วันพุธที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2554

"ริม" ลุ้นหนีตาย

ริม (Research in Motion : RIM) คอตกกำไรไตรมาสล่าสุดหายไปเกือบครึ่ง แถมยอดจำหน่ายแท็บเล็ตบีบีนามเพลย์บุ๊ก (PlayBook) ยังพลาดเป้าไปเกือบ 5 แสนเครื่อง เบื้องต้นคาดริมกำลังเตรียมแผนหนีตายด้วยการประกาศหั่นราคาเพลย์บุ๊กลงตามรอยแท็บเล็ตแบรนด์อื่น

***ริมกำไรลดฮวบ 47%

ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนฮิตแบล็กเบอรี่ (บีบี) ประกาศผลประกอบการประจำไตรมาส 2 ปีการเงิน 2011 ของริม (มิถุนายน-สิงหาคม 2011) ปรากฏว่ากำไรของริมลดลงถึง 47% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อน ขณะที่รายได้รวมก็น้อยลง 15% เมื่อเทียบกับไตรมาสต้นปี

ริมประกาศว่ากำไรไตรมาสที่ผ่านมาของบริษัทมีมูลค่า 497 ล้านเหรียญ (ประมาณ 1.49 หมื่นล้านบาท) ลดลงจากที่ริมเคยทำได้ 797 ล้านเหรียญเมื่อปีที่แล้ว (ราว 2.39 หมื่นล้านบาท) รายได้รวมตลอด 3 เดือนคือ 4,200 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นสัดส่วนน้อยกว่าไตรมาสก่อนหน้าราว 15% แต่คิดเป็นสัดส่วนลดลง 10% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันปี 2010

เฉพาะตัวเลขเงินสดสำรอง ริมประกาศว่าลดลงเหลือ 1,400 ล้านเหรียญหลังจากที่ริมต้องส่งเงิน 1,500 ล้านเหรียญให้บริษัทอเมริกันอย่าง Nortel ในเรื่องลิขสิทธิเทคโนโลยี

ทั้งหมดนี้ จิม บาลซิลลี (Jim Balsillie) ซีอีโอร่วมของริมระบุว่า ริมยังสามารถไปได้ดีกับสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการใหม่ BlackBerry 7 ในทุกตลาดทั่วโลก โดยสามารถจัดส่งสมาร์ทโฟนบีบีได้ราว 10.6 ล้านเครื่องตลอด 3 เดือนที่ผ่านมา แต่ยอมรับว่ายอดจัดส่งสินค้าของริมนั้นน้อยลงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า เบื้องต้นคาดว่าจะต้องใช้เวลาในการผลักดัน BlackBerry 7 สู่ตลาดองค์กร ก่อนที่ริมจะนำระบบปฏิบัติการ QNX มาใช้ในบีบีรุ่นถัดไป

สำหรับแท็บเล็ตแบรนด์บีบีอย่างเพลย์บุ๊ก ผู้บริหารริมระบุว่าสามารถจำหน่ายจัดส่งไปได้เพียง 200,000 เครื่องในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา น้อยกว่าช่วงไตรมาสก่อนหน้าที่จัดส่งไปราว 500,000 เครื่อง ทำให้รายได้หลักของริมมาจากสมาร์ทโฟนบีบีระบบปฏิบัติการ BlackBerry 7 สะท้อนความต้องการในตลาดที่ยังมีอยู่ต่อเนื่อง

