วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

CDMA กำลังจะตาย !?!

หากเทคโนโลยี CDMA ไม่มีอนาคต พัฒนาไม่ได้ และกำลังจะตายไปจากโลกสื่อสารไร้สาย เหมือนอย่างที่นักการเมือง หรือ ผู้บริหาร จอมสร้างภาพ ต่อหน้าพูดอย่างลับหลังพูดอย่าง ทำได้ทุกรูปแบบเพียงเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ซ่อนเร้นไว้อ้าง

นี่จะเป็นความจริงอีกด้าน ที่สังคมควรรับรู้ไว้

การพูดโดยไร้หลักฐานทางวิชาการหรือข้อมูลด้านเทคนิค เพียงเพราะกลัวน้ำลายในปากบูดว่า CDMA ไร้อนาคตนั้น เมื่อสอบถามกับ 'คนึงจิตร สุริยะธำรงกุล' ผู้จัดการประจำประเทศไทย ควอลคอมม์ อินคอร์ปอเรทเต็ด ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและพัฒนาเทคโนโลยี CDMA ยืนยันอย่างแข็งขันว่า ไม่มีงานวิจัยหรือเอกสารที่ระบุเช่นนั้นแต่ประการใด

ครั้นตรวจสอบข้อมูลเอกสารที่เผยแพร่ภายในเว็บไซด์ของ CDMA Development Group (www.cdg.org) กลับพบว่า CDMA2000 ซึ่งมีจุดเด่นในการให้บริการทางด้านเสียงและบรอดแบนด์ดาต้าในตลาดอุตสาหกรรมต่างๆ ทั่วโลก ด้วยจำนวนโอเปอเรเตอร์ถึง 314 รายใน 120 ประเทศที่ใช้เทคโนโลยี CDMA2000 และโอเปอเรเตอร์อีก 26 รายที่กำลังติดตั้งเทคโนโลยี CDMA2000 ทั่วโลกมียอดจำนวนผู้ใช้ CDMA2000 ทั้งหมดสูงถึง 550 ล้านราย ณ เดือนมิถุนายน 2553 และถูกคาดว่าจะเพิ่มสูงถึง 800 ล้านรายภายใน 5 ปีข้างหน้า

โดยมีฐานใหญ่อยู่ที่ สหรัฐอเมริกา ซึ่งใหญ่ไม่ใหญ่ดูได้จาก 'สตีฟ จ็อบ' ยังต้องยอมที่จะพัฒนาไอโฟน4 เวอร์ชัน CDMA2000 ออกวางขาย ซึ่งน่าจะเป็นหลักประกันได้ในระดับหนึ่งว่า CDMA2000 ยังมีอนาคต

ขณะที่ผู้ใช้บรอดแบนด์ไร้สายผ่านเทคโนโลยี CDMA EV-DO ก็ยังมีอัตราเติบโตสูงมากเช่นกัน จากข้อมูล ณ มิถุนายน 2553 มีจำนวนผู้ใช้บริการบรอดแบนด์ดาต้าสูงถึง 148 ล้านรายทั่วโลกจากผู้ให้บริการเครือข่าย 168 ราย ซึ่งคาดว่าจะมีอัตราผู้ใช้มากถึง 629 ล้านรายภายในปี 2558

ในเอกสารยังระบุว่า CDMA2000 กำลังเติบโตอย่างแข็งแกร่งทั่วทวีปเอเชีย ด้วยเครือข่าย CDMA จำนวน 84 แห่ง และด้วยยอดจำนวนผู้ใช้ถึง 314 ล้านรายในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ไชน่า เทเลคอม (China Telecom) มียอดผู้ใช้ CDMA2000 เพิ่มขึ้น 3 ล้านรายในทุกๆ เดือน โดยมียอดผู้ใช้ถึง 80 ล้านราย ณ สิ้นเดือนสิงหาคม 2553 ประเทศอินเดียซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่อันดับที่ 2 ของเทคโนโลยี CDMA ในโลก ด้วยจำนวนยอดผู้ใช้ CDMA ในปัจจุบันสูงกว่า 110 ล้านราย และตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ อินโดนีเซีย และเวียดนามมีอัตราเติบโตสูงมากด้วยเช่นกัน

ในทวีปแอฟริกา โอเปอเรเตอร์จำนวน 64 รายได้เปิดให้บริการ CDMA2000 บนแถบความถี่ 450 MHz, 800 MHz และ 1900 MHz ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพของ CDMA2000 1X โอเปอเรเตอร์สามารถให้บริการการสื่อสารพื้นฐานด้วยเสียงอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและเทคโนโลยี EV-DO ช่วยตอบสนองต่อความต้องการที่เพิ่มขึ้นของดาต้าแอปพลิเคชัน

ในทวีปอเมริกาเหนือ Sprint และ Verizon Wireless มีอัตราการเติบโตอย่างแข็งแกร่งทางด้านการให้บริการบรอดแบนด์ดาต้า ด้วยยอดรายได้ที่มากกว่า 30% ต่อรายได้เฉลี่ยต่อราย (ARPU) และยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในทวีปละตินอเมริกา ประเทศต่างๆ จำนวนมาก รวมทั้งประเทศเม็กซิโก บราซิล เปรู เอกวาดอร์ และอาร์เจนติน่า ใช้เทคโนโลยี CDMA2000 บนแถบความถี่ 450 MHz ที่รู้จักกันว่า CDMA450 เพื่อลดช่องว่างในการเข้าถึงข้อมูลด้วยการให้บริการเชื่อมต่อมาตรฐานโลก

ส่วนเส้นทางการพัฒนา CDMA2000 นั้น ก็มีแนวทางการพัฒนาใน 2 แนวทาง คือการพัฒนาทางด้านเสียงกับการพัฒนาทางด้านข้อมูล

สำหรับการให้บริการทางด้านเสียงนั้น เทคโนโลยี 1X Advanced จะเพิ่มศักยภาพของเครือข่าย CDMA2000 1X ในปัจจุบันได้เพิ่มขึ้นถึง 4 เท่า เพื่อลดการใช้เสปคตรัมที่ถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีค่า สำหรับการให้บริการทางด้านข้อมูลด้วยเทคโนโลยี EV-DO ด้วยปัจจัยนี้ 1X Advanced จะสามารถให้บริการทางด้านโทรศัพท์ได้มากกว่าระบบจีเอสเอ็มถึง 50 เท่า

ทางด้านการให้บริการบรอดแบนด์ดาต้า EV-DO Rel. 0, Rev. A and Rev. B ที่ได้เปิดให้บริการเชิงพาณิชย์แล้ว และในปี 2554 DO Advanced จะเพิ่มศักยภาพเครือข่ายของข้อมูลในพื้นที่หนาแน่นด้วยการแนะนำเทคนิค 'Smart Network' ใหม่ๆ จำนวนมาก เซลล์เล็กๆ จะมีบทบาทหลักในการสนองตอบต่อความต้องการทางด้านข้อมูลที่เพิ่มขึ้น

เครือข่าย Heterogeneous ซึ่งประกอบด้วย Microcells, Pico Cells และ Femto Cells จะสามารถตอบความต้องการด้วยการเปิดให้บริการเครือข่าย (ด้วยแบนด์วิดท์ที่เพิ่มขึ้น) ใกล้ชิดกับผู้ใช้มากขึ้น ขณะที่ Wi-Fi Hotspots จะช่วยลดโหลดของเครือข่ายเซลลูล่าร์ และ LTE จะช่วยเติมเต็มเครือข่าย 3G ด้วยการเพิ่มศักยภาพของบรอดแบนด์ตามความต้องการ

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 26 กุมภาพันธ์ 2554 18:24 น.

