วันพุธที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2554

แจ้งเกิดแอปฯ ดูหนังบนเฟซบุ๊ก 'ใหญ่ที่สุด'

เฟซบุ๊ก (Facebook) บริการเครือข่ายสังคมประกาศร่วมมือกับสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์มิราแม็กซ์ (Miramax) เปิดตัวแอปพลิเคชันเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กแบบจริงจัง พิเศษกว่าด้วยการเพิ่มจำนวนภาพยนตร์และอุปกรณ์ที่รองรับชนิดไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์เช่าหนังบนเฟซบุ๊ก ประเดิมตลาดลุงแซม อังกฤษ และตุรกีบนราคาเรื่องละ 30 เฟซบุ๊กเครดิตหรือเทียบเท่าเงิน 90 บาท ก่อนจะขยายไปยังฝรั่งเศสและเยอรมนีในอนาคตอันใกล้

แอปพลิเคชันเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กมีชื่อว่า มิราแม็กซ์ เอ็กซ์พีเรียนซ์ (Miramax eXperience) ได้รับการการันตีว่าเป็นบริการเช่าภาพยนตร์ที่ใหญ่ที่สุดบนเฟซบุ๊กในขณะนี้ เพราะการเปิดให้บริการภาพยนตร์จำนวน 20 เรื่องแก่ผู้ใช้ในสหรัฐฯ ขณะที่ในอังกฤษและตุรกีเปิดให้เช่า 10 เรื่อง ถือเป็นสถิติจำนวนภาพยนตร์สูงที่สุด แถมมิราแม็กซ์ยังเพิ่มให้สาวกเฟซบุ๊กสามารถเพลิดเพลินกับหนังเรื่องโปรดได้บนไอแพด (iPad) และชุดอุปกรณ์กูเกิลทีวี (Google TV) ด้วย จากเดิมที่มักรองรับเฉพาะสมาร์ทโฟน และคอมพิวเตอร์เท่านั้น

ภาพยนตร์ส่วนใหญ่ในบริการเป็นภาพยนตร์อมตะอย่าง Pulp Fiction, Good Will Hunting, Chicago และ Kill Bill เป็นต้น ผู้สนใจจะต้องเช่าภาพยนตร์ด้วยหน่วยเงินบนเฟซบุ๊กราคา 30 เฟซบุ๊กเครดิต (Facebook credit) ซึ่งมีมูลค่าเทียบเท่า 3 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อสตรีมมิงภาพยนตร์มาชมในช่วงเวลา 48 ชั่วโมงหรือ 2 วัน

การร่วมมือเปิดเช่าภาพยนตร์บนเครือข่ายสังคมที่เกิดขึ้นไม่ใช่ครั้งแรกของทั้งคู่ เพราะเฟซบุ๊กนั้นเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์โดยร่วมมือกับสตูดิโอผู้ผลิตภาพยนตร์รายอื่นมาก่อน ทั้ง Warner Bros. ที่เปิดให้ชาวเฟซบุ๊กเช่าภาพยนตร์มนุษย์ค้างคาว The Dark Knight ก่อนที่ Paramount และ Universal จะเปิดให้บริการเรื่อง The Big Lebowski ตามมา แต่มิราแม็กซ์ถือเป็นพันธมิตรที่เปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์บนเฟซบุ๊กรายใหญ่ที่สุดในขณะนี้

ขณะที่แม้มิราแม็กซ์จะเคยเปิดให้บริการเช่าภาพยนตร์แบบสมัครสมาชิกกับ Amazon, Netflix, Hulu และ Apple มาก่อน แต่การร่วมมือกับเฟซบุ๊กในครั้งนี้ก็ถูกจับตามองอย่างมากเช่นกัน เนื่องจากเฟซบุ๊กนั้นมีอัตราการใช้งานสูงมากในยุโรป สถิติล่าสุดคือผู้ใช้งานเฟซบุ๊กคิดเป็นสัดส่วน 65% ของประชากรยุโรปรวม สอดคล้องกับที่นักวิเคราะห์เชื่อว่า เครือข่ายสังคมอย่างเฟซบุ๊กจะเป็นตลาดที่สำคัญของธุรกิจภาพยนตร์ดิจิตอลในอนาคต

