วันพุธที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แอปเปิลแถลงการณ์แจงประเด็นกล้องดิจิตอล “flare สีม่วง” ใน iPhone 5

หลังจากส่งจดหมายแจ้งผู้ใช้ไอโฟน 5 (iPhone 5) ที่ร้องเรียนปัญหา “รัศมีสีม่วง” หรือวงแสงสีม่วงไม่พึงประสงค์ในภาพถ่ายจากกล้องดิจิตอลของไอโฟนรุ่นล่าสุด โดยโยนว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นจากวิธีการถือเครื่องเพื่อถ่ายภาพของผู้ใช้เอง ไม่ใช่ปัญหาด้านเทคนิคของไอโฟน 5 ล่าสุดแอปเปิลตอกย้ำคำตอบนี้ด้วยการออกแถลงการณ์แนะนำผู้ใช้ไอโฟน 5 อย่างเป็นทางการ รวมถึงวิธีควรปฏิบัติเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิด flare หรือวงแสงในภาพจากไอโฟน 5
      
       flare คือแถบหรือแนวจุดสว่างที่ปรากฏบนภาพถ่าย สาเหตุการเกิด flare คือแสงจากแหล่งกำเนิด เช่น ดวงอาทิตย์หรือหลอดไฟฟ้า ส่องกระทบเข้าหน้าเลนส์ในมุมที่เหมาะสม แล้วสะท้อนกับผิวแก้วชิ้นเลนส์หรือวัตถุอื่นๆ ที่อยู่ในเลนส์ ไปตกลงบนอุปกรณ์รับภาพ เรื่องนี้ตากล้องมืออาชีพทั่วโลกรู้กันดีว่า flare สามารถบรรเทาได้ด้วยการสวมหน้ากากกันแสงหน้าเลนส์หรือฮูด (hood) ให้กล้อง ซึ่งขณะนี้ชาวออนไลน์กำลังล้อเลียนว่าผู้ใช้ iPhone 5 อาจต้องใช้ฮูดหากต้องการถ่ายภาพ
      
       ปัญหา flare สีม่วงในภาพจากกล้องไอโฟน 5 นั้นแพร่สะพัดในโลกออนไลน์ช่วงต้นเดือนตุลาคมที่ผ่านมา หลังจากไอโฟน 5 เริ่มจำหน่ายช่วงเดือนกันยายน เจ้าของเครื่องหลายรายพร้อมใจร้องเรียนว่าพบ Flare สีม่วงเกิดขึ้นในภาพถ่ายมากมาย มีการนำภาพถ่ายมุมเดียวกันของไอโฟน 4S มาเปรียบเทียบก็พบว่าไม่เป็นปัญหาใด

เรื่องนี้ตัวแทน AppleCare ศูนย์ดูแลลูกค้าหลังการขายของแอปเปิลส่งอีเมลชี้แจงผู้ใช้ที่ร้องเรียนต่อแอปเปิลเป็นลายลักษณ์อักษรว่า flare สีม่วงที่เกิดขึ้นนั้นเป็นเรื่องปกติของกล้องดิจิตอลในอุปกรณ์ใดๆ โดยอ้างข้อมูลจากทีมวิศวกรแอปเปิล แนะนำให้ผู้ใช้ถือไอโฟน 5 โดยหันกล้องออกจากแหล่งกำเนิดแสงขณะถ่ายภาพ
      
       ขณะนี้แอปเปิลตอกย้ำคำตอบเดิมด้วยการออกแถลงการณ์แนะนำผู้ใช้ไอโฟน 5 อย่างเป็นทางการ โดยระบุว่าการหันกล้องออกจากแหล่งกำเนิดแสงนั้นเป็นสิ่งที่ผู้ใช้ไอโฟนทุกรุ่น รวมถึงผู้ใช้อุปกรณ์ที่ติดตั้งกล้องดิจิตอลขนาดเล็กควรทำ
      
       “กล้องดิจิตอลขนาดเล็กส่วนใหญ่ซึ่งติดตั้งในไอโฟนทุกรุ่นนั้นมีโอกาสเกิด flare เมื่อผู้ใช้ถ่ายภาพใกล้แหล่งกำเนิดแสง การเปลี่ยนตำแหน่งกล้องเพื่อให้องศาของแสงเปลี่ยนมุมไป จะช่วยลดหรือกำจัดปัญหา flare ได้”
      
       การตอบปัญหาลักษณะนี้ถือเป็นแนวทางเดียวกับหลายปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ใช้ไอโฟน ก่อนหน้านี้ ฟิล สคิลเลอร์ (Phil Schiller) รองประธานอาวุโสฝ่ายการตลาดของแอปเปิลเคยเป็นข่าวเมื่อครั้งส่งอีเมลตอบปัญหาไอโฟน 5 มีรอยขูดขีดและถลอกง่าย