เอเอ็มดีโว ฟิวชันมา ลืมเน็ตบุ๊กไปได้เลย

เอเอ็มดี มั่นใจหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่ล่าสุด ภายใต้นวัตกรรม "AMD Fusion APU" จะเข้ามาผลักดันตลาดโน้ตบุ๊กขนาดเล็กและแท็บเล็ต ที่ต้องการประสิทธิภาพและระยะเวลาการใช้งานที่ยาวนานกว่าเดิม

นายจักรกฤช วัชระศักดิ์ศิลป์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย เอเอ็มดี ให้ข้อมูลว่า ราคาโน้ตบุ๊กในช่วง 4 - 5 ปีที่ผ่านมาลดลงค่อนข้างมาก รวมกับความต้องการของผู้บริโภคเปลี่ยนเป็นต้องการอุปกรณ์พกพาขนาดเล็กที่มีประสิทธิภาพสูง

"2-3 ปีที่ผ่านมาหลายคนอาจผิดหวังกับเน็ตบุ๊ก แต่จากชิปรุ่นใหม่ของเอเอ็มดีจะช่วยให้ผู้ใช้ลืมภาพสิ่งเล็กๆที่เรียกว่าเน็ตบุ๊ก เพราะจากชิปนี้จะช่วยให้โน้ตบุ๊กเครื่องเล็กมีประสิทธิภาพไม่ต่างจากโน้ตบุ๊กเครื่องใหญ่ และยังคงความสามารถในด้านการประหยัดพลังงาน ช่วยให้รับชมภาพยนตร์ความละเอียดสูงได้ติดต่อกันมากกว่า 10 ชั่วโมง"

ปัจจุบันจำนวนผู้ใช้งานอ้างอิงจากการเติบโตของผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยในปัจจุบันที่มีผู้ใช้ไม่ต่ำกว่า 26.3% แบ่งเป็นผู้ที่มีคอมพิวเตอร์ใช้งาน 14% จากจำนวนประชากร ทำให้เชื่อว่ายังมีความต้องการคอมพิวเตอร์ในตลาดอีกเป็นจำนวนมาก สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่ทางไอดีซีคาดการณ์ไว้ว่าอัตราการเติบโตของคอมพิวเตอร์ในปี 2010-2014 จะอยู่ที่ 11%

สำหรับ 'AMD Fusion APU' ถือเป็นนวัตกรรมหน่วยประมวลผลล่าสุดที่ทางเอเอ็มดีออกแบบให้รวมซีพียู และชิปกราฟิกเข้าด้วยกัน บนเทคโนโลยีประมวลผลแบบมัลติ-คอร์ ให้ประสิทธิภาพการทำงานที่มากยิ่งขึ้น

เบน วิลเลียมส์ รองประธานองค์กร และผู้จัดการทั่วไป เอเอ็มดี แปซิฟิก กล่าวว่า การพัฒนาของหน่วยประมวลผลนั้น เริ่มจากการเพิ่มความเร็วของเมกะเฮิรตซ์ ต่อมาคือการเพิ่มจำนวนคอร์ในการประมวลผลแบบคู่ขนานที่ปัจจุบันขึ้นไปอยู่สูงสุดที่ 12 คอร์ ทำให้ต้องมีการเปลี่ยนแปลงนำหน่วยประมวลผลมารวมกับกราฟิก เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพมากขึ้น

"การเติบโตของเทคโนโลยี และอินเทอร์เน็ตส่งผลให้คอนเทนต์ในโลกอินเทอร์เน็ต เริ่มมีคุณภาพสูงขึ้น ยกตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ความละเอียดสูง ที่ต้องการหน่วยประมวลผลความเร็วสูงขึ้น เป็นปัจจัยต่อเนื่องที่ทำให้เกิดการพัฒนาชิปที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นด้วยเช่นกัน"

ทั้งนี้ภายในครึ่งแรกของปี 2554 จะมีผลิตภัณฑ์โน้ตบุ๊กรุ่นใหม่ที่ออกสู่ตลาดมากกว่า 35 รุ่น จากผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ทั้ง เอเซอร์ เอซุส เดลล์ ฟูจิตสึ เอชพี เลอโนโว เอ็มเอสไอ ซัมซุง โซนี และโตชิบา แบ่งช่วงผลิตภัณฑ์ในตระกูล C ซีรีส์ (Ontario) สำหรับทำตลาดเน็ตบุ๊กความละเอียดสูง และแท็บเล็ต ถัดมาเป็น E ซีรีส์ (Zacate) ที่เข้ามาในช่วงครึ่งปีแรก ส่วน A ซีรีส์ (Llano) กำหนดเปิดตัวช่วงเมษายน สำหรับการประมวลผลขั้นสูงกว่าโน้ตบุ๊กทั่วไป

Company Related Link :
AMD

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2554 11:03 น.

วันเสาร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

"ผานกู่โซว" เสิร์ชเอนจิ้นใหม่หรือเครื่องมือล่าสุดของรัฐบาลจีน

กลายเป็นเรื่องฮือฮาไปทั่วโลกเมื่อรัฐบาลจีนเปิดให้บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์หรือเสิร์ชเอนจิ้นของตัวเองในนาม "ผานกู่โซว (Panguso)" บางคนมองว่านี่คือการเปิดศักราชการแข่งขันครั้งใหม่ในตลาดเสิร์ชเอนจิ้นแดนมังกร แต่อีกหลายคนมั่นใจว่านี่คือเครื่องมือชิ้นใหม่ที่ทำให้รัฐบาลจีนสามารถเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมให้ชาวออนไลน์แดนมังกรรับทราบแต่"ข่าวสารที่มีความปลอดภัย"เท่านั้น

Panguso.com หรือ ผานกู่โซวถูกประกาศว่าเป็นผลจากความร่วมมือระหว่างสำนักข่าวซินหวา (Xinhua) ของรัฐบาลจีน และไชน่า โมบาย (China Mobile) โอเปอเรเตอร์ผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือรายใหญ่ ซึ่งเป็นของรัฐบาลจีนเช่นกัน โดยจะเป็นบริการที่เปิดให้ผู้ใช้ชาวจีนเข้าสืบค้นข้อมูลออนไลน์เช่น ข่าว เว็บไซต์ รูปภาพ วีดีโอ และเพลง ซึ่งบริการคอนเทนต์ข่าวของซินหวาจะถูกผสมเข้ากับเทคโนโลยีสื่อใหม่ของไชน่า โมบาย

คู่แข่งใหม่ของไป่ตู้

ทั้งช่วงก่อนและหลังจากการลาแผ่นดินจีนของยักษ์ใหญ่กูเกิล (Google) ไป่ตู้หรือ Baidu.com สามารถครองตำแหน่งเสิร์ชเอนจิ้นในดวงใจของชาวจีนแผ่นดินใหญ่มาตลอด แน่นอนว่าการเปิดตัวผานกู่โซวทำให้ไป่ตู้ถูกมองว่ากำลังมีคู่แข่งรายใหญ่เกิดขึ้น เพราะคู่แข่งรายนี้เป็นผลผลิตขององค์กรที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับรัฐบาล สะท้อนความมีอิทธิพลน่าเกรงขามอย่างปฏิเสธไม่ได้

อย่างไรก็ตาม ความเกี่ยวข้องกับรัฐบาลย่อมแสดงถึงการควบคุมที่เข้มงวด นี่เองที่เป็นปัญหาหลักที่ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าผานกู่โซวจะไม่สามารถเจาะตลาดที่ไป่ตู้สร้างไว้ได้ โดยข้อมูลชี้ว่า ผานกู่โซวนั้นเพิ่งถูกพัฒนาขึ้นในช่วงเดือนสิงหาคม 2010 ที่ผ่านมาเท่านั้น ขณะที่ไป่ตู้นั้นก่อร่างสร้างตัวมาตั้งแต่ปี 2000

ที่น่าสนใจคือ การทดลองพบว่าเว็บไซต์ผานกู่โซวนี้มีระบบคัดกรองข้อมูลที่เข้มงวดกว่าไป่ตู้ โดยการทดสอบบริการของผานกู่โซวพบว่า ระบบไม่แสดงข้อมูลของ"หลิวเสี่ยวปัว" นักเคลื่อนไหวเพื่อการปฏิรูปการปกครองจีน ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพประจำปี 2010 แต่ในเว็บไซต์ไป่ตู้ ผู้ใช้ยังสามารถพบข้อมูลและการแสดงความคิดเห็นวิพากษ์วิจารณ์ต่อประเด็นของหลิว เสี่ยวปัวบ้างเล็กน้อย

รัฐบาลจีนนั้นขึ้นชื่อเรื่องความพยายามในการปิดกั้นข่าวสารเพื่อป้องกันไม่ให้ประชาชนมีแนวคิดเอนเอียงจากระบอบคอมมิวนิสต์ที่ปกครองจีนแผ่นดินใหญ่ในขณะนี้ การเกิดขึ้นของผานกู่โซวถือเป็นการตอกย้ำว่า รัฐบาลจีนต้องการควบคุมการใช้สื่อออนไลน์ของประชากรจีนให้มากขึ้นกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงการวิจารณ์ที่ทางการจีนไม่ยอมรับ โดยการันตีว่าข้อมูลที่ชาวจีนจะได้รับจากผานกู่โซว จะเป็นข้อมูลที่เชื่อถือได้มากที่สุด

ตรงกันข้าม นักวิเคราะห์ในประเทศจีนกลับมองว่าผานกู่โซวอาจไม่ได้รับความเชื่อถือจากผู้ใช้ ซึ่งผู้ใช้เว็บสืบค้นหรือเสิร์ชเอนจิ้นส่วนใหญ่ในประเทศจีนนั้นเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ สื่อมวลชน พนักงานเอกชน นักศึกษา และนายทหารปลดประจำการ เนื่องจากข้อมูลในผานกู่โซวล้วนเป็นข้อมูลที่มาจากแหล่งข่าวของรัฐบาลฝ่ายเดียว

นอกจากเสนอข้อมูลฝ่ายเดียว ผานกู่โซวยังทำให้รัฐบาลจีนได้รับข้อมูลพฤติกรรมการค้นหาของประชาชนทั้งหมด ซึ่งสะท้อนแนวโน้มความสนใจ ความคิด รวมถึงค่านิยมของชาวออนไลน์ในจีนขณะนั้นได้ด้วย

เบื้องต้น ข้อมูลจากบริษัทวิจัยตลาดชี้ว่า ส่วนแบ่งตลาดสืบค้นข้อมูลไตรมาส 4 ปี 2010 ของไป่ตู้ เพิ่มขึ้นสูงเป็น 83.6% เทียบกับกูเกิลที่ลดลงเหลือ 11.1% หลังจากย้ายฐานทัพไปอยู่ที่ฮ่องกง โดยสถิติผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั้งหมดในจีนล่าสุดคือ 450 ล้านคน 80% ของจำนวนนี้คือผู้ใช้บริการเว็บไซต์สืบค้นข้อมูลเป็นประจำ

Company Related Link :
Panguso.com

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2554 12:30 น.