***อาจหั่นราคาเพลย์บุ๊ก

ความเป็นไปได้ในการลดราคาเพลย์บุ๊กเพื่อระบายสินค้าคงคลังของริมถูกตีความจากคำพูดของไมค์ ลาซาริดิส (Mike Lazaridis) ซีอีโอร่วมอีกรายของริม ซึ่งระบุว่าริมกำลังจะสร้างสรรค์โครงการพิเศษสำหรับลูกค้ากลุ่มธุรกิจเพื่อผลักดันยอดขายแท็บเล็ตของริมแบบก้าวกระโดด จุดนี้สื่อต่างประเทศเชื่อว่าริมอาจปรับลดราคาจำหน่ายเพลย์บุ๊กลงตามรอยเอชพี (Hewlett-Packard) ซึ่งหั่นราคาแท็บเล็ตของตัวเองอย่างทัชแพด (TouchPad) ลงเหลือราคาเริ่มต้นที่ 99 เหรียญ (ราว 3,000 บาท) หลังจากประกาศแผนเลิกพัฒนาทัชแพดรุ่นต่อไปอย่างเป็นทางการ

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีการเปิดเผยความคืบหน้าของแผนลดราคาแท็บเล็ตบีบีในขณะนี้ โดยในร้านออนไลน์ของริม เพลย์บุ๊กยังคงวางจำหน่ายในราคาเริ่มต้น 499 เหรียญ (สำหรับรุ่น 16GB) ขณะที่รุ่น 32GB ราคา 599 เหรียญ และรุ่น 64GB ราคา 699 เหรียญ

ยอดจัดส่งเพลย์บุ๊ก 200,000 เครื่องถือเป็นตัวเลขที่น่าเป็นห่วงเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตเจ้าตลาดอย่างไอแพด (iPad) โดยไตรมาสที่ผ่านมา แอปเปิลระบุว่าสามารถจำหน่ายไอแพด 2 ได้มากถึง 9.25 ล้านเครื่อง ที่น่าสนใจคือตัวเลขดังกล่าวเป็นตัวเลขจำหน่ายจริงสู่มือผู้ใช้ ไม่ใช่ยอดจัดส่งที่แปลว่าอาจมีบางสินค้าค้างอยู่ในสต็อคเพื่อรอการจำหน่ายต่อไป

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ธุรกิจแท็บเล็ตของริมนั้นมีโอกาสเป็นต่อในอนาคต โดยเฉพาะเมื่อริมสามารถเปิดตัวสมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการ QNX ในปี 2012 เพลย์บุ๊กซึ่งใช้ระบบปฏิบัติการเดียวกันจะมีโอกาสกลายเป็นกระแสอีกครั้ง สำหรับความเป็นไปได้ว่าริมจะลดราคาเพลย์บุ๊กลงเท่าใดนั้นยังไม่มีข้อสรุป เบื้องต้นคาดว่าจะอยู่ที่ราว 150 เหรียญสหรัฐ ตามที่ร้านเบสต์บาย (Best Buy) ยักษ์ใหญ่ค้าปลีกอเมริกันเคยจัดโปรโมชันลดราคาเพลย์บุ๊กลง 50-150 เหรียญในช่วงวันแรงงานอเมริกันเมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา

ครั้งนั้น เบสต์บายตั้งใจระบายเพลย์บุ๊กรุ่น 64GB ซึ่งเป็นรุ่นที่ถูกลดราคาลงมากที่สุด โดยลดเหลือ 549.99 เหรียญ จากเดิมราคา 700 เหรียญ ขณะที่รุ่น 16GB ถูกลดราคาลง 50 เหรียญเหลือ 449.99 เหรียญ เช่นเดียวกับรุ่น 32GB ที่จะลดราคา 50 เหรียญเหลือ 549.99 เหรียญ

สำหรับไตรมาสปัจจุบัน ริมเชื่อว่ายอดขายรวมจะมีอัตราเติบโต 27-30% บนยอดขายรวมที่คาดว่าจะทะลุ 5,300-5,600 พันล้านเหรียญสหรัฐ ด้วยตัวเลขยอดจำหน่ายสมาร์ทโฟนแบล็กเบอร์รี่ 13.5-14.5 ล้านเครื่อง

Company Related Link :
RIM

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 19 กันยายน 2554 07:59 น.