ผู้ใช้ไอโฟน 5 สีดำหลายรายระบุว่าพบปัญหาสีดำที่เคลือบบนฝาอะลูมิเนียมของไอโฟน 5 หลุดถลอกออกจนเห็นสีเงินตามแนวขูดขีด ผู้บริหารแอปเปิลรายนี้ได้ชี้แจงว่าสินค้าอะลูมิเนียมทุกชนิดล้วนมีโอกาสเกิดรอยถลอกจนเห็นผิวสีเงินของอะลูมิเนียมเนื้อใน ดังนั้นถือเป็นเรื่องปกติของการใช้งาน
      
       อย่างไรก็ตาม คำตอบลักษณะนี้กลับทำให้รอยบาปของแอปเปิลกรณีปัญหาเสาสัญญาณในไอโฟน 4 ถูกนำมาวิจารณ์อีกครั้ง เพราะครั้งนั้นแอปเปิลยืนยันว่าผู้ใช้ถือจับเครื่องอย่างผิดวิธีเอง โดยโยนบาปว่าผู้ใช้ไม่ควรถือจับโทรศัพท์โดยนำอุ้งมือไปปิดบังบริเวณมุมขวาของเครื่อง ซึ่งจะทำให้เสาสัญญาณที่ติดตั้งในบริเวณนั้นไม่สามารถทำงานได้ดีเท่าที่ควร
      
       คำตอบในครั้งนั้นถูกวิจารณ์อย่างหนัก จนแอปเปิลต้องออกแถลงการณ์รับผิดและยอมเปลี่ยนแปลงตำแหน่งติดตั้งเสาสัญญาณในเครื่องใหม่ ซึ่งทำให้ผู้ใช้ที่ถนัดทั้งซ้ายและขวาสามารถถือจับเครื่องได้ตามถนัด
      
       สำหรับความคืบหน้าของไอโฟน 5 ในช่วงก่อนหน้านี้ คือคู่แข่งสัญชาติเกาหลีอย่างซัมซุง (Samsung) แสดงท่าทีพร้อมโจมตีไอโฟน 5 โดยลงมือเพิ่มชื่อไอโฟนรุ่นล่าสุดลงในสำนวนฟ้องคดีสิทธิบัตรซึ่งซัมซุงยังมีคดีความค้างกับแอปเปิลในชั้นศาลหลายประเทศ ทั้งหมดนี้ซัมซุงระบุว่าเป็นการตัดสินใจเพื่อปกป้องนวัตกรรมและทรัพย์สินทางปัญญาของบริษัท ซึ่งคาดว่าซัมซุงอาจฟ้องร้องว่าไอโฟน 5 ละเมิดสิทธิบัตรเทคโนโลยีเครือข่าย LTE

      Company Related Link :
       Apple

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 ตุลาคม 2555 12:20 น.

วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Nikon เปิดตัว “กล้องแอนดรอยด์”

ถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญสำหรับกล้องดิจิตอลสายพันธุ์คูลพิกซ์ (Coolpix) เพราะวันนี้ “นิคอน (Nikon)” เปิดตัวกล้อง 3 รุ่นใหม่ที่ดึงเอาความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมาเป็นแต้มต่อให้ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลกลุ่ม point-and-shoot หรือกลุ่มกล้องตัวเล็กเล็งแล้วถ่ายของนิคอนดูดีและน่าซื้อหามาใช้งานยิ่งขึ้น
      
       1 ใน 3 กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ที่ร้อนแรงที่สุด คือ Coolpix S800c มาพร้อมเทคโนโลยีประมวลผลภาพของนิคอนซึ่งฝังตัวรับสัญญาณไว-ไฟ (Wi-Fi) และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ในตัว ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือที่ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า นิคอนกำลังเร่งมือผลิตกล้องดิจิตอลระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
      
       นิคอน ยกให้ Coolpix S800c เป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบด้านการเชื่อมต่อ โดย นิคอน ระบุว่า S800c จะทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันภาพผ่านเครือข่ายสังคมได้ง่ายขึ้น ตัวกล้องใช้เซ็นเซอร์ภาพ CMOS ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เลนส์ซูม 10x สามารถบันทึกภาพความละเอียดสูง HD ได้ แถมยังมีเทคโนโลยีระบุพิกัด GPS และสามารถใช้งานแอปพลิเคชันแอนดรอยด์บางแอปได้
      
       สำหรับอีกรุ่นที่จะเป็นเรือธงในตระกูลคูลพิกซ์ คือ P7700 ความละเอียดกล้อง 12.2 ล้านพิกเซล บนเลนส์ซูม 7.1x สามารถควบคุมตั้งค่าในระบบแมนนวลได้ รองรับการบันทึกภาพความละเอียดสูง 1080p HD
      