มือถือส่งผลสมองทำงานหนักขึ้น

การศึกษาล่าสุดจากนักวิจัยอเมริกันพบว่าการยกโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแนบใบหูระหว่างใช้งานมีผลให้สมองทำงานหนักขึ้น โดยการสแกนสมองในกลุ่มตัวอย่างพบสมองส่วนใกล้เคียงใบหูที่ถูกแนบโทรศัพท์มือถือซึ่งต่อสายอยู่มีการเผาผลาญกลูโคสมากขึ้น ถือเป็นเครื่องหมายสะท้อนการทำงานที่หนักขึ้นของสมองส่วนนั้น เบื้องต้นยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะเป็นผลกระทบต่อสมองในระยะยาวหรือไม่

แม้ที่ผ่านมา โลกจะยังไม่เคยพบหลักฐานที่ชัดเจนของการเกิดผลเสียต่อสมองมนุษย์จากการใช้งานโทรศัพท์มือถือ แต่วารสารสมาคมแพทย์อเมริกันหรือ Journal of the American Medical Association ได้ตีพิมพ์ผลการศึกษาจากสถาบัน National Institutes of Health in Bethesda รัฐแมรีแลนด์ ซึ่งมีการตรวจพบการเผาผลาญกลูโคสที่มากกว่าปกติในสมองบริเวณใกล้เคียงใบหูที่มีการใช้งานโทรศัพท์มือถือ ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ชัดเจนและเที่ยงตรง เนื่องจากทีมศึกษาสรุปข้อมูลจากการสแกนสมอง ซึ่งเป็นการศึกษาที่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม

การศึกษานี้ดำเนินการตั้งแต่ปี 2009 เพื่อพิสูจน์ว่าการใช้งานโทรศัพท์มือถือมีผลต่อการทำงานของสมองมนุษย์หรือไม่ วิธีการศึกษาคือการสแกนสมองกลุ่มตัวอย่างที่มีโทรศัพท์มือถือแนบอยู่ที่ใบหูซ้ายและขวาด้วยระบบ PET-scan โดยครั้งแรก ทีมศึกษาจะเปิดการทำงานในโทรศัพท์มือถือด้านใบหูข้างขวาแต่ถูกปิดเสียงไว้ แล้วแนบใบหูกลุ่มตัวอย่างนาน 50 นาที แล้วนำภาพสแกนความเปลี่ยนแปลงของสมองมาเทียบกับการสแกนครั้งที่ 2 ซึ่งทีมศึกษาจะปิดโทรศัพท์มือถือที่แนบอยู่ที่ใบหูทั้ง 2 ข้างของกลุ่มตัวอย่าง

จากการเปรียบเทียบทำให้พบว่า สมองบริเวณใกล้เคียงกับเสาสัญญาณโทรศัพท์มือถือซึ่งเปิดการทำงานอยู่ของกลุ่มตัวอย่างมีอัตราเผาผลาญกลูโคสที่สูงขึ้น (ภาพสแกนในครั้งแรก) แต่กลับไม่เกิดขึ้นในการสแกนครั้งที่ 2 ซึ่งโทรศัพท์ถูกปิดการทำงานอยู่ ทีมศึกษาจึงสรุปว่าสมองของมนุษย์นั้นอ่อนไหวต่อคลื่นสัญญาณจากโทรศัพท์มือถือ

แม้การค้นพบนี้จะนำไปสู่การจุดประกายครั้งสำคัญในวงการโทรคมนาคม แต่ก็ยังมีความไม่ชัดเจนซึ่งทีมวิจัยยอมรับว่าต้องมีการศึกษาที่หลากหลายตามมาอีกมากในอนาคต เช่น การศึกษาว่าผลกระทบต่อสมองที่เกิดขึ้นเป็นผลจากกระแสไฟฟ้าหรือไม่ รวมถึงความเสี่ยงในการเกิดอันตรายในระยะยาว

บทสรุปในผลการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ชี้ว่า การใช้งานโทรศัพท์มือถือต่อเนื่องเป็นเวลานานจึงไม่ใช่เรื่องที่น่าไว้วางใจ โดยหวังให้ความรู้ใหม่จากการค้นพบที่เกิดขึ้นนำไปสู่การตระหนักรู้ถึงความเสี่ยงที่อาจตามมา ซึ่งทีมจะพยายามศึกษาหาความเชื่อมโยงระหว่างโทรศัพท์มือถือและสมองมนุษย์ต่อไป

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 กุมภาพันธ์ 2554 10:36 น.

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

Google VS Bing เบื้องลึกสงครามเสิร์ชเอนจิน

ได้แต่โต้ตอบกันไปมาระยะหนึ่งแล้ว สำหรับบิง (Bing) เว็บไซต์บริการค้นหาข้อมูลออนไลน์หรือเสิร์ชเอนจินของไมโครซอฟท์ และกูเกิล (Google) ยักษ์ใหญ่โลกออนไลน์ที่ทุกคนรู้จักกันดี งานนี้กูเกิลกล่าวหาว่าบิงนั้นขี้โกงเพราะ"คัดลอก"ผลลัพธ์การสืบค้นของกูเกิลไป ท่ามกลางคำปฏิเสธเสียงแข็งของบิงที่ประกาศสู่สาธารณชนอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่น่าสนใจสำหรับเรื่องนี้ไม่ได้อยู่เฉพาะที่บิงลอกหรือไม่ลอก แต่อยู่ที่เหตุผลที่แท้จริง ซึ่งเป็นเบื้องลึกที่ทำให้กูเกิลต้องออกมาเต้นเพื่อขอความเป็นธรรมให้ตัวเอง

สื่อมวลชนอเมริกันวิเคราะห์ว่า เพราะปีที่ผ่านมา บิงสามารถสร้างปรากฏการณ์ใหม่ในโลกเสิร์ชเอนจินได้อย่างน่าทึ่ง จนทำให้บิงสามารถจรัสแสงในฐานะคู่แข่งที่สมตัวของกูเกิล โดยยกให้บิงเป็นภัยคุกคามเดียวที่กูเกิลมีในอุตสาหกรรมเสิร์ชเอนจิน

สิ่งที่ทำให้บิงมีวันนี้คือผลลัพธ์การค้นหาที่ผู้ใช้มองว่าทำได้ดีพอจะเป็นตัวเลือกหากคิดจะนอกใจกูเกิล แถมเมื่อหันไปมอง"คู่เคยแข่ง"อย่างยาฮู (Yahoo!) ก็ละทิ้งการพัฒนาเทคโนโลยีเสิร์ชเอนจินของตัวเองไปแล้วในวันนี้ ขณะที่ AlltheWeb, Inktomi และ AltaVista หรือเสิร์ชเอนจินรายอื่นๆล้วนยังไม่มีน้ำหนักพอที่จะประมือกับกูเกิล ฉะนั้นผู้เล่นเดียวที่กลายเป็นคู่แข่งหลักของกูเกิลในขณะนี้ก็คือไมโครซอฟท์ และเสิร์ชเอนจินของตัวเองนามว่าบิง

การหยิบผลการสืบค้นของบิงมาทดสอบ จนทำให้กูเกิลกล่าวหาว่าบิงคัดลอกผลการค้นหา ยิ่งเป็นสิ่งสะท้อนว่ากูเกิลมองบิงเป็นคู่แข่งตัวจริง เพราะเห็นได้ชัดว่ากูเกิลมีข้อสังเกตว่าการค้นหาของบิงมีคุณภาพสูง (จนน่าสงสัย) จนได้ออกมาป่าวประกาศอย่างแข็งกร้าวเพื่อประณามบิง ก่อนที่ผู้บริโภคจะหมดความประทับใจด้วยความรู้สึก"ดีใจจัง เสิร์ชแล้วเจอเลย"ในเว็บไซต์กูเกิล ซึ่งจะทำให้บิงสามารถดึงลูกค้ากูเกิลไปได้มากขึ้นในอนาคต

