ.ย.นี้โดยเอเซอร์จะเป็นค่ายแรกที่เปิดตัวโน้ตบุ๊ก และเดสก์ท้อป ที่ใช้หน่วยเร่งการประมวลผลตัวใหม่ เอพียู เอ-ซีรี่ส์ ในกลางเดือนมิ.ย.นี้ ตามด้วยอัสซุส และเอชพี ที่จะวางจำหน่ายสินค้าในช่วงปลายเดือนมิ.ย. ส่วนซัมซุง โตชิบา โซนี่ และเลอโนโว่ คาดว่าจะทำตลาดในช่วงเดือนก.ค.ปีนี้
Company Related Link :
AMD
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 มิถุนายน 2554 08:11 น.
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)