       ยังมี S01 ที่สามารถซื้อหาได้ในราคาสบายกระเป๋ามากกว่า คุณสมบัติหลัก คือ การเป็นกล้องดิจิตอลคอมแพกต์เล็งแล้วถ่ายขนาดเล็กพิเศษ หรือ ultra-mini point-and-shoot ตัวกล้องมีน้ำหนักเพียง 3.4 ออนซ์ ตัวกล้องมีระบบปฏิบัติการที่รองรับหน้าจอทัชสกรีน เลนส์ซูม 3x ทำงานแสนสบายบนโหมดอัตโนมัติ
      
       ทั้ง 3 รุ่นจะเริ่มทำตลาดในเดือนกันยายนนี้ ตัว S800c มีราคา 349.95 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผลิตออกมา 2 สี คือ สีขาว และ ดำ (ราว 10,500 บาท) ขณะที่ P7700 มีเพียงสีดำเท่านั้นในราคา 499.95 เหรียญ (ประมาณ 15,000 บาท) โดย S01 จะมีให้เลือก 4 สี คือ เงิน ขาว แดง และ ชมพู ราคาเบื้องต้น คือ 179.95 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,400 บาท)
      
       Company Related Link :
       Nikon

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 18:20 น.

Logitech เปิดตัวแป้นพิมพ์ล้างน้ำได้ "Washable Keyboard K310"

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันแล้วว่าคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์นั้นเสี่ยงต่อการเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียหลายพันชนิด ขณะเดียวกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายคนยังกินขนมนมเนยหน้าจอจนทำให้แป้นคีย์บอร์ดมีคราบเหนียวที่เช็ดไม่ออก ทั้งหมดนี้ทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่างลอจิเทค (Logitech) ตัดสินใจเปิดตัวคีย์บอร์ดที่สามารถล้างน้ำได้ในชื่อ Washable Keyboard K310
      
       Washable Keyboard K310 นั้นเพิ่งถูกเปิดตัวเมื่อวันพุธที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา รูปแบบการจัดเรียงปุ่มพิมพ์หรือเลย์เอาท์นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดทั่วไปของลอจิเทค แต่จุดต่างคือ K310 สามารถนำไปแช่ในน้ำได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อระบบ
      
       ข้อมูลจากลอจิเทคระบุว่าผู้ใช้ K310 สามารถนำคีย์บอร์ดไปแช่ในอ่างน้ำได้ทุกส่วน โดยรองรับความลึกที่ 11 ฟุต วัสดุเคลือบคีย์บอร์ดทำให้ตัวแป้นแห้งได้เร็วขึ้น ซึ่งนอกจากการแช่น้ำ ผู้ใช้ K310 สามารถใช้ผ้าเปียกชุ่มทำความสะอาดคีย์บอร์ดได้เช่นกัน
      
       Logitech ยืนยันว่าออกแบบให้แป้นพิมพ์ล้างน้ำได้นี้เหมาะสมต่อการล้างน้ำเต็มที่ เช่น การพิมพ์ตัวอักษรบนปุ่มแป้นพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ซึ่งทำให้ตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ไม่จางหายไป ขณะเดียวกันก็ออกแบบให้โพรงด้านหลังปุ่มกดและหลังคีย์บอร์ดไม่มีสภาพขังน้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้คีย์บอร์ด K310 สามารถทำความสะอาดในน้ำได้อย่างเต็มที่
      
       ข้อมูลระบุว่า K310 รองรับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 เบื้องต้นมีกำหนดการจำหน่ายในสหรัฐฯช่วงเดือนสิงหาคมนี้ในราคา 39.99 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,200 บาท) ก่อนจะเริ่มวางตลาดที่ยุโรปช่วงเดือนตุลาคม 2012
      
       Company Related Link :
       Logitech

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 14:11 น.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Google Earth เผยที่ตั้ง "พีระมิดที่หายไป" ของอียิปต์

หากโฮวาร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีอังกฤษผู้ค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมได้ คาร์เตอร์คงสามารถค้นพบพีระมิดอื่นที่มากกว่าพีระมิดของยุวกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะล่าสุดนักวิจัยในสหรัฐฯ สามารถค้นพบฐานพีระมิดแห่งใหมที่ยังไม่เคยมีการระบุชื่อ ซึ่งเผยที่ตั้งในภาพจากบริการกูเกิลเอิร์ท (Google Earth) อย่างชัดเจน
      
       ข่าวนี้สะท้อนว่าทุกคนบนโลกสามารถค้นหาสมบัติที่หายไปของโลกได้จากบริการกูเกิลเอิร์ท บริการที่ชาวออนไลน์จะสามารถชมภาพถ่ายผ่านดาวเทียมเพื่อสำรวจโลกได้อย่างสะดวกสบายและไม่สิ้นเปลือง โดยนักวิจัยอเมริกันที่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทค้นพบตำแหน่งสถานที่ประวัติศาสตร์มีชื่อว่า "แองเจลา มิคอล (Angela Micol)" ซึ่งสื่อมวลชนยกตำแหน่งให้อย่างไม่เป็นทางการว่านักโบราณคดีผ่านดาวเทียม (satellite archaeology researcher)
      