ความรู้สึก "ดีใจจัง เสิร์ชแล้วเจอเลย" นั้นเป็นเรื่องสำคัญมากในวงการเสิร์ชเอนจิน เพราะนี่คือวิธีที่กูเกิลสามารถเอาชนะผู้เล่นในตลาดเสิร์ชเอนจินรายอื่นมาแล้วอย่างอยู่หมัด จุดนี้ทำให้สื่ออเมริกันวิเคราะห์ว่า การประณามบิงของกูเกิลมีแนวโน้มเป็น "สงครามPR" หรือสงครามข้อมูลเพื่อบอกให้สาธารณชนรู้ว่า เหตุผลที่ผลการค้นหาของบิงดูดีถูกใจผู้บริโภคนั้น ส่วนหนึ่งเป็นการขโมยเทคโนโลยีมาจากกูเกิล ซึ่งบิงก็ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาไม่ว่ากูเกิลจะบีบคั้นอย่างไร

การบีบคั้นบิงของกูเกิลนั้นเริ่มต้นขึ้นเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ทีมงานกูเกิลประเดิมกล่าวหาบิงว่าขโมยผลการค้นหาไว้บนเว็บล็อกของบริษัท ไม่นาน ทีมไมโครซอฟท์จึงชี้แจงตอบโต้กูเกิลว่าไม่ได้ขโมยหรือลอกเลียนแบบ แต่มีการนำข้อมูลจากผู้ใช้มาปรับปรุงระบบ ทำให้ผลการค้นหามีความคล้ายคลึงกับที่กูเกิลทำได้

เมื่อไมโครซอฟท์กล่าวหากลับบ้างว่า "กูเกิลขี้โกง" เพื่อหวังทำให้บิงเสื่อมเสีย แมตต์ คัตต์ส (Matt Cutts) วิศวกรซอฟต์แวร์ฝ่ายป้องกันการแสดงผลการค้นหาที่ไม่ต้องการ (spam) ของกูเกิล จึงชี้แจงลงบล็อกส่วนตัวโดยดึงภาพผลการค้นหาที่เหมือนกันมาวางเทียบ ซึ่งคนธรรมดาทั่วไปก็สามารถตัดสินได้ไม่ยากเย็น

การ "แฉ" ของกูเกิลเกิดขึ้นหลังจากทีมงานกูเกิลนำระบบการค้นหาของบิงมาทดสอบ โดยการสร้างหลุมพรางหรือ Honeypot ด้วยการพิมพ์ค้นหาข้อความที่ไม่มีความหมาย และไม่เคยมีอยู่ในผลการค้นหาใดๆทั้งในหน้าของกูเกิลและบิง ตัวอย่างเช่น mksofpodfk, sfdjopfdsfe หรือ indoswiftjobinproduction และอื่นๆ มากกว่า 100 คิวรี่ เมื่อพนักงานกูเกิล 20 คนเสิร์ชคำเหล่านี้ตลอด 2 สัปดาห์บนเว็บไซต์กูเกิลผ่านเบราว์เซอร์ไออี 8 (Internet Explorer 8) โดยเปิดคุณสมบัติการทำงานแบบ default ที่ไมโครซอฟท์จัดมาให้อัตโนมัติ (ไม่มีการตั้งค่าใหม่ใดๆ) ปรากฏว่าผลการค้นหา 7-9 ใน 100 ลำดับแรกของกูเกิล ถูกไปแสดงผลบนเพจของบิงไม่มีผิดเพี้ยน

กูเกิลตั้งข้อสังเกตว่า เบราว์เซอร์ไออี 8 ที่ใช้ในการทดสอบนั้นมีการเปิดใช้งานฟังก์ชัน Suggested Sites และ Bing Toolbar ไปพร้อมกัน ทำให้เห็นชัดเจนว่า ไมโครซอฟท์ใช้ Bing Toolbar และฟีเจอร์ Suggest Sites เป็นเครื่องมือในการเก็บประวัติการคลิกของผู้ใช้ เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาผลการค้นหา โดยไม่เว้นแม้แต่ผลการสืบค้นของกูเกิล ทำให้ผลลัพท์กูเกิลและบิงมีความคล้ายคลึงกันในที่สุด

เรื่องนี้ ทีมพัฒนาบิงออกมาเขียนบล็อกตอบโต้ว่าบิงนั้นใช้เงื่อนไขมากกว่า 1,000 จุดในการแสดงผลการค้นหา และหนึ่งในเงื่อนไขก็คือข้อมูลประวัติการค้นหาของผู้ใช้ที่ยินดีส่งให้ไมโครซอฟท์ (opt-in) ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อปรับปรุงผลการค้นหาให้ดีขึ้น การที่บิงมีผลการค้นหาเหมือนกูเกิลจึงเป็นเพราะเหตุนี้ แถมยังย้ำว่าไมโครซอฟท์ไม่มีความผิดเพราะไม่ได้ปิดบังใคร เนื่องจากได้ประกาศนโยบายนี้มาตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2009

กูเกิลฟังแล้วเลือดขึ้นหน้า ตอบโต้ว่าหากบิงใช้เงื่อนไขมากกว่า 1,000 จุดในการแสดงผลการค้นหา เหตุใดจึงไม่หยุดการเก็บข้อมูลประวัติการค้นหาของผู้ใช้กูเกิล ซึ่งเป็นเพียง 1 เงื่อนไขที่ช่วยในการปรับปรุงผลการค้นหาเท่านั้น โดยประณามคุณสมบัติ Suggested Sites ซึ่งจะถูกเปิดโดยอัตโนมัติ (default options) ใน Bing Toolbar บนไออีเวอร์ชัน 8 ว่าไมโครซอฟท์ไม่ได้ประกาศต่อผู้ใช้ให้ชัดเจนว่า จะนำข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ไปวิเคราะห์ต่อ ถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้บริโภค

ไมโครซอฟท์ได้แต่ยืนยันว่าตัวเองทำถูกแล้ว โดยโจมตีกูเกิลที่สร้างหลุมพรางล่อให้บิงนำผลการค้นหาปลอมไปวิเคราะห์ต่อด้วยว่า เป็นพฤติกรรมเลวร้ายแบบเดียวกับที่สแปมเมอร์ทำเพื่อลวงให้ผู้ใช้คลิกเว็บไซต์ปลอม (click fraud)

ประเด็นที่เกิดขึ้นในขณะนี้คือความก้ำกึ่งไม่ชัดเจนว่านี่คือการคัดลอกผลการสืบค้นที่แท้จริงหรือไม่ เพราะข้อมูลการคลิกของผู้บริโภคนั้นไม่ได้เป็นสมบัติของกูเกิล การใช้ข้อมูลเหล่านี้เพื่อนำไปคำนวณในระบบอัลกอริธึมของบิงจึงไม่ใช่เรื่องผิด แต่ขณะเดียวกันหลายฝ่ายก็มองเห็นว่า การที่กูเกิลออกมาเรียกร้องก็เป็นเรื่องที่มีเหตุผล และกูเกิลย่อมไม่ได้รับความเป็นธรรมหากบิงจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงแก้ไขใดๆ

ฉะนั้น ในนาทีที่กูเกิลเหนี่ยวไกไปแล้ว และบิงเองก็ยังไม่มีทีท่ารับผิด สิ่งเดียวที่ผู้บริโภคอย่างเราจะทำได้ก็คือ การถามตัวเองว่านิยามคำว่า"ลอก"นั้นคืออะไร และกรณีนี้เป็นการลอกของแท้หรือของเทียม ส่วนการลุ้นว่ามหากาพย์เรื่องนี้จะลงเอยอย่างไรนั้น หลายสำนักฟันธงว่าจะต้องใช้เวลาอีกนาน

Company Related Links :
Google
Bing

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2554 10:18 น.

วันเสาร์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

5 บุคคลผู้ทรงอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก (ตอนที่ 1 - ลามู ยาละมันชัยและมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก)

ด้วยการเติบโตของโลก World Wide Web ที่เป็นไปอย่างไม่หยุดยั้งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์กขึ้นอย่างมากมาย แต่ทั้งนี้ถ้าแยกจำเพาะโซเชียลมีเดียที่มีอิทธิพลสูงสุดในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กปัจจุบัน หลายคนคงต้องคิดถึง Facebook, Twitter, Hi5 หรือ Foursquare อย่างแน่นอน

ซึ่งในวันนี้ทีมงานผู้จัดการไซเบอร์จะขอพาท่านผู้อ่านไปพบกับ 5 ผู้มีอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก เพื่อให้ท่านผู้อ่านทราบถึงประวัติ ความเป็นมา รวมถึงแรงบันดาลใจในการคิดค้นเว็บหรือแอ็ปพลิเคชันโซเชียลเน็ตเวิร์กที่โด่งดังในปัจจุบันกันครับ ถ้าพร้อมแล้วไปชมกันได้เลย