เปิดแผนดิ้น"อินเทล" บทสรุปจากงาน IDF 2011

ในเมื่ออินเทลคือยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตชิปหน่วยประมวลผลสำหรับคอมพิวเตอร์พีซี การที่โลกทุกวันนี้กำลังถูกแท็บเล็ตและสมาร์ทโฟนขโมยซีนจากพีซีทำให้อินเทลต้องเป็นฝ่ายลุกขึ้นมาปฏิวัติตัวเองเพื่อหาที่ยืนในอุตสาหกรรมอุปกรณ์อัจฉริยะเคลื่อนที่ให้ได้ กลศึกหลายชั้นของอินเทลจึงถูกประกาศกลางงานประชุมนักพัฒนา IDF 2011 ที่ซานฟรานซิสโกตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา เพื่อให้โลกรับรู้ว่าอินเทลไม่ได้ก้มหน้ารอชะตากรรมใน"ยุคหลังพีซี" แต่กำลังหาทางดิ้นรนบนเดิมพันคือเก้าอี้เจ้าตลาดชิปหน่วยประมวลผลโลก

งานนี้อินเทลยังคงชู"อัลตร้าบุ๊ก"ในฐานะคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กบางเฉียบที่มี"หน่วยประมวลผลที่สมบูรณ์แบบที่สุด" ขณะเดียวกันก็เปิดตัวโปรเซสเซอร์ “Haswell" ซึ่งการันตีว่ากินไฟต่ำกว่าชิปรุ่นอื่นของอินเทลกว่า 20 เท่าเมื่ออยู่ในโหมดสแตนด์บายพร้อมใช้งาน โดยชิปนี้กำลังอยู่ในช่วงของการพัฒนาเพื่อเปิดตัวในปี 2013

อินเทลนั้นคุยฟุ้งในงานว่า ชิปตระกูล "คอร์ โปรเซสเซอร์" เจเนอเรชัน 2 ปัจจุบันนั้นมีสถิติการจำหน่ายที่เร็วที่สุดในประวัติศาสตร์อินเทล โดยจนถึงปัจจุบันอินเทลสามารถจำหน่ายโปรเซสเซอร์ไปแล้วกว่า 75 ล้านตัว จุดนี้อินเทลการันตีว่าชิปคอร์โปรเซสเซอร์ยุคหน้าที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตขนาด 22 นาโนเมตร จะให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด และมีสมรรถนะที่ดีขึ้นทั้งในด้านประหยัดพลังงาน กราฟิกและมีเดีย คาดว่าจะพร้อมวางตลาดในอัลตร้าบุ๊กและพีซีช่วงปี 2012

ที่สำคัญ อินเทลและยักษ์ใหญ่บริษัทรักษาความปลอดภัยอย่างแมคอาฟี ยังประกาศความร่วมมือกันพัฒนาโซลูชันป้องกันการโจรกรรมข้อมูลสำหรับอัลตร้าบุ๊ก กำหนดการจำหน่ายคือปี 2012 เชื่อว่าคุณสมบัติด้านความปลอดภัยที่มีอยู่ในตัวเครื่องจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกมั่นใจและใช้งานอัลตร้าบุ๊กอย่างสบายใจ

***ยกพลเทคโนฯใหม่

ต้องยอมรับว่างาน IDF 2011 ครั้งนี้เป็นเวทีเปิดตัวกองทัพเทคโนโลยีของอินเทลแบบเต็มพิกัด ทั้งการเปิดตัว 'Claremont' แนวคิดการทำงานชิปหน่วยประมวลผลใหม่จากสถาบันวิจัย Intel Labs, การเปิดตัวหน่วยความจำ SSD 710 สำหรับใช้งานในศูนย์ข้อมูลหรือดาต้าเซ็นเตอร์ขององค์กร รวมถึงการสาธิต 3 ต้นแบบพีซีอินเทลที่ใช้พอร์ตข้อมูลความเร็วสูงของแอปเปิลอย่าง Thunderbolt, พีซีพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิปใหม่ Haswell รวมถึงแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield จากอินเทล