       มิคอลนั้นอาศัยในนอร์ทแคโลไรนา แต่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทสำรวจสถานที่ที่คาดว่าจะเป็นพีระมิดที่ยังไม่เคยมีการสำรวจพบจำนวน 2 จุด โดยทั้ง 2 สถานที่นี้มีลักษณะเหมือนฐานพีระมิดโบราณไม่ผิดเพี้ยน จุดแรกคาดว่ามีฐานกว้าง 42.6 เมตรบนส่วนยอดแบนราบ เบื้องต้นคาดว่าเป็นผลจากการพังทลายที่ยอดพีระมิด นอกจากนี้ยังพบฐานหินอีก 3 กองกระจายในส่วนท้าย ซึ่งการจัดเรียงลักษณะนี้มีความคล้ายกับการจัดเรียงพีระมิดชื่อก้องโลกที่กิซา (Giza)
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าฐานหินที่พบนั้นมีโอกาสเป็นพีระมิดโบราณสูง เพราะฐานหินดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากเมือง Dimai ไปทางตะวันออกราว 2 ไมล์ เมืองดังกล่าวเป็นเมืองโบราณที่มีหลักฐานว่าก่อตั้งโดยกษัตริย์ Ptolemy II (กษัตริย์ทอเลมีที่ 2) ซึ่งขุดพบโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างจากอิฐ ดิน และหิน ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับสถานที่ปรักหักพังในเมืองโบราณในอียิปต์
      
       สถานที่ประวัติศาสตร์อีกจุดที่มีการพบบนกูเกิลเอิร์ทนั้นอยู่ห่างจากเมือง Abu Sidhum ราว 12 ไมล์ (ใกล้กับแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพีระมิดโบราณของอียิปต์ส่วนใหญ่) ลักษณะที่พบคือฐานหิน 4 จุดซึ่งมียอดเป็นรูปสามเหลี่ยม โดย 2 ฐานมีขนาดใหญ่ 76.2 ฟุต ขณะที่อีก 2 ฐานมีขนาดเล็กกว่าราว 30.48 ฟุต ทั้ง 4 ฐานหินถูกจัดวางในลักษณะเดียวกับพีระมิดเช่นกัน
      
       กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นการตอกย้ำว่ากูเกิลเอิร์ทนั้นเป็นเครื่องมือในการสำรวจโลกที่ทำได้ง่ายและได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก ซึ่งในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านพีระมิดและอารยธรรมอียิปต์โบราณอย่าง Nabil Selim แสดงความเชื่อมั่นว่าฐานหินที่พบอาจจะเป็นพีระมิดโบราณจริง เพราะสถานที่เก็บซ่อนอารยธรรมอียิปต์โบราณอาจจะมีมากมาย และที่มีการสำรวจพบแล้วอาจจะมีจำนวนไม่ถึง 1%
      
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทคโนโลยีท่องโลกแบบเสมือนสามารถทำให้โลกค้นพบสมบัติที่หายไปในอียิปต์ โดยปีที่ผ่านมาศาสตราจารย์ด้านอียิปต์และอาหรับอย่างซาราห์ พาร์คาก (Sarah Parcak) ประกาศว่าเธอได้ค้นพบพีระมิด 17 แห่ง แหล่งชุมชนโบราณ 3,100 แห่ง และสุสานมากกว่า 1,000 จุด เพราะความช่วยเหลือจากภาพถ่ายอินฟราเรดผ่านดาวเทียม
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 15:55 น.

เปิดแผนปรับโครงสร้าง “โมโตโรล่า” ใต้ชายคากูเกิล

กูเกิล (Google) เผยแผนปรับโครงสร้างหลังฮุบกิจการธุรกิจผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโมโตโรล่า “โมโตโรล่าโมบิลิตี (Motorola Mobility)” ว่าจะเลิกจ้างพนักงานราว 4,000 ตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วน 20% ของพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตี
      
       การเปิดเผยแผนลอยแพพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกูเกิลสามารถควบคุมกิจการพัฒนาโทรศัพท์มือถือของยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารสัญชาติอเมริกันอย่างเต็มตัวเพียง 3 เดือน โดยกูเกิลเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทุกองค์กรอย่างเป็นทางการให้สามารถเข้าซื้อกิจการโมโตโรล่าโมบิลิตีด้วยมูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากบรรลุข้อเสนอซื้อกิจการตั้งแต่สิงหาคม 2011 พร้อมกับพนักงานในธุรกิจนี้ทั้งหมด 20,000 คน
      