ลามู ยาละมันชัย (Ramu Yalamanchi)
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร: Hi5.com (ไฮไฟว์ดอทคอม)
บันทึก: ไฮไฟว์ดอทคอมเป็นเว็บไซต์โซเชียลเน็ตเวิร์กอีกหนึ่งเว็บไซต์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากเฉกเช่นเดียงกับเฟสบุ๊คดอทคอม โดยหลักการทำงานของไฮไฟว์ที่แตกต่างจากเว็บโซเซียลมีเดียอื่นๆ จะอยู่ที่ความสามารถในการแปะโค้ด (Embed Code) ต่างๆ ลงในหน้าต่างกล่องแสดงความคิดเห็นหรือหน้าโปรไฟล์ได้อย่างอิสระ อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถอัปเดตข่าวสารต่างๆ ในหน้าเพจของเพื่อนหรือสร้างกลุ่มเพื่อนได้เช่นกัน

ลามู ยาละมันชัย เป็นคนเชื้อสายอินเดีย เขาโตขึ้นในย่านชานเมืองฝั่งตะวันตกของชิคาโก โดยพ่อของลามูเป็นผู้ฝึกสอนวิศวกรโรงงาน นอกจากนั้นพ่อของลามูยังเป็นผู้ประกอบการเกี่ยวกับธุรกิจงานพิมพ์ ทำให้ลามูได้เรียนรู้เรื่องธุรกิจจากพ่อของเขา

เมื่อลามูโตขึ้น เขาได้เข้ารับการศึกษาระบบปริญญาตรีในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ ที่มหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ โดยในช่วงก่อนจบการศึกษาลามูได้รวมกลุ่มกับเพื่อนในชั้นเรียนที่อิลลินอยส์เปิดบริษัท SponsorNet New Media ซึ่งเป็นบริษัทเกี่ยวกับธุรกิจตัวแทนโฆษณาบนอินเทอร์เน็ต

ซึ่งจากการเปิดบริษัทและคลุกคลีอยู่ในวงการโฆษณาผ่านออนไลน์ ทำให้ลามูแลเห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคส่วนใหญ่ในยุคนั้นที่มักชอบสร้างกลุ่มคุยกับเพื่อนๆ ผ่านห้องสนทนาทางเว็บไซต์ หรือแม้กระทั่งการส่งรูปผ่านอี-เมล์ แล้วเพื่อนๆ ที่ฟอร์เวริดเมล์ต่อมักเขียนความคิดเห็นแนบท้ายรูปมา ทำให้ลามูเกิดแรงบันดาลใจจะพัฒนาเว็บไซต์ที่จะตอบสนองและอำนวยความสะดวกต่อกลุ่มคนเหล่านั้นขึ้น

จนในที่สุด พ.ศ. 2546 ลามูจึงเปิดเว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กของตนขึ้นในชื่อ "Hi5 (ไฮไฟว์)" ซึ่งความหมายของชื่อเว็บก็คือ Hi Five เป็นคำทักทายของคนอเมริกันที่ชอบนำฝ่ามือแบบนิ้วทั้ง 5 มาตีประสานกัน โดยลามูได้ประยุกต์คำว่า Give Me Five ของคนอเมริกันที่ใช้ทักทายกับคนสนิทเป็นความสามารถในตัวเว็บไฮไฟว์ที่สามารถให้ Give กับคนที่ถูกใจได้

ซึ่งเว็บไซต์ไฮไฟว์ของลามูได้รับความนิยมอย่างมากในหลายประเทศ โดยความสามารถของไฮไฟว์นอกจากสามารถตอบสนองต่อกลุ่มคนที่ต้องการสร้างเครือข่ายสังคมแล้ว ตัวไฮไฟว์ยังรองรับภาษาที่หลากหลายทั้งอเมริกา ยุโรป ยุโรปตะวันออกหรือเอเซียแปซิฟิก โดยในประเทศไทยช่วง พ.ศ. 2550-2551 ไฮไฟว์ถือว่าได้รับความนิยมอย่างมากในการสร้างชุมชนออนไลน์ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นซึ่งกันและกัน หรือใช้แชร์รูปภาพต่างๆ รวมถึงโค้ด Embed ที่น่าสนใจ จนทางไฮไฟว์ได้แต่งตั้งท็อปสเปซ บริษัทในเครือ สนุก ออนไลน์เป็นตัวแทนขายโฆษณาออนไลน์ในประเทศไทยขึ้น ในขณะที่เฟสบุ๊คดอทคอมเริ่มเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยแต่ไม่ได้รับความนิยมเท่าที่ควร

ปัจจุบันเว็บไซต์ไฮไฟว์ดอทคอมมีสามชิกกว่า 80 ล้านยูสเซอร์ และมีมูลค่าในตัวเว็บประมาณ 38 ล้านเหรียญสหรัฐ

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg)
ผู้ก่อตั้งและผู้บริหาร: Facebook.com (เฟสบุ๊คดอทคอม)
บันทึก: "เฟสบุ๊ค" เว็บโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีผู้ใช้งานอันดับหนึ่งของโลกในตอนนี้ โดยจุดเด่นของเฟสบุ๊คอยู่ที่การเชื่อมต่อบุคคลหลายๆ บุคคลเข้าด้วยกันทำให้เกิดการเป็นเครือข่ายสังคมที่เราสามารถแชร์บันทึกประจำวัน ความคิดเห็น รูปภาพหรือลิงค์ต่างๆ ให้แก่เพื่อนของเราได้รับชมและสามารถแสดงความคิดเห็นให้กันและกันได้ นอกจากนั้นในเฟสบุ๊คยังสามารถสร้างกลุ่มและสามารถเล่นเกมในรูปแบบเครือข่ายสังคมเพื่อใช้ในการแชร์ไอเท็มระหว่างเพื่อนได้ด้วย

มาร์ก ซัคเกอร์เบิร์ก หรือชื่อเต็มคือ มาร์ก อีเลียต ซัคเกอร์เบิร์ก (Mark Elliot Zuckerberg) เป็นบุคคลที่สนใจในเรื่องของเทคโนโลยีโดยเฉพาะคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่เด็ก ดังจะเห็นได้จากบันทึกสำคัญในหนังสือ The Face of Facebook ช่วงที่มาร์กศึกษาอยู่ชั้นประถมศึกษา (ประมาณปี 1990) พ่อของมาร์กได้สอนเขาเขียนโปรแกรมในชุด Atari BASIC Programming และภายหลังพ่อของเขาก็ได้จ้างนักพัฒนาซอฟท์แวร์นามว่า David Newman มาฝึกสอนมาร์กเป็นการส่วนตัว ซึ่งด้วยความสนใจเฉพาะของมาร์กและความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็วระหว่างที่เรียนกับ Newman ทำให้ Newman ตั้งฉายาให้กับมาร์กว่า "เจ้าหนูมหัศจรรย์"

นอกจากจุดเริ่มต้นดังกล่าว ในช่วงอายุถัดมา มาร์กก็ไม่ได้หยุดการเรียนรู้เรื่องเทคโนโลยีและการเขียนโปรแกรมอยู่เพียงเท่านั้น เขาพยายามสร้างโปรแกรมช่วยอำนวยความสะดวกต่างๆ ให้พ่อของเขาที่เป็นคุณหมอ อย่างโปรแกรม ZuckNet ที่ช่วยให้สามารถติดต่อสื่อสารระหว่างออฟฟิซและบ้านของมาร์กผ่านระบบออนไลน์หรือในช่วง ประถม 6 ที่มาร์กสามารถผลิตโปรแกรมเรียนรู้นิสัยการฟังเพลงของผู้ฟัง MP3 ได้

มาถึงจุดหักเหที่สำคัญของชีวิตมาร์กเริ่มต้นตอนที่เขาเข้ารับการศึกษาที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในช่วงอายุประมาณ 20-21 ปี ตามบันทึกในนิตยสาร Time ฉบับ "Person of the Year 2010: Mark Zuckerberg มาร์กคิดค้นโปรเจ็คในโครงการวิจัยกับเพื่อนร่วมชั้นเรียน นามว่า Arie Hasit ในชื่อโปรเจ็ค Coursematch ซึ่งเป็นบริการให้นักศึกษาในชั้นเรียนสามารถเลือกจับคู่เพื่อนร่วมชั้น เพื่อช่วยเหลือเรื่องงานซึ่งกันและกันจากนั้นไม่นานมาร์กและ Arie ก็ร่วมกันพัฒนาโปรเจ็คชิ้นต่อไปในชื่อ Facemash.com ที่มีหลักการทำงานง่ายๆ คือให้นักศึกษาในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดสามารถสร้างหน้าเพจส่วนตัว จากนั้นนักศึกษาสามารถนำรูปของตนมาอัปโหลดและประชันคะแนนโหวตความร้อนแรงหรือจะท้าแข่งความสวย ความหล่อกับเพื่อนได้ แต่ทั้งนี้ Facemash.com เปิดออนไลน์ไปได้เพียงหนึ่งอาทิตย์ ทางมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดแลเห็นว่าเว็บไซต์ดังกล่าวอาจเป็นอันตรายต่อระบบความปลอดภัยจึงจำเป็นต้องปิดเว็บไซต์ดังกล่าวลงในที่สุด