Claremont นั้นเป็นชื่อรหัสของแนวคิดชิปใหม่ Near Threshold Voltage Processor ของอินเทล แนวคิดนี้อิงจากทฤษฎีการใช้วงจรไฟฟ้าที่มีกำลังไฟต่ำพิเศษจนสามารถลดการใช้พลังงานได้แบบก้าวกระโดด อินเทลระบุว่ากำลังพัฒนาให้ Claremont ต้องการกำลังไฟต่ำกว่า 10 มิลลิวัตต์ เพื่อให้สามารถใช้พลังงานจากแผงเซลล์ไฟฟ้าแสงอาทิตย์ขนาดเล็กเท่าสแตมป์ได้ ซึ่งหากทำได้จริง อินเทลจะนำแนวคิดนี้ไปใช้กับหลายผลิตภัณฑ์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะช่วยลดการผลาญพลังไฟของอุปกรณ์ไอทีมากกว่าเกิน 5 เท่าตัว

สำหรับ SSD 710 นั้นถูกอินเทลตั้งชื่ออย่างเป็นทางการว่า Lyndonville เป็นผลิตภัณฑ์หน่วยความจำสำหรับศูนย์ข้อมูลองค์กรที่อินเทลเตรียมมาทำตลาดแทนรุ่น X25-E Extreme ตัว SSD 710 มาพร้อมหน่วยความจำแฟลชเทคโนโลยีการผลิต 25 นาโนเมตรทำให้องค์กรสามารถเข้าถึงและจัดการข้อมูลในดาต้าเซ็นเตอร์ได้เร็วกว่าเดิม มีกำหนดวางตลาดในเดือนกันยายนนี้ในราคาเริ่มต้น 649 เหรียญ (สำหรับการสั่งซื้อรุ่น 100GB จำนวน 1,000 ชิ้นขึ้นไป)

1 ใน 3 พีซีที่อินเทลนำมาโชว์ตัวในงานนี้คือ พีซีที่มาพร้อมพอร์ตเชื่อมต่อข้อมูลความเร็วสูง Thunderbolt I/O ซึ่งอินเทลและแอปเปิลมีความร่วมมือในการพัฒนาด้วยกัน สมรรถนะหลักคือการช่วยให้อุปกรณ์บันทึกและจัดเก็บสื่อข้อมูลต่างๆ ทำงานด้วยความเร็วสูงกว่าพอร์ต USB 2.0 ทั่วไป

จุดนี้ต้องยกความดีให้อินเทลในฐานะผู้ทำให้พอร์ต Thunderbolt I/O สามารถติดตั้งในคอมพิวเตอร์ที่ไม่ใช่แมคอินทอชได้ ซึ่งแม้ในงาน Mooly Eden รองประธานและผู้จัดการทั่วไปกลุ่มธุรกิจพีซีไคลเอนท์จะไม่ระบุว่าพีซีพร้อมพอร์ต Thunderbolt I/O จะวางตลาดได้เมื่อไร แต่ก็มีการยืนยันว่าผู้ผลิตอย่าง Acer และ ASUS จะพร้อมเปิดตลาดพีซี Thunderbolt I/O ได้ในปี 2012

อีกอุปกรณ์ต้นแบบที่เรียกเสียงฮือฮาในงานคือพีซีระบบพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใช้ชิป Haswell โดยอินเทลระบุว่า Haswell จะถูกพัฒนาบนเทคโนโลยีการผลิต 22 นาโนเมตรเช่นเดียวกับ Ivy Bridge แต่สามารถประหยัดพลังงานลงได้กว่า 20 เท่าเมื่อเทียบกับการออกแบบปกติ คาดว่าจะทำให้อัลตร้าบุ๊กสามารถเปิดการทำงานโหมดสแตนด์บายต่อเนื่องนาน 10 วันได้ภายในปี 2013