       ไม่เพียงลอยแพพนักงาน กูเกิลยังมีแผนปิดสำนักงานโมโตโรล่ามากกว่า 30 แห่งด้วย ซึ่งทั้งหมดปรากฏในเอกสาร Form 8-K ที่กูเกิลต้องยื่นต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ U.S. Securities and Exchange Commission (SEC) ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าเอกสารลงวันที่ชี้แจง 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะนำออกเผยแพร่วันที่ 13 สิงหาคมตามเวลาสหรัฐฯ
      
       “2 ใน 3 ของการลดจำนวนพนักงานจะเกิดขึ้นในพื้นที่นอกสหรัฐอเมริกา” เอกสารระบุ “นอกจากนี้ โมโตโรล่ายังวางแผนปิดสำนักงาน 1 ใน 3 ของสำนักงานที่โมโตโรล่ามีทั้งหมด 90 แห่งในขณะนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าโทรศัพท์มือถือ จากฟีเจอร์โฟนทั่วไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีใหม่และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น”
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่กูเกิลเตรียมไว้เพื่อกู้วิกฤตขาดทุนให้โมโตโรล่าโมบิลิตี โดยก่อนหน้านี้โมโตโรล่าโมบิลิตีประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง 14-16 ไตรมาสที่ผ่านมา จุดนี้กูเกิลแสดงความมั่นใจในเอกสารว่านักลงทุนจะได้เห็นปัจจัยมากมายที่สะท้อนว่าโมโตโรล่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายไตรมาส โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่ายที่ส่งผลกระทบต่อรายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้กูเกิลมองว่าการลดค่าใช้จ่ายจะเป็นหลักสำคัญในการฟื้นฟูโมโตโรล่า

เอกสารยังระบุว่า โมโตโรล่าเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความลำบากแก่พนักงานเพียงไร จึงพร้อมช่วยเหลือให้พนักงานสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปให้ได้ โดยจะเสนอทางเลือกหลากหลายให้พนักงานที่จะถูกเลิกจ้าง รวมถึงจะมีการประสานงานเพื่อให้พนักงานสามารถหางานใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คาดว่าจะเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาส 3 ของปีนี้ไม่เกิน 275 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
       นอกจากการปรับลดพนักงาน กูเกิลยังลดจำนวนผู้บริหารในตำแหน่งรองประธาน (vice president) ลง 40% จุดนี้เป็นข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กนิวส์ซึ่งไม่มีรายงานเพิ่มเติมในขณะนี้
      
       เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กูเกิลเปิดเผยรายงานผลประกอบการครั้งแรกหลังจากบริษัทสามารถควบรวมกิจการกับโมโตโรล่าโมบิลิตีอย่างเป็นทางการ ระบุว่ารายได้ตลอดเดือนเมษายน-มิถุนายน 2012 โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำเงินได้ราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% จาก 9.03 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาสเดียวกันของปี 2011
      
       ตัวเลขรายได้รวม 1.2 หมื่นล้านเหรียญยังคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2012) ซึ่งกูเกิลให้ข้อมูลว่ามีรายได้ราว 1.06 หมื่นล้านเหรียญเท่านั้น โดยเมื่อคำนวณเป็นกำไร โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำกำไรได้ 2.79 พันล้านเหรียญในไตรมาส 2 ปี 2012 ที่ผ่านมา สูงกว่า 2.51 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2011
      
       ข่าวการลอยแพพนักงานโมโตโรล่านี้เกิดขึ้นหลังผู้บริหารกูเกิลออกมายืนยันว่าจะไม่มีการควบรวมกิจการอย่างเต็มรูปแบบระหว่างกูเกิลกับโมโตโรล่าโมบิลิตี โดยแพทริค พิเชตต์ (Patrick Pichette) ประธานฝ่ายการเงินของกูเกิล ให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ว่ากูเกิลจะปล่อยให้โมโตโรล่าโมบิลิตีดำเนินธุรกิจโดยแยกจากธุรกิจหลักของกูเกิลอย่างชัดเจน ถือเป็นคำยืนยันที่ทำให้พันธมิตรผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) เบาใจได้ว่า กูเกิลจะไม่ลงไปแข่งขันด้วยชื่อของกูเกิลในตลาดสมาร์ทโฟน
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 13:24 น.

แคนนอนส่ง 'EOS M' ลุยไตรมาส 4

       แคนนอนหวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดมิร์เรอร์เลสช่วงต้นปีหน้า หลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ EOS M พร้อมวางขายช่วงเดือนตุลาคม คาดสัดส่วนตลาดระหว่าง DSLR กับมิร์เรอร์เลสจะอยู่ที่ 80% ต่อ 20%
      
       นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของแคนนอนในส่วนของตลาดกล้อง DSLR มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 40% ส่วนตลาดกล้องคอมแพกต์ก็ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ว่าตลาดรวมจะลดลง
      