ที่ต้องย้ำว่าในอนาคต เพราะปัจจุบันเฟซบุ๊กยังไม่สามารถติดอันดับ 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ออนไลน์รายใหญ่ของโลกในขณะนี้ โดยช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา บริษัทวิจัย IHS ระบุว่าร้านไอจูนส์ (iTunes) ร้านจำหน่ายคอนเทนต์ออนไลน์ของแอปเปิลนั้นเป็นแชมป์ที่สามารถครองส่วนแบ่งตลาดสูงสุดในวงการเช่าภาพยนตร์ดิจิตอลของสหรัฐฯ ที่ 65.8% เพิ่มจากช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 64.9%

รองลงมาคือ ร้าน Playstation ของ Sony ซึ่งมีส่วนแบ่งลดลงเหลือ 16.2% จากที่มีอยู่ 18.5% ตามด้วย Vudu ในเครือวอล-มาร์ทซึ่งมีส่วนแบ่งตลาดเพิ่มจาก 1% เป็น 5% ขณะที่บริการ Zune จากไมโครซอฟท์ซึ่งคอหนังสามารถดาวน์โหลดมาชมบนคอมพิวเตอร์และเครื่องเกม Xbox 360 นั้นมีส่วนแบ่ง 4.4% ลดลงจาก 8.2% อันดับ 5 คือ Amazon.com ที่ครองส่วนแบ่งได้ 4%

นักวิเคราะห์เชื่อว่า เฟซบุ๊กจะสามารถแทรกตัวเป็น 1 ใน 5 ผู้ให้บริการภาพยนตร์ดิจิตอลได้ในเวลาไม่นานนับจากนี้ เพราะเฟซบุ๊กนั้นมีดีกรีเป็นผู้ให้บริการเครือข่ายสังคมที่มีผู้ใช้งานมากที่สุดในโลก สถิติเดือนกรกฎาคม 54 จากบริษัทวิจัย Comscore ระบุว่าชาวสหรัฐฯ เข้าใช้งานเฟซบุ๊กมากกว่า 162 ล้านคนต่อเดือน นำหน้าบริการในธุรกิจเดียวกันอย่างทวิตเตอร์ที่มีผู้ใช้ 32.8 ล้านคน หรือบริการเครือข่ายสังคมสำหรับคนทำงานอย่าง LinkedIn ซึ่งมีผู้ใช้งาน 32.5 ล้านคน

Company Related Link:
Facebook

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 สิงหาคม 2554 10:23 น.

วันจันทร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กูเกิลฮุบโมโตโรลา 1.25 หมื่นล.ดอลล์

กูเกิล (Google) ประกาศแผนฮุบกิจการผลิตและจำหน่ายโทรศัพท์มือถือของโมโตโรลา (Motorola Mobility Holdings Inc) พร้อมเทเงินมูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.75 แสนล้านบาท) บนความหวังว่าจะสามารถเสริมเขี้ยวเล็บให้กับธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายใต้แบรนด์แอนดรอยด์ (Android) ของกูเกิลได้

ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเงินมหาศาลที่ถูกเตรียมไว้สำหรับการซื้อโมโตโรลานั้นทำให้ดีลที่เกิดขึ้นเป็นดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์กูเกิล กูเกิลระบุว่าจะซื้อหุ้นโมโตโรลาในราคา 40 เหรียญต่อหุ้น คิดเป็นมูลค่าเพิ่มจากมูลค่าตลาดโมโตโรลาถึง 63% จากราคาปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ 12 สิงหาคมที่ผ่านมาที่ตลาดหุ้น New York Stock Exchange

ธุรกิจสมาร์ทโฟนของโมโตโรลาในชื่อบริษัท Motorola Mobility นั้นเน้นทำตลาดสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์รับสัญญาณโทรทัศน์หรือ T.V. set-top box เป็นหลัก การเข้าซื้อโมโตโรลาจะทำให้กูเกิลสามารถควบคุมการผลิตได้ทั้งฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์อุปกรณ์มือถือ ไม่ต่างจากแอปเปิล (Apple) ซึ่งสามารถสร้างสรรค์อุปกรณ์ทั้ง 2 ด้านจนสามารถครองตลาดสมาร์ทโฟนได้แล้วในขณะนี้