ยังมีแท็บเล็ตแอนดรอยด์ที่ใช้ชิป Medfield ของอินเทล ซึ่งอินเทลการันตีว่านับจากนี้ชิปอินเทลจะสามารถใช้งานได้ดีกับอุปกรณ์พกพาระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ รองรับแพลตฟอร์มการทำงานหลายรูปแบบ โดยไม่มีการเปิดเผยรายละเอียดกำหนดการทำตลาดแต่อย่างใด

***ลุยอัลตร้าบุ๊กปีนี้

ผลิตภัณฑ์อัลตร้าบุ๊กรุ่นแรกซึ่งอินเทลเชื่อว่าจะพร้อมออกสู่ตลาดในช่วงวันหยุดปลายปี 2011 นี้จะเป็นรุ่นที่ใช้ชิปอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 2 โดยจะมีดีไซน์ของรูปทรงที่บางเบา พร้อมใช้เกือบจะทันทีหลังออกจากการพักเครื่องในระดับที่ลึกที่สุด ซึ่งเป็นผลจากคุณสมบัติของเทคโนโลยี Intel Rapid Start ขณะเดียวกันก็คาดว่าจะสามารถสร้างประสบการณ์ใหม่ในการรับชมภาพของผู้ใช้ ซึ่งเป็นผลจากสมรรถนะที่ดีขึ้นของกราฟิกที่อยู่ในโปรเซสเซอร์

แต่อัลตร้าบุ๊กรุ่นถัดไปในปีหน้าจะใช้โปรเซสเซอร์ในตระกูลอินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชัน 3 คือ Ivy Bridge ซึ่งมีสมรรถนะด้านประสิทธิภาพและการประหยัดไฟ ชิปเจเนอเรชันใหม่พร้อมอัลตร้าบุ๊กรุ่นหน้า คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ในครึ่งปีแรกของปี 2012

ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้บริโภคใช้อัลตร้าบุ๊กได้อย่างมั่นใจ อินเทลตัดสินใจเพิ่มคุณสมบัติพิเศษในส่วนของระบบรักษาความปลอดภัย อาทิเช่น เทคโนโลยี Intel Identity Protection และ Intel Anti-Theft เพื่อป้องการการโจรกรรมข้อมูลจากเครื่อง และเพื่อเป็นการต่อยอดคุณสมบัติของระบบความปลอดภัยที่มีอยู่เดิมให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยอินเทลประกาศร่วมมือกับแมคอาฟี พัฒนาบริการ McAfee anti-theft สำหรับอัลตร้าบุ๊ก ซึ่งสามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์รุ่นถัดไปของทั้งอัลตร้าบุ๊ก โน้ตบุ๊กและเดสก์ท็อป

ในปี 2012 โซลูชันแมคอาฟีจะเป็นโซลูชันแรกที่สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีต่างๆที่อยู่ในตัวชิปของอินเทล และจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเก็บรักษาข้อมูลในตัวอุปกรณ์ให้กับผู้บริโภค เช่น การล็อคอุปกรณ์ การลบข้อมูล และ การค้นหาตำแหน่ง เป็นต้น

อินเทลย้ำว่าวิสัยทัศน์ของอัลตร้าบุ๊กนั้นเป็นแผนระยะยาว และเป็นความพยายามในระดับอุตสาหกรรมโดยแบ่งการพัฒนาออกเป็นสามระยะ

"ระยะที่หนึ่งเป็นการเปิดตัวอัลตร้าบุ๊กรุ่นแรก ซึ่งขณะนี้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ และสามารถจำหน่ายได้ตั้งแต่ช่วงเทศกาลวันหยุดปลายปีนี้เป็นต้นไป ระยะที่สองจะเริ่มขึ้นด้วยการเปิดตัวของ อินเทล คอร์ โปรเซสเซอร์ เจเนอเรชั่น 3 ภายในครึ่งแรกของปี 2012 ส่วนในระยะสุดท้ายนั้น จะเป็นการเปิดตัวชิป Haswell ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิตแบบ 22 นาโนเมตร เพื่อตอกย้ำการเปลี่ยนแปลงจากการใช้คอมพิวเตอร์แบบเดิมมาสู่อัลตร้าบุ๊ก" ผู้บริหารอินเทล เปิดเผย

Company Related Link :
Intel

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 17 กันยายน 2554 00:39 น.