เหตุการณ์ในครั้งนั้นทำให้มาร์กต้องออกมาขอโทษกับทางมหาวิทยาลัยและพยายามคิดค้นปรับเปลี่ยน Facemash มาเป็นโปรเจ็คต่อไปในชื่อ Facebook ที่ห้องพักของตัวเองในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2547 ในขณะที่มาร์กอายุ 20 ปี โดยมาร์กตั้งใจให้ Facebook เป็นเว็บไซต์เป็นบริการที่ให้นักศึกษาสามารถโพสต์ข้อมูลของตัวเองรวมถึงรูปได้ตามต้องการ

หลังจากเฟสบุ๊คเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการไม่นานกระแสความนิยมก็เพิ่มมากขึ้นจากในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดก็ขยายตัวไปยังมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด, โคลัมเบีย และสถานศึกษาอีก 30 แห่งทั่้วสหรัฐอเมริกา โดยมีเพื่อนร่วมชั้นเรียนอย่าง Dustin Moskovitz และ Eduardo Saverin เป็นตัวช่วยสำคัญ

จากนั้นมาร์ก, Moskovitz และ Saverin ก็ได้รับเงินสนับสนุนจากนักลงทุน Peter Thiel จำนวน US$ 500,000 และ Sean Parker จาก Napster จนในที่สุดในเดือนมิถุนายน เฟสบุ๊คก็ย้ายฐานที่ตั้งไป Palo Alto, California มาร์กและเพื่อนผู้ร่วมก่อตั้งได้รับทีมงานเพิ่มและพัฒนาความสามารถของเฟสบุ๊คมาอย่างต่อเนื่อง พร้อมเริ่มนำเฟสบุ๊คปรับตัวเข้าสู่โลกธุรกิจเต็มตัวตั้งแต่ พ.ศ. 2548 เป็นต้นมา โดยในส่วนของยอดสมาชิกก็ปรับเพิ่มขึ้นจาก 100 ล้านยูสเซอร์ไปสู่ 600 ล้านยูสเซอร์ทั่วโลก ซึ่งในส่วนของมูลค่าเว็บ Facebook.com ก็มีการปรับตัวสูงขึ้นเป็น 50 พันล้านเหรียญสหรัฐในปัจจุบัน

ทิ้งท้าย: จาก "ไฮไฟว์ดอทคอม" สู่ "เฟสบุ๊คดอทคอม"

ผมจำได้สมัยครั้งที่เว็บไฮไฟว์ดอทคอมเริ่มเข้ามาเริ่มตีตลาดโซเชียลเน็ตเวิร์กหรือเครือข่ายสังคมในประเทศไทย ยุคนั้นผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ตโดยเฉพาะวัยรุ่นตั้งแต่อายุ 18-24 ปี มักนิยมชมชอบเว็บไซต์ดังกล่าวมากเป็นพิเศษ เพราะตัวไฮไฟว์สามารถสร้างกลุ่มคนหรือสามารถแชร์รูปภาพรวมถึงสามารถแสดงความเห็นตอบกันไปมาได้ ทำให้ยุคนั้นไฮไฟว์ถือเป็นโซเชียลเน็ตเวิร์กเว็บแรกๆ ที่เกิดในเมืองไทยอย่างแท้จริง

แต่ทั้งนี้เมื่อเราลองมองในแบบมหภาค ทั่วโลกจะเห็นว่าความจริงแล้วในช่วงยุคที่ไฮไฟว์กำลังโด่งดังเป็นพลุแตกในบ้านเรา เว็บโซเซียลเน็ตเวิร์กอีกหนึ่งเว็บที่มีชื่อเสียงมากในแถบยุโรปและอเมริกาอย่าง Facebook ก็กำลังพัฒนาตนเองพร้อมทั้งขยายตลาดไปทั่วโลกเช่นกัน

ซึ่งแน่นอนว่าถ้ามองจากประวัติของผู้บริหารของทั้ง 2 เว็บไซต์นี้ จะเห็นว่าทั้งมาร์ก ซัคเกอร์เบิร์กและลามู ยาละมันชัย มีแนวความคิดที่ค่อนข้างแตกต่างกัน โดยลามู สร้างไฮไฟว์ขึ้นโดยอาศัยประสบการณ์ในโลกของธุรกิจที่ตนเคยทำงานอยู่มาสร้างเป็นเว็บเครือข่ายสังคม ซึ่งแน่นอนว่าด้วยความเป็นนักธุรกิจทำให้ลามูมักมองการตลาดในลักษณะของผลประโยชน์มากกว่า ซึ่งจะเห็นได้จากการเกิดไฮไฟว์จะมาพร้อมเรื่องของแบรนด์เนอร์โฆษณาต่างๆ มากมาย ในขณะที่มาร์กสร้างเฟสบุ๊คจากความสนุกในแบบชีวิตวัยรุ่น อาศัยความสามารถด้านคอมพิวเตอร์และความเป็นวัยรุ่นจับกลุ่มในช่วงอายุของตนเองและพัฒนาเป็นเว็บเฟสบุ๊คที่มีจุดเด่นอยู่ที่การเข้าถึงข้อมูลของบุคคลได้ดีกว่าออกมา อีกทั้งด้วยการที่เฟสบุ๊คได้ชูจุดเด่นในเรื่องของเว็บแอปพลิเคชัน อย่างเช่น เกมหรือแอปพลิเคชันเสริมต่างๆ เป็นหลักทำให้ในช่วงหลัง เว็บเฟสบุ๊คจึงได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะด้วยความหลากหลายในการใช้งานที่ไม่ได้จำกัดเพียงแค่การแลกเปลี่ยนข้อมูลซึ่งกันและกันเท่านั้น

ทำให้ช่วงหลังเฟสบุ๊คจึงได้รับความนิยมอย่างสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองไทยที่มีผลทำให้เว็บรุ่นพี่อย่างไฮไฟว์ถึงกับได้รับผลกระทบต่อยอดสมาชิกอย่างมาก และยิ่งด้วยวัฒนธรรมชอบตามแฟชั่นของคนไทย ทำให้หลายคนเลิกเล่นไฮไฟว์และมาเล่นเฟสบุ๊คเพียงเพราะกลัวตกเทรนด์ หรือบางรายบอกว่าตัวเว็บมีเกมให้เล่น มีแอปพลิเคชันสนุกๆ มากมาย รวมถึงการที่เฟสบุ๊คเปิดกว้างให้ผู้สนใจพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถทำได้เอง อีกทั้งระบบที่สามารถค้นหาเพื่อนเก่าๆ ผ่านการลิงค์ข้อมูลแบบใยแมงมุมที่จะสามารถเชื่อมต่อความสัมพันธ์เข้าหากันได้ง่าย ทำให้ในปัจจุบันเฟสบุ๊กกลับกลายเป็นสิ่งยอดฮิตที่ใครๆ ก็ต้องมี โดยทิ้งให้ไฮไฟว์ ที่อาจคาดการณ์ตลาดผิดไปในช่วงแรกต้องตกอยู่ในภาวะหายใจไม่ทั่วท้อง ถึงแม้ช่วงหลังจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตา ชูระบบแอปพลิเคชันตามเฟสบุ๊คแล้วก็ตาม ก็ยังไม่สามารถเรียกความนิยมกลับคืนมาได้เหมือนก่อน ซึ่งก็ถือว่าโชคดีที่ยังมีบางประยังเทศยังนิยมไฮไฟว์ให้ลามูได้ดีใจอยู่บ้าง

สำหรับในครั้งหน้าเชิญติดตามชมตอนที่ 2 กับอีก 3 บุคคลผู้มีอิทธิพลในโลกโซเชียลเน็ตเวิร์กกันต่อนะครับ ส่วนจะเป็นใครอย่างไรติดตามได้ในอาทิตย์หน้าครับ

เห็นด้วยไม่เห็นด้วยอย่างไรก็สามารถมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันได้ครับที่กล่องแสดงความคิดเห็นด้านล่างหรือทาง Twitter: @Dorapenguin

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 กุมภาพันธ์ 2554 03:29 น.

วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

3BB ปิดปากกรณีลอยแพผู้บริโภค

3BB ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในประเทศไทยประกาศพร้อมรับฟังปัญหาจากผู้บริโภค กรณี 3BB ยกเลิกการให้บริการลูกค้าโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า จนทำให้มีผู้ใช้บริการจำนวนมากได้รับความเดือดร้อนมากกว่า 20 จังหวัดครอบคลุมทุกภูมิภาค เบื้องต้น 3BB ยังไม่ให้ข้อมูลนโยบายดำเนินการเพิ่มเติมในขณะนี้ แต่ยืนยันจะไปรับฟังความเห็นจากเวทีสาธารณะเรื่อง “ผู้ใช้ 3BB ถูกลอยแพ ใคร? แก้ปัญหา” ซึ่ง สบท.จะจัดขึ้นวันที่ 7 กุมภาพันธ์เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

ปัญหาลอยแพผู้บริโภคของ 3BB เริ่มต้นตั้งแต่กลางเดือนมกราคมที่ผ่านมา โดยสถาบันคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการโทรคมนาคม (สบท.) เปิดเผยว่าได้รับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับการให้บริการของบริษัท ทริปเปิลทรี อินเทอร์เน็ต จำกัด เนื่องจากผู้ใช้บริการถูกตัดสัญญาณอินเทอร์เน็ตโดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า เมื่อผู้ใช้บริการสอบถามก็ได้รับแจ้งว่า บริษัทฯ ยุติการให้บริการแล้ว ทำให้ผู้ใช้บริการได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะผู้ที่ต้องทำธุรกิจเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต และประชาชนทั่วไปในพื้นที่มากกว่า 20 จังหวัด เช่น เชียงใหม่ ลำพูน อุตรดิตถ์ นครสวรรค์ ศรีสะเกษ สุราษฏร์ ตรัง

สบท. ระบุว่า ต้นเหตุของเรื่องคือ 3BB ได้ลดการใช้งานวงจรเช่าของบริษัท ทีทีแอนด์ทีจากที่เคยใช้งานอยู่ 320,278 วงจร เหลืออยู่เพียง 12,333 วงจรเท่านั้น และมีแผนว่าจำนวนวงจรเช่าที่ใช้งานก็จะลดลงไปอีกตามลำดับ โดยจะลดลงเหลือ 0 ภายในระยะเวลาไม่นานนี้ จึงเป็นไปได้ว่า สำหรับลูกค้าต่างจังหวัดที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตของ 3BB แบบมีเบอร์โทรศัพท์ของทีทีแอนด์ทีจะถูกแจ้งยกเลิกการให้บริการทั้งหมดในที่สุด

“พื้นที่ที่ถูกร้องเรียนก็คือต่างจังหวัดเกือบทั้งหมด จากผู้ใช้บริการอินเทอร์เน็ตของทริปเปิลทรี บรอดแบนด์ แต่ใช้โครงข่ายอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงที่มีเลขหมายซึ่งเป็นโครงข่ายของทีทีแอนด์ที อันนี้เป็นข้อสังเกตว่าจะถูกยกเลิกสัญญา ส่วนใครที่ใช้บริการอินเทอร์เน็ตแบบไม่มีเลขหมายของทริปเปิลทรี ซึ่งเข้าใจได้ว่าเป็นโครงข่ายของเขาอยู่แล้วจะไม่เจอปัญหานี้ ตามตัวเลขประมาณการณ์ แสดงว่า บริษัทฯ วางแผนที่จะยกเลิกการให้บริการกับผู้บริโภคอีก ถ้าเป็นเช่นนั้นจะทำให้มีผู้บริโภคที่ได้รับผลกระทบทั่วประเทศอย่างน้อย 12,000 ราย” ประวิทย์ ลี่สถาพรวงศา ผู้อำนวยการ สบท. กล่าว

การให้บริการอินเทอร์เน็ตในต่างจังหวัดของ 3BB ในขณะนี้ หลายจุดยังเป็นการทำสัญญาใช้บริการวงจรเช่าจาก บริษัททีทีแอนด์ที แต่เมื่อทีทีแอนด์ทีประสบปัญหาทางการเงิน และมีการตั้งบริษัทเอกชนเข้ามาทำแผนฟื้นฟูกิจการ ส่งผลต่อการเข้าไปใช้สิทธิของ 3BB ในการใช้วงจรเช่าตามสัญญา เช่น การเปลี่ยนกุญแจล็อคชุมสายทำให้ 3BB ไม่สามารถให้บริการได้ การสร้างเงื่อนไขการเข้าพื้นที่ชุมสายและมีเหตุรุนแรงถึงขั้นฟ้องร้องกันกับพนักงานบริษัท และเป็นเหตุให้ 3BB ไม่อาจใช้วงจรเช่าในพื้นที่ชุมสายของทีทีแอนด์ที เพื่อให้บริการกับลูกค้าได้ ทั้งหมดนี้ที่ประชุม กทช. ได้มีมติให้ทีทีแอนด์ทีระงับการรื้อถอนคู่สายหรือการหยุดการให้บริการแล้ว 3BB จึงยังคงมีสิทธิ์ใช้โครงข่ายทีทีแอนด์ทีเพื่อให้บริการต่อไปก่อนตามสัญญาเดิม

อย่างไรก็ตาม การกระทำของ 3BB ด้วยการยกเลิกบริการผู้บริโภคเองโดยพลการเช่นนี้ ถือเป็นการยกเลิกสัญญาโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย

“ตามกฎหมายมาตรฐานของสัญญาให้บริการโทรคมนาคม ระบุว่า ห้ามไม่ให้ผู้ให้บริการยกเลิกการให้บริการตามสัญญา ถ้าผู้บริโภคไม่ใช่ฝ่ายผิด และตาม พ.ร.บ.ประกอบกิจการโทรคมนาคมระบุว่า ผู้รับใบอนุญาตจะพักหรือหยุดการให้บริการไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนไม่ได้ เว้นแต่ได้รับอนุญาต ซึ่งสบท.จะได้เชิญผู้ให้บริการมาชี้แจงข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นในเร็วๆ นี้” ผอ.สบท.กล่าว

ทั้งหมดนี้ จากการสอบถามไปยังบริษัท 3BB พบว่าบริษัทปฏิเสธที่จะให้ข้อมูลนโยบายแก้ปัญหาที่เกิดขึ้น โดยระบุว่าบริษัทจะประกาศแนวทางดำเนินงานโดยเร็วที่สุดในทันทีที่ได้รับนโยบายจากผู้บริหาร โดยล่าสุด สบท. ออกประกาศสนับสนุนผู้ใช้บริการ 3BB ให้อย่ายอมเลิกสัญญา หากถูกระงับสัญญาณ โดยระบุว่าเป็นหน้าที่ของ 3BB ในฐานะผู้ให้บริการที่ต้องรับผิดชอบให้บริการตามที่ได้สัญญาไว้

“มีกรณีที่ จ. สุราษฏร์ธานี ผู้ใช้บริการรวมตัวกันไม่ยอมยกเลิกบริการ บริษัทฯก็ต้องให้บริการต่อไป เพราะอยู่ผู้ให้บริการ จะมายกเลิกสัญญาไม่ได้ มันมีเงื่อนไขตามกฎหมาย ดังนั้นผู้บริโภคมีสิทธิยืนยันที่จะไม่ยกเลิก และหากบริษัทฯอ้างว่า หากไม่ยกเลิกจะเก็บค่าบริการไปเรื่อยๆ ก็ไม่ต้องกลัวครับ เพราะ ถ้าเกิดเหตุขัดข้องที่ไม่ได้มาจากผู้ใช้บริการ ผู้ใช้บริการไม่ต้องจ่าย ดังนั้น ผู้บริโภคจึงมีสิทธิที่จะไม่ยกเลิกและถ้าถูกระงับสัญญาณปั๊บ ก็มีสิทธิไม่จ่าย จ่ายเฉพาะส่วนที่ใช้บริการจริงเท่านั้น เพราะเมื่อไหร่ที่ยินยอมยกเลิกสัญญา เท่ากับบริษัทฯ พ้นหน้าที่ในการให้บริการเราทันทีเลย แต่ถ้าเรายืนยันเขามีหน้าที่ต้องเปิดบริการต่อ เพราะสัญญาเกิดมาก่อนแล้ว เป็นหน้าที่ที่ต้องเปิดให้บริการ ไม่ว่าจะใช้วิธีใดก็ตาม จะเช่าโครงข่ายทีทีแอนด์ที หรือเจ้าอื่น หรือให้บริการผ่านดาวเทียม ผ่านโทรศัพท์มือถือ แต่คุณภาพต้องได้ตามที่ตกลงกันไว้ ” ผอ.สบท. กล่าว

ท่ามกลางปัญหาความเดือดร้อนของผู้ใช้บริการจำนวนมากจากการถูก 3BB เลิกให้บริการ แต่ 3BB ยังคงมีการเผยแพร่สื่อโฆษณาเกี่ยวกับการให้บริการอินเทอร์เน็ตอยู่ ทั้งทางสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อโทรทัศน์ จุดนี้ นายประวิทย์ระบุว่า 3BB มีหน้าที่ต้องให้ข้อมูลที่เป็นจริงกับผู้บริโภคโดยไม่ปิดบังว่า พื้นที่ไหนเปิดให้บริการ พื้นที่ไหนจะยุติบริการ

"อย่าใช้กลยุทธ์เหมือนที่เคยทำมาในอดีตคือโฆษณาไปก่อน จากนั้นก็เก็บทั้งค่าติดตั้งและเก็บค่าบริการล่วงหน้า แต่พอพื้นที่ไหนไม่คุ้มก็ไม่ขยายโครงข่าย แล้วจึงเรียกลูกค้าไปรับเงินคืน เพราะถือว่าไม่เป็นธรรมกับผู้ใช้บริการ"

จากสภาพปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหมด สบท. ระบุว่าจะรวบรวมรายงานถึง เลขาธิการ กสทช. เพื่อพิจารณาให้มีคำสั่งทางปกครองต่อไปและในวันที่ 7 กุมภาพันธ์นี้ โดย สบท.จะจัดให้มีเวทีสาธารณะ เรื่อง “ผู้ใช้ 3BB ถูกลอยแพ ใคร? แก้ปัญหา” เพื่อหาทางออกเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

จากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้า บริษัท ทริปเปิลที บรอดแบนด์ จำกัด (มหาชน) มีกรรมการบริษัท 7 คน คือ นายพิชญ์ โพธารามิก นายสุพจน์ สัญญพิสิทธิ์กุล นางสาวสายใจ คีตสิน นางนงลักษณ์ พงษ์ศรีหดุลชัย นางสาวจงรัก โรจนวิภาต นายวสุ ประสานเนตร และนายอนุพงษ์ โพธารามิก

Company Related Link :
3BB

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 กุมภาพันธ์ 2554 13:21 น.