นอกจากนี้ อีกหนึ่งแรงกดดันสำคัญที่ทำให้กูเกิลต้องการซื้อโมโตโรลา คือการที่กูเกิลเป็นผู้พัฒนาซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการโทรศัพท์มือถือมาตรฐานเปิดอย่างแอนดรอยด์ (Android) แต่ไม่สามารถครองสิทธิบัตรเทคโนโลยีอุปกรณ์เคลื่อนที่ จนทำให้บริษัทผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์มีความเสี่ยงถูกฟ้องจากผู้ผลิตรายอื่นซึ่งสามารถรวมตัวกันซื้อสิทธิบัตรเทคโนโลยีมากมายจากบริษัทนอร์เทล (Nortel) ได้เมื่อเดือนที่ผ่านมา

อีกจุดที่น่าสนใจคือ การฮุบโมโตโรลาของกูเกิลครั้งนี้ถูกมองว่าเป็นชัยชนะของคาร์ล ไอคาห์น (Carl Icahn) นักลงทุนชื่อก้องซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นรายย่อยที่ใหญ่ที่สุดของโมโตโรลา (ราว 11.36%) ด้วย

กูเกิลวางกรอบเวลาไว้ให้กระบวนการซื้อโมโตโรลาครั้งนี้แล้วเสร็จภายในปี 2011 หรือต้นปี 2012 โดยกูเกิลจะวางจุดยืนให้ Motorola Mobility เป็นธุรกิจที่แยกต่างหากจากกูเกิล

Company Related Link :
Google
Motorola Mobility

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 15 สิงหาคม 2554 20:36 น.

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2554

กลุ่ม Anonymous เตรียมถล่ม Facebook 5 พ.ย. นี้

กลายเป็นเรื่องฮือฮาเมื่อมีวิดีโอนิรนามปรากฎบนเว็บไซต์ยูทูบ ระบุว่ากลุ่มแฮกเกอร์ Anonymous มีแผนทำลายระบบคอมพิวเตอร์ของเครือข่ายสังคมยอดนิยมอย่างเฟซบุ๊กในวันที่ 5 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้ โดยนอกจากยูทูบ แผนถล่มเฟซบุ๊กยังถูกประกาศไว้บนทวิตเตอร์ซึ่งระบุว่าแผนการโจมตีครั้งนี้มีชื่อเรียกว่าปฏิบัติการเฟซบุ๊กหรือ "Operation Facebook"

แน่นอนว่าวิดีโอดังกล่าวอาจเป็นได้ทั้งเรื่องจริงและเรื่องลวง ซึ่งไม่มีข้อมูลใดๆยืนยันว่าทั้งหมดเป็นเจตนารมณ์แท้จริงของกลุ่มนักแฮก Anonymous

หากปฏิบัติการ Operation Facebook เป็นเรื่องจริง โลกจะต้องบันทึกว่ากลุ่ม Anonymous นั้นกำลังเพิ่มบทบาทของตัวเองไปอีกขั้นหลังจากร่วมมือกับกลุ่มนักแฮก LulzSec ในการถล่มระบบคอมพิวเตอร์ของสำนักงานกฎหมายระดับประเทศภายใต้ชื่อโครงการ Antisec เมื่อหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ล่าสุด ปฏิบัติการ Operation Facebook ถูกระบุว่าไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับโครงการ Antisec เนื่องจากเป็นคนละสาเหตุกัน

เนื้อความในวิดีโอปริศนาระบุว่า เหตุที่ทำให้กลุ่ม Anonymous พุ่งเป้าโจมตีที่ Facebook เป็นเพราะกลุ่มพบว่าเฟซบุ๊กนั้นขายความลับของผู้ใช้ให้กับสำนักงานรัฐบาล พร้อมกับเปิดทางให้สำนักงานเหล่านี้สอดแนมผู้ใช้ได้ทุกคนทั่วโลก เพื่อปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้เฟซบุ๊กทุกคน กลุ่มจึงต้องการกำจัดเฟซบุ๊กทิ้งไปแทนที่จะปล่อยให้ชาวออนไลน์ต้องเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว

เนื้อความระบุว่า เฟซบุ๊กเป็นระบบเครือข่ายสังคมที่รู้เรื่องราวส่วนตัวของผู้ใช้มากกว่าที่คนในครอบครัวรู้ โดยในจดหมายแถลงการณ์ปริศนานั้นมีการแสดงลิงก์ของสำนักงาน ACLU ที่ประเมินว่าเฟซบุ๊กนั้นไม่มีการรักษาความเป็นส่วนตัวที่เพียงพอ รวมถึงนานาเสียงวิจารณ์ต่อกรณีที่เฟซบุ๊กดักจับข้อมูลในสมาร์ทโฟนของผู้ใช้ไปโดยไม่ได้รับอนุญาต

สำหรับวันที่ 5 พฤศจิกายนนั้นถือเป็นวัน Guy Fawkes Day วันที่ชาวอังกฤษจะเฉลิมฉลองให้กับความล้มเหลวที่ Guy Fawkes พยายามจะเผารัฐสภาแดนผู้ดีเมื่อปี 1650 ซึ่งกลายเป็นพล็อตเรื่องนิยายกราฟฟิคของ Alan Moore อย่าง V for Vendetta ที่อุดมด้วยเรื่องราวเน้นสาระการเมืองและความแค้นที่ฝังลึกมานาน ตัวเอกของเรื่องหวังต่อต้านอำนาจรัฐ และโค่นล้มรัฐบาลฉ้อฉลเผด็จการเพื่อปลดปล่อยประเทศอังกฤษให้เป็นอิสระ

ที่ผ่านมา หน้ากาก Guy Fawkes ที่ตัวเอกของเรื่อง V for Vendetta ใส่เวลาปฏิบัติภารกิจนั้นถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของกลุ่ม Anonymous มาตลอด ซึ่งแม้จะมีความเป็นไปได้ แต่ก็ยังไม่มีใครฟันธงว่าปฏิบัติการครั้งนี้จะเกิดขึ้นจริงตามเนื้อหาในวิดีโอ โดยวิดีโอดังกล่าวถูกโพสต์ไว้บนยูทูบตั้งแต่วันที่ 16 กรกฎาคมที่ผ่านมา

****

ข้อความต้นฉบับจากวิดีโอข่มขู่เฟซบุ๊ก ขอบคุณข้อมูลจาก pcmag.com :


Attention citizens of the world,

We wish to get your attention, hoping you heed the warnings as follows:

Your medium of communication you all so dearly adore will be destroyed. If you are a willing hacktivist or a guy who just wants to protect the freedom of information then join the cause and kill facebook for the sake of your own privacy.

Facebook has been selling information to government agencies and giving clandestine access to information security firms so that they can spy on people from all around the world. Some of these so-called whitehat infosec firms are working for authoritarian governments, such as those of Egypt and Syria.

Everything you do on Facebook stays on Facebook regardless of your "privacy" settings, and deleting your account is impossible, even if you "delete" your account, all your personal info stays on Facebook and can be recovered at any time. Changing the privacy settings to make your Facebook account more "private" is also a delusion. Facebook knows more about you than your family.

http://www.physorg.com/news170614271.html

http://itgrunts.com/2010/10/07/facebook-steals-numbers-and-data-from-your-iphone/

You cannot hide from the reality in which you, the people of the internet, live in. Facebook is the opposite of the Antisec cause. You are not safe from them nor from any government. One day you will look back on this and realise what we have done here is right, you will thank the rulers of the internet, we are not harming you but saving you.

The riots are underway. It is not a battle over the future of privacy and publicity. It is a battle for choice and informed consent. It's unfolding because people are being raped, tickled, molested, and confused into doing things where they don't understand the consequences. Facebook keeps saying that it gives users choices, but that is completely false. It gives users the illusion of and hides the details away from them "for their own good" while they then make millions off of you. When a service is "free," it really means they're making money off of you and your information.

Think for a while and prepare for a day that will go down in history. November 5 2011, #opfacebook . Engaged.

This is our world now. We exist without nationality, without religious bias. We have the right to not be surveilled, not be stalked, and not be used for profit. We have the right to not live as slaves.