ไมโครซอฟท์ร่วมวงแอปเปิลคว่ำบาตร "Flash"

ดูเหมือนว่าอนาคตของรูปแบบไฟล์ภาพเคลื่อนไหวนามสกุลแฟลช (Flash) ในตลาดอุปกรณ์พกพานั้นมีความเสี่ยงถูกหรี่แสงลงเรื่อยๆ เพราะยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการระดับโลกทยอยไม่สนับสนุนแฟลชอย่างชัดเจน โดยไมโครซอฟท์ยอมรับว่าระบบปฏิบัติการวินโดวส์เวอร์ชันใหม่ล่าสุด "วินโดวส์ 8 (Windows 8)" เวอร์ชันมุมมอง Metro View สำหรับอุปกรณ์แท็บเล็ตหน้าจอทัชสกรีนนั้นจะไม่รองรับแฟลชและโปรแกรมลูกเล่นเสริม (plug-in) อื่นๆ ถือเป็นการเดินตามรอยคู่แข่งอย่างแอปเปิลซึ่งตั้งใจคว่ำบาตรให้อุปกรณ์พกพาทั้งไอโฟน ไอแพด และไอพ็อดทัชไม่รองรับแฟลชมาตลอด

Dean Hachamovitch หัวหน้าทีมพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ไออี (Internet Explorer) ประกาศชัดเจนว่า Windows 8 เวอร์ชันมุมมอง Metro View จะรองรับมาตรฐานเว็บไซต์ HTML5 เท่านั้น โดยหากมีการเปิดเว็บไซต์ที่มีรูปแบบไฟล์เคลื่อนไหวอื่นอย่าง ActiveX ระบบปฎิบัติการจะส่งผู้ใช้ออกจากมุมมอง Metro ไปยังมุมมองคลาสสิกสไตล์คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะดั้งเดิมแทน

Hachamovitch อธิบายเหตุผลในการพัฒนาเบราว์เซอร์ IE เวอร์ชันสำหรับอุปกรณ์หน้าจอสัมผัสที่ไม่รองรับแฟลชและโปรแกรมเสริมอื่นๆว่าต้องการยกระดับการยืดอายุแบตเตอรี่เครื่องและความปลอดภัย รวมถึงความเสถียรและปกป้องความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้งาน ซึ่งเป็นเหตุผลเดียวกับแอปเปิลที่ไม่สนับสนุนแฟลชในสินค้าตระกูลพกพาของตัวเอง

“การทำให้เบราว์เซอร์เข้ากันได้กับเทคโนโลยี plug-in เดิมๆนั้นจะลดค่าประสบการณ์ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตบนวินโดวส์ 8 หน้าโปรแกรมแบบ Metro ลง มากกว่าที่จะพัฒนาขึ้น” Hachamovitch ระบุในบล็อกของไมโครซอฟท์

แน่นอนว่าเรื่องนี้ บริษัทอโดบี (Adobe) ซึ่งเป็นเจ้าของเทคโนโลยีแฟลชนั้นออกมาปกป้องแฟลชในทันที โดยระบุว่าแม้อุปกรณ์พกพาของไมโครซอฟท์จะไม่รองรับแฟลช แต่คอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะและโน้ตบุ๊กก็จะยังรอบรับแฟลชได้อยู่ดี เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้แฟลชสามารถอยู่ยงในสังเวียนมาตรฐานเว็บได้ต่อไป