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

โลกไซเบอร์วุ่น!! วิกฤตไอพีแอดเดรสขาดแคลน

นาทีนี้โลกอินเทอร์เน็ตกำลังนับถอยหลังสู่ยุคแห่งการขาดแคลนหมายเลขไอพีแอดเดรสใหม่อย่างแท้จริง ทำให้ไอพีแอดเดรสระบบใหม่อย่าง IPv6 ถูกหยิบยกขึ้นมาจุดกระแสอย่างต่อเนื่อง โดยเว็บไซต์ยักษ์ใหญ่อย่างเฟซบุ๊ก (Facebook) กูเกิล (Google) รวมถึงผู้ให้บริการออนไลน์รายอื่น ควงแขนนำทีมพัฒนาเว็บไซต์เวอร์ชันใหม่พร้อมกับร่วมมือกับผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตในการอัปเกรดเครือข่ายแล้วในขณะนี้ ก่อนที่ไอพีแอดเดรสระบบเก่าอย่าง IPv4 ชุดสุดท้ายจะถูกส่งออกมาใช้งานภายในสัปดาห์นี้

สิ่งที่โลกต้องเผชิญหากไอพีแอดเดรสระบบเก่าหมดลง คือบริษัทน้อยใหญ่ที่มีเว็บไซต์บนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต จะต้องเสียเงินงบประมาณมากมายไปกับการอัปเกรดเว็บไซต์เพื่อให้รองรับระบบไอพีแอดเดรสเวอร์ชันใหม่ ซึ่งคาดว่าทิศทางนี้กำลังจะเกิดขึ้นต่อเนื่องนับแต่ปีนี้เป็นต้นไป

ไอพีแอดเดรสหรือ Internet protocol addresses นั้นเป็นชุดตัวเลขที่ใช้ระบุที่อยู่ของเว็บไซต์ ตัวอย่างเช่นหากผู้ใช้พิมพ์ชื่อเว็บไซต์ www.facebook.com ระบบจะเชื่อมต่อไปยังไอพีแอดเดรส 66.220.149.32 โดยตรง ปัญหาอยู่ที่ระบบไอพีแอดเดรสดั้งเดิมเวอร์ชัน 4 หรือ IPv4 นั้นถูกออกแบบมาตั้งแต่ 30 ปีที่แล้ว (ยุคปี 70) เพื่อใช้งานเฉพาะในวงการศึกษาและนักวิจัยเท่านั้น ไม่ได้ออกแบบเพื่อการใช้งานในวงกว้างและแพร่หลายเช่นทุกวันนี้ ไอพีแอดเดรสในระบบ IPv4 ซึ่งสามารถจัดสรรได้เต็มที่ 4,300 ล้านแอดเดรส จึงกำลังจะหมดลงท่ามกลางการใช้งานไอพีแอดเดรสมหาศาลในทุกวันนี้

โลกไม่ได้นิ่งนอนใจกับปัญหาแอดเดรสขาดแคลน เพราะก่อนหน้านี้ การเปลี่ยนมาใช้ IPv6 ระบบไอพีแอดเดรสเวอร์ชันใหม่ซึ่งเป็นแนวทางแก้ไขเดียวได้ถูกนำเสนอต่อสื่อมวลชนในวงกว้าง บนหลักการที่ใกล้เคียงกับการเปลี่ยนระบบหมายเลขโทรศัพท์มาเป็น 10 หลัก เพื่อแก้ปัญหาเลขหมายขาดแคลน โดยยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิล เฟซบุ๊ก ยาฮู (Yahoo) รวมถึงรายอื่นต่างเริ่มกระบวนการทดสอบการเชื่อมต่อแอดเดรสใหม่บน IPv6 แล้ว แต่การทดสอบก็ยังไม่ขยายตัวในวงกว้าง เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงระบบนั้นมีแนวโน้มทำให้ธุรกิจสิ้นเปลืองงบประมาณสูง เพราะอุปกรณ์เครือข่ายทั้งเราท์เตอร์และเซิร์ฟเวอร์ขององค์กรทั้งหลาย ซึ่งทำหน้าที่เข้ารหัสอิเล็กทรอนิกส์นั้นล้วนใช้งานระบบแอดเดรส IPv4 เป็นส่วนมาก

สถานการณ์ขาดแคลนแอดเดรสในระบบ IPv4 ขณะนี้ คือจำนวนแอดเดรสว่างนั้นลดลงจาก 1,000 ล้านเลขหมายในเดือนมิถุนายน ปี 2006 เหลือ 117 ล้านเลขหมายในเดือนธันวาคม ปี 2010 ตามข้อมูลจากหน่วยงาน American Registry for Internet Numbers ซึ่งดูแลการจัดสรรไอพีแอดเดรสในสหรัฐฯ ถือเป็นตัวเลขที่น้อยจนคาดว่าแอดเดรสในระบบดั้งเดิมจะหมดลงก่อนกลางปีนี้แน่นอน

ที่น่าสนใจคือ ประชากรอินเทอร์เน็ตโลกน้อยกว่า 0.25% เท่านั้นที่ใช้ IPv6 ในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตในขณะนี้ ถือเป็นสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะยังไม่มีการตื่นตัวที่จริงจัง เพราะการเปลี่ยนถ่ายสู่ IPv6 นั้นส่งผลมหาศาลในมุมของผู้บริโภค เนื่องจากระบบปฏิบัติการยุคเก่า เราท์เตอร์สำหรับใช้ในบ้าน รวมถึงอุปกรณ์เครือข่ายในบ้านอื่นๆอาจไม่รองรับระบบแอดเดรส IPv6 อนาคตที่ผู้บริโภคทั่วโลกต้องควักกระเป๋าจึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ความแตกต่างระหว่างผู้ใช้ IPv6 และ IPv4 ในขณะนี้อยู่ที่การพิมพ์ยูอาร์แอลเว็บไซต์ เช่นผู้ใช้ IPv6 ที่ต้องการใช้เฟซบุ๊กจะต้องพิมพ์ว่า www.v6.facebook.com แทน โดยผู้ใช้เฟซบุ๊กมากกว่า 99% ที่ยังใช้ไอพีแอดเดรสระบบเก่าจะได้รับข้อความแจ้งผิดพลาดหรือ error message แทน

ขณะนี้ ผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตต่างขานรับด้วยการเปิดเผยว่าได้ลงทุนเป็นมูลค่าหลายร้อยล้านเหรียญสหรัฐในการปรับปรุงโครงข่าย มีเพียงบริษัทจำหน่ายอุปกรณ์เครือข่ายเท่านั้นที่ยิ้มกริ่มเพราะมั่นใจว่าจะได้รับอานิสงส์เต็มที่จากวิกฤตินี้

แม้ความตื่นตัวใน IPv6 ในนาทีนี้จะเพิ่มขึ้น เช่น รัฐบาลสหรัฐฯที่กำหนดให้เว็บไซต์หน่วยงานรัฐต้องใช้งานระบบ IPv6 ภายในปี 2012 หรือการเสนอความช่วยเหลือด้านภาษีเพื่อลดภาระให้ธุรกิจในการเปลี่ยนถ่ายเทคโนโลยีสู่ IPv6 แต่กระแส IPv6 ก็ยังไม่ได้รับการตอบสนองเท่าที่ควร จนขณะนี้มีการเสนอให้วันที่ 8 มิถุนายน 2011 เป็นวัน World IPv6 Day เพื่อให้เป็นวันเปิดทดสอบ IPv6 อย่างเต็มรูปแบบ โดยเฟซบุ๊ก กูเกิล และยาฮูจะเข้าร่วมเพื่อรณรงค์ให้ชาวเน็ตทั่วโลกหันมาสนใจ IPv6 อย่างเต็มตัว

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 กุมภาพันธ์ 2554 07:06 น.