We are anonymous

We are legion

We do not forgive

We do not forget

Expect us

วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

โอละพ่อ ผลทดสอบ "ผู้ใช้ IE ไอคิวต่ำ" โกหกทั้งเพ

กลายเป็นเรื่องกุขึ้นเองสำหรับผลการศึกษาที่พบว่า ผู้ใช้เบราว์เซอร์อินเทอร์เน็ตเอ็กซ์พลอเรอร์ (Internet Explorer : IE) มีระดับสติปัญญาหรือ IQ ที่ต่ำกว่าผู้ใช้เบราว์เซอร์ยี่ห้ออื่น โดยผู้ปล่อยข่าวลวงโลกรับสารภาพว่าไม่มีการสำรวจใดๆและบริษัทวิจัย Aptiquant ก็ไม่มีตัวตนจริง ระบุไม่ตั้งใจดูถูกหรือทำร้ายใคร แต่ต้องการสร้างความตื่นตัวเรื่องความเข้ากันไม่ได้ของเบราว์เซอร์ IE6 เท่านั้น

ในเว็บไซต์ Aptiquant.com บริษัทปลอมซึ่งถูกอุปโลกน์ชื่อว่าเป็นผู้สำรวจระดับ IQ ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตตามเบราว์เซอร์ มีการโพสต์ข้อความสารภาพว่าได้เพิ่งเริ่มสร้างเว็บไซต์ขึ้นเมื่อกรกฎาคมปี 2011 ส่วนบริษัท AptiQuant นั้นไม่มีตัวตนจริง การสำรวจที่บริษัทอ้างมานั้นไม่เคยเกิดขึ้น และทั้งหมดถูกสร้างเพื่อให้เป็นเรื่องตลกเรื่องหนึ่งเท่านั้น

การสารภาพบนบล็อกของ Aptiquant นั้นมีการระบุว่าถูกสร้างโดยเว็บไซต์ AtCheap.com ซึ่งเป็นเว็บไซต์เปรียบเทียบราคาสินค้าที่มีชื่อ Tarandeep Gill ปรากฏอยู่ในรายชื่อผู้ติดต่อของเว็บไซต์แห่งนี้ โดย Gill ได้ให้สัมภาษณ์ยอมรับว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลวงโลก ตามที่สำนักข่าว BBC พบความไม่ชอบมาพากลของบริษัทชื่อแปลกแห่งนี้

สำนักข่าวบีบีซี รายงานเมื่อวันพุธที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมาว่า ภาพพนักงานของเว็บไซต์แห่งนี้เป็นภาพที่ก็อปปี้มาจากเว็บไซต์อื่น โดยภาพต้นฉบับนั้นปรากฎในเว็บไซต์บริษัทวิจัยสัญชาติฝรั่งเศสนาม Central Test แต่มีการเปลี่ยนชื่อไป ซึ่ง Patrick Leguide ผู้ก่อตั้งบริษัท Central Test ระบุว่าไม่ทราบเรื่องมาก่อนจนกระทั่งได้รับคำถามจากผู้สื่อข่าว โดยใน aptiquant.com ระบุชัดจนว่าบริษัทไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆกับ Central Test

ก่อนหน้านี้ ยังมีการตั้งข้อสังเกตว่า โดเมนเนมของบริษัท AptiQuant นั้นเพิ่งถูกจดช่วงเดือน ก.ค. 2011 ถือว่าเร็วเกินไปหากบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการสำรวจ ซึ่งทั้งหมดบีบให้ Gill ออกมายอมรับว่าทั้งหมดเป็นเรื่องลวงที่หวังให้เป็นเรื่องตลกเท่านั้น

Gill ยังระบุด้วยว่า การใช้คำประเภท IQ ต่ำกว่า/ฉลาดน้อยกว่า นั้นไม่ได้มาจากเจตนาเพื่อจะดูถูกใคร แต่คำลักษณะนี้สามารถสร้างความสนใจกับสื่อมวลชนได้ดีกว่า โดยเหตุผลที่ทำให้เขาจงใจสร้างข่าวนี้คือความเข้ากันไม่ได้ของ IE6 นั้นเป็นสิ่งที่ขัดขวางนวัตกรรมใหม่บนโลกเว็บไซต์ ซึ่งทำให้ข่าวนี้เน้นโจมตี IE มากเหลือเกิน

Company Related Link :
Aptiquant

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 4 สิงหาคม 2554 12:47 น.