“เราคาดว่าคอมพ์ตั้งโต๊ะระบบปฏิบัติการวินโดวส์จะได้รับความนิยมต่อเนื่องอีกหลายปี ซึ่งคอมพ์เหล่านี้จะสนับสนุนแฟลชได้ ทั้งเกมออนไลน์และวิดีโอที่พัฒนาบนเทคโนโลยีแฟลช” ตามคำกล่าวของผู้บริหารอโดบีในรายงานของ Wired.com

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
นี่ถือเป็นอีกขวากหนามของเทคโนโลยีอโดบีในวงการอุปกรณ์พกพา ก่อนหน้านี้ แฟลชถูกแอปเปิลสั่งแบนแบบต่อเนื่องในระบบปฏิบัติการสำหรับอุปกรณ์พกพาของแอปเปิล จนล่าสุด แอปเปิลตัดสินใจไม่สนับสนุนแฟลชทั้งในสินค้ากลุ่มคอมพิวเตอร์พกพาอย่าง MacBook Air รุ่นปี 2010 ซึ่งทำให้คอมพ์พกพาหน้าจอ 11 นิ้วนี้มีแบตเตอรี่เพิ่มขึ้นอีก 2 ชั่วโมง

อย่างไรก็ตาม ยักษ์ใหญ่อย่างกูเกิลก็ยังพัฒนาให้แอนดรอยด์ (Android) สามารถรองรับแฟลชต่อเนื่องในปัจจุบัน (นับตั้งแต่เวอร์ชัน 2.2 หรือ Froyo) ทำให้สมาร์ทโฟนระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์หลากรุ่นในท้องตลาดสามารถแสดงผลแฟลชได้เหมือนเครื่องคอมพิวเตอร์ แม้จะทำได้ไม่ดีนักเพราะแฟลชนั้นต้องการทรัพยากรสูงในการทำงาน ทั้งหมดนี้นักวิเคราะห์เชื่อว่ายังไม่ชัดเจนว่าแอนดรอยด์จะยังรองรับแฟลชต่อไปหรือไม่ เพราะแฟลชคือ 1 ในจุดขายที่สำคัญของแอนดรอยด์ ขณะเดียวกันแฟลชก็ทำให้แท็บเล็ตแอนดรอยด์ไม่เร็วทันใจเหมือนแท็บเล็ตแบรนด์อื่น

นอกจากนี้ ยังมีระบบปฏิบัติการคิวเอ็นเอ็กซ์ (QNX) ในแท็บเล็ตตระกูลบีบีอย่างเพลย์บุ๊ก (BlackBerry PlayBook) ที่สามารถรองรับแฟลชได้อย่างไร้ที่ติ ซึ่งการทดลองโดย Wired.com พบว่าเกมและเว็บไซต์แฟลชนั้นสามารถทำงานบนเพลย์บุ๊กได้ดีที่สุดเมื่อเทียบกับแท็บเล็ตแบรนด์อื่น

ข่าวนี้ถือเป็นอีกหนึ่งชัยชนะของ HTML5 ซึ่งกำลังมาแทนที่มาตรฐานภาพเคลื่อนไหวอย่าง Adobe Flash ปัจจุบันมาตรฐาน HTML5 ถูกใช้ในบริการวิดีโอสตรีมมิ่งเพื่อการดูวิดีโอออนไลน์แบบลื่นไหลบนไอแพด โดยการสำรวจประจำเดือนมีนาคมที่ผ่านมา พบว่าวิดีโอบนเว็บไซต์ทั้วโลกกว่า 63% นั้นรองรับมาตรฐาน HTML5 ทั้งสิ้น สวนทางกับแฟลชซึ่งกำลังลดบทบาทลง

และแม้แฟลชจะลดบทบาทลง แต่อโดบีก็ไม่ได้ยอมลดบทบาทตาม โดยกำลังพัฒนาเครื่องมือแปลงไฟล์แฟลชให้รองรับมาตรฐาน HTML5 ในชื่อ Edge ซึ่งกำลังเปิดให้นักพัฒนาทดสอบอยู่ในขณะนี้ ขณะเดียวกันยังมีแพลตฟอร์มการทำงานใหม่ Adobe AIR เพื่อให้นักพัฒนาสามารถใช้ไฟล์แฟลชและเครื่องมืออื่นในการพัฒนาเว็บแอปพลิเคชันแบบสแตนอโลนเพื่อใช้ในอุปกรณ์พกพาด้วย

Company Related Links :
Adobe
Apple
Microsoft

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 16 กันยายน 2554 10:44 น.

วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554

"กูเกิ้ล"เดินเครื่องบรอดแบนด์ 1 กิกะไบต์ต่อวินาที พลิกโฉมอนาคตโลกไซเบอร์

โลกไซเบอร์กำลังจะพลิกโฉมหน้า เมื่อกูเกิ้ล เริ่มเดินเครื่องทดสอบบริการเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่สุดในโลก 1 กิกะไบต์ต่อวินาที กลุ่มผู้โชคดีที่ได้ลิ้มรสชาติความรวดเร็วทันใจในการดาวน์โหลดข้อมูลก่อนใครเพื่อนคือประชากรในย่านซิลิกอน แวลเลย์ ถิ่นอุตสาหกรรมไอทีของโลก ในรัฐแคลิฟอร์เนีย และย่านมหา วิทยาลัยสแตนฟอร์ด สถาบันที่ผู้ก่อตั้งกูเกิ้ลเป็นศิษย์เก่า

ปกติอัตราความเร็วบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ในต่างประเทศจะอยู่ที่ 300 Mbps หรือเมกะไบต์ต่อวินาที ส่วนการอัพโหลดข้อมูลขึ้นไปจะใช้ความเร็ว 150 Mbps ขณะที่การดาวน์โหลดผ่านสายเคเบิล ความเร็วอยู่ที่ 13 Mbps เท่านั้น แต่จากความเร็วใหม่ล่าสุดของกูเกิ้ล การดาวน์โหลดตัวอย่างภาพยนตร์ความละเอียดสูงขนาด 95 เมกะไบต์ จะใช้เวลาเพียง 9 วินาที

บริการอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงที่เป็นก้าวย่างสำคัญที่การใช้งานเครือข่ายคอมพิวเตอร์ตามบ้านเรือนจะเปลี่ยนจากเส้นลวดทองแดงและสายโทรศัพท์มาสู่เคเบิล ใยแก้วนำแสง เกิดขึ้นกับอาคารของมหาวิทยาลัยจำนวน 850 หลังและจะไม่คิดค่าบริการในปีแรก

มาร์ติน คาร์โนอี้ อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ของสแตนฟอร์ดซึ่งปกติมักจะต้องส่งและรับไฟล์ข้อมูลขนาดใหญ่ 20 MB หรือใหญ่กว่านั้นจากคอมพิวเตอร์ที่บ้าน กล่าวว่า "ที่ผ่านมาผมต้องคอยนานหลายนาทีในการส่งหรือรับไฟล์ผ่านเอทีแอนด์ที บรอดแบนด์ที่ใช้อยู่ แต่เดี๋ยวนี้ใช้เวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่ต้องคอยอีกแล้ว"

ด้านอีริก ชมิดต์ ผู้บริหารของกูเกิ้ล กล่าวว่า สหรัฐจะต้องมีเครือข่ายอินเตอร์เน็ตความเร็วสูงใช้อย่างทั่วถึง เพราะบรอดแบนด์เป็นตัวขับเคลื่อนหลักในการจ้างงานใหม่และธุรกิจ

ทั้งนี้ คณะกรรมาธิการการสื่อสารว่าด้วยแผนการวางโครงข่ายบรอดแบนด์แห่งชาติมีเป้าหมายจะขยายการใช้งานอินเตอร์เน็ตบรอดแบนด์ไปยังบ้านทุกหลังในสหรัฐ ให้บริการประชากร 100 ล้านคน ด้วยความเร็ว 100 Mbps ภายในปี 2563