       โดยเนื่องจากครึ่งปีแรกกล้อง DSLR มีอัตราการเติบโตสูงทำให้ส่วนแบ่งตลาดของกล้อง DSLR ในช่วงครึ่งปีแรกขึ้นไปอยู่ที่ 70% ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตราว 30% ทำให้ท้ายที่สุดแล้วคาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะอยู่ที่ราว 65% เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง
      
       ขณะที่กล้องคอมแพกต์ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 18-10% แต่เชื่อว่าถึงสิ้นปีจะปิดที่มากกว่า 20% ซึ่งยังต้องรอดูต่อไปว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าใด เพราะปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดกล้องคอมแพกต์ระดับ 1-3 อยู่ใกล้เคียงกัน
      
       ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดรวมกล้อง DSLR ถึงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.35 แสนตัว ส่วนกล้องคอมแพกต์อยู่ที่ 1.3 ล้านตัว สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ของแคนนอนประเทศไทยอยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านบาท โดยเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์อิมเมจจิ้งที่ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
      
       ล่าสุดเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างกล้อง DSLR EOS 650D ที่เริ่มวางจำหน่ายแล้ว และมิร์เรอร์เลส EOS M ที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงเดือนตุลาคม โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถจำหน่ายมิร์เรอร์เลสปีนี้เดือนละ 2,000 ตัว
      
       "กล้องมิร์เรอร์เลสออกมาตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ต้องการเครื่องขนาดเล็ก และเบาลง บนคุณภาพระดับใกล้เคียงกับกล้อง DSLR ซึ่งแคนนอนใช้เวลา 2 ปีในการศึกษาข้อบกพร่องของคู่แข่งและนำมาปรับปรุงในผลิตภัณฑ์ EOS M ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากที่สุด"
      
       ทั้งนี้ คาดว่าสัดส่วนของกล้อง DSLR และมิร์เรอร์เลสหลังจากวางจำหน่าย EOS M แล้วจะอยู่ที่ 80% ต่อ 20% และคาดว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดมิร์เรอร์เลสได้ในช่วงต้นปีหน้าด้วยส่วนแบ่งตลาด 30-35%
      
       สำหรับจุดเด่นของกล้อง EOS 650D และ EOS M คือหน้าจอทัชสกรีนแบบ Capasitive ที่มาพร้อมกับระบบทัชโฟกัส ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวพร้อมการโฟกัสเฉพาะจุดได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมาพร้อมหน่วยประมวลผลภาพ DIGIC 5 และเซ็นเซอร์ Hybrid CMOS AF System ช่วยเพิ่มความสามารถในการโฟกัสอย่างต่อเนื่อง
      
       โดยราคาจำหน่ายของ EOS 650D พร้อมเลนส์ EF-S18-55mm IS II อยู่ที่ 30,900 บาท และพร้อมเลนส์ EF-S18-135mm IS STM อยู่ที่ 40,900 บาท ส่วน EOS M แบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ พร้อมเลนส์ EF-M18-55mm IS STM ที่ 28,900 บาท พร้อมเลนส์ EF-M22mm และ Mount Adapter ที่ 29,900 บาท สุดท้ายพร้อมเลนส์ EF-M18-55mm IS STM, EF-M22mm และแฟลช Speedlite 90EX ที่ราคา 32,900 บาท
      
       Company Related Link :
       Canon

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2555 08:57 น.

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

“แอปเปิล” เคยคิดพัฒนา “รถ”

คดีความซึ่งแอปเปิลฟ้องร้องซัมซุงว่า “ลอกเลียนแบบไอโฟน-ไอแพด” นั้นทำให้ความลับเรื่องแผนการพัฒนาสินค้าของแอปเปิลถูกเปิดเผยหลายจุด หนึ่งในนั้นคือแผนพัฒนารถยนต์อัจฉริยะและกล้องดิจิตอลรุ่นพิเศษหลังจากเห็นความสำเร็จของไอพอด และในช่วงปี 2011 ที่ผ่านมาผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของแอปเปิลเคยส่งอีเมลแนะนำแนวคิดการพัฒนาไอแพดขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสะท้อนว่าไอแพด 7 นิ้วกำลังมีคิววางตลาดค่อนข้างแน่นอน
      
       ข้อมูลความลับเรื่องแผนพัฒนาสินค้าแอปเปิลถูกเปิดเผยโดยผู้บริหารที่ถูกเรียกขึ้นมาให้การในศาลแคลิฟอร์เนียเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอย่างฟิล สคิลเลอร์ (Phil Schiller) และหัวหน้าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างสกอตต์ ฟอร์สตอลล์ (Scott Forstall) ถูกส่งมาให้การพร้อมกับจัสติน เดนิสัน (Justin Denison) ประธานฝ่ายกลยุทธ์ซัมซุงภูมิภาคสหรัฐอเมริกา (Samsung Telecommunications America)
      
       ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามปกป้องบริษัทตัวเองให้พ้นจากข้อกล่าวหาเรื่องลอกเลียนการออกแบบและคุณสมบัติซอฟต์แวร์ของคู่แข่ง ผู้บริหารซึ่งเป็นตัวแทนของทั้ง 2 ค่ายจึงพร้อมใจแจกแจงข้อมูลว่าได้ลงทุนและลงแรงพัฒนาสินค้าของตัวเองไปอย่างยากเย็นและจริงจังเพียงใด ซึ่งทำให้ข้อมูลลับที่ทั้งคู่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนถูกรายงานต่อสาธารณชนทั่วโลก เช่นข้อมูลที่ระบุว่าแอปเปิลใช้เงินมากกว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐในการทำตลาดไอโฟนและไอแพดนับตั้งแต่การเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกปี 2007 ขณะที่ซัมซุงระบุว่าใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านเหรียญต่อปีในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ซัมซุง

       สคิลเลอร์ให้การต่อศาลว่า ความสำเร็จของไอพอดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้แอปเปิลมองว่าตัวเองสามารถเป็นได้มากกว่าบริษัทคอมพิวเตอร์ธรรมดา ดังนั้น แผนโครงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในแบรนด์แอปเปิลจึงเกิดขึ้นจำนวนมากเพื่อรอการพิจารณา โดยในแผนการทั้งหมดมีรถยนต์และกล้องดิจิตอลรวมอยู่ด้วย ซึ่งแอปเปิลเคยจำหน่ายกล้องดิจิตอล 1 รุ่นในชื่อ QuickTake ในช่วงปี 90 ด้วย
      
       สคิลเลอร์ยังเปิดเผยข้อมูลด้านการตลาดอีกหลายประเด็น ที่น่าสนใจคือ ในช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังการเปิดตัวไอโฟน งบการตลาดของแอปเปิลถูกใช้ไปน้อยมากเพราะสื่อมวลชนพร้อมใจตีข่าวเกี่ยวกับไอโฟนจนบริษัทไม่ต้องทำการตลาดใดๆ เพิ่มเติม หลังจากนั้น การประชาสัมพันธ์ไอโฟนจึงเกิดขึ้นภายใต้ทฤษฎีที่เรียกว่า “product as hero” ซึ่งยกให้ตัวผลิตภัณฑ์เป็นตัวเอกในการประชาสัมพันธ์ตัวเอง ขณะที่แอปเปิลหันไปทุ่มกำลังสร้างความพิเศษให้ผู้บริโภครับรู้ถึงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์
      
       ด้านฟอร์สตอลล์ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาไอโฟนรุ่นแรกให้ข้อมูลว่า แอปเปิลเริ่มต้นพัฒนาไอแพดในปี 2003 ในฐานะผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ต้องการใช้งานแล็ปท็อปราคาประหยัด ซึ่งเป็นทางออกของการไม่ต้องการพัฒนาแล็ปท็อปราคาประหยัดของแอปเปิล ต่อมาในปี 2004 งานผลิตไอแพดจึงถูกย้ายแพลตฟอร์มไปทำงานบนระบบโทรศัพท์มือถือ เพราะแอปเปิลเห็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมครั้งใหญ่
      
       ฟอร์สตอลล์มีดีกรีเป็นลูกน้องสตีฟ จ็อบส์ในสมัยทำกิจการเนกซ์คอมพิวเตอร์ (NeXT Computer) ในปี 1992 โดยฟอร์สตอลล์ระบุว่าได้รับมอบหมายจากจ็อบส์ให้สร้างหน้าตาโปรแกรม หรือ user-interface สำหรับไอโฟนโดยไม่จ้างใครนอกองค์กรแอปเปิล เพื่อเก็บข้อมูลของไอโฟนให้เป็นความลับสุดยอด

       อีกหนึ่งข้อมูลเด่นคือเรื่องราวของไอแพดขนาด 7 นิ้ว โดยก่อนหน้านี้สตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับเคยประกาศไม่สนใจการผลิตแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วเพราะคิดว่าเล็กเกินไป โดยมองว่าหน้าจอขนาด 9.7 นิ้วถือเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี แต่ในระยะหลังกระแสข่าวลือแพร่สะพัดทั่วโลกออนไลน์ว่าแอปเปิลเตรียมวางขายไอแพดมินิ (iPad mini) ไอแพดรุ่นใหม่ที่มีขนาดหน้าจอ 7-8 นิ้ว กระแสข่าวนี้ทำให้ซัมซุงใช้เป็นจุดโจมตีว่าแอปเปิลได้แรงบันดาลใจมาจากซัมซุงเช่นกัน ไม่ต่างจากข้อกล่าวหาที่แอปเปิลใช้ฟ้องซัมซุงว่าใช้ไอโฟนเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาสินค้าตระกูลกาแล็กซี (Galaxy)
      
       เควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) ทนายความซัมซุง ตั้งคำถามฟอร์สตอลล์ถึงอีเมลจากผู้บริหารแอปเปิล “เอ็ดดี คู (Eddy Cue)” ประธานฝ่ายธุรกิจไอจูนส์ซึ่งส่งถึงฟอร์สตอลล์ในวันที่ 24 ม.ค. 2011 โดยในเนื้อความมีการวิเคราะห์ว่าขนาดไอแพดนั้นไม่เหมาะสม แต่มีการชื่นชมขนาดหน้าจอ 7 นิ้วของ Samsung Galaxy Tab พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าแอปเปิลควรผลิตแท็บเล็ต 7 นิ้วเพราะมีตลาดใหญ่รองรับอยู่ จุดนี้ในอีเมลระบุว่าหลังจากรายงานต่อสตีฟ จ็อบส์หลายครั้ง ตัวสตีฟ จ็อบส์เองก็เริ่มเห็นด้วยในครั้งสุดท้ายที่มีการรายงานแนวคิดแท็บเล็ต 7 นิ้ว
      
       สื่อต่างชาติรายงานความลับภายในแอปเปิลที่ถูกเปิดเผยระหว่างการพิจารณาคดีความระหว่างแอปเปิลกับซัมซุงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการใช้ชื่อลับในการพัฒนาไอโฟนว่าโครงการสีม่วง หรือ Project Purple โดยบรรยากาศภายในอาคารพัฒนาซึ่งถูกเรียกว่าตึกสีม่วง (Purple Building) นั้นมีลักษณะเหมือนหอพักที่มีผู้คนตลอดเวลา และผู้คนที่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้จะมีกฎข้อแรกเหมือนภาพยนตร์เรื่อง “Fight Club” ซึ่งระบุว่าทุกคนห้ามพูดถึงโครงการนี้

นอกเหนือจากความลับในการพัฒนาสินค้า แอปเปิลยังแสดงพัฒนาการแท็บเล็ตของซัมซุงสมัยก่อนและหลังแอปเปิลแจ้งเกิดไอโฟน ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าลักษณะการออกแบบสินค้าซัมซุงนั้นถอดแบบมาจากสินค้าของแอปเปิล
      
       ทั้งหมดนี้ทำให้แอปเปิลพยายามเรียกร้องค่าเสียหาย 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจากซัมซุง พร้อมขอให้ศาลสั่งห้ามซัมซุงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในสหรัฐฯ และหลายพื้นที่ทั่วโลก ขณะที่ซัมซุงก็ยังยืนยันว่าแอปเปิลต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิและนำแนวคิดจากซัมซุงไปใช้ในหลายจุด
      
       ท่ามกลางคดีระหว่างแอปเปิลกับซัมซุงที่มีกำหนดการพิจารณาคดีต่อเนื่องตลอดเดือน ส.ค.นี้ ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าแอปเปิลกำลังเจรจาซื้อเว็บไซต์โซเชียลคอมเมิร์ซนามเดอะแฟนซี (The Fancy) โดยสำนักข่าวบิสิเนสอินไซเดอร์ (Business Insider) รายงานว่าแอปเปิลกำลังเจรจาเสนอซื้อกิจการอีคอมเมิร์ซแนวใหม่เพื่อสร้างตลาดของตัวเองให้รองรับบริการพาสบุ๊ก (PassBook) คุณสมบัติใหม่ในระบบปฏิบัติการ iOS 6 ที่ผู้ใช้จะสามารถจัดการข้อมูลสำคัญเพื่อการซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
      
       เดอะแฟนซีเป็นบริการที่ผู้ใช้งานสามารถโพสต์ภาพสินค้าและสามารถซื้อขายกันเองได้โดยสะดวก สถิติล่าสุดพบว่ายอดซื้อขายผ่านเว็บไซต์ต่อวันสูงถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ โดยไม่น่าเชื่อว่าซีอีโอแอปเปิลชื่อดัง “ทิม คุค (Tim Cook)” ได้ลงชื่อใช้งานเดอะแฟนซีด้วยตัวเอง (การตรวจสอบพบว่าบัญชีของคุคได้รับการยืนยันตัวตน) ทั้งหมดแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างซีอีโอแอปเปิลกับเว็บไซต์อนาคตไกลรายนี้
      
       Compnay Related Link :
       Apple

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 สิงหาคม 2555 10:36 น.

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ยาฮูถูกเจาะ ชื่อผู้ใช้ 453,000 บัญชีว่อนเน็ต

ยาฮู (Yahoo!) ยักษ์ใหญ่ผู้ให้บริการบนอินเทอร์เน็ตตกเป็นข่าวถูกเจาะระบบ ทำให้ข้อมูลผู้ใช้มากกว่า 453,000 บัญชีถูกนำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ เบื้องต้นมีเพียงรายงานว่าข้อมูลชื่อยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านถูกเปิดเผย แต่ไม่มีการให้ข้อมูลว่าเป็นบัญชีของบริการใดบ้าง
      
       เว็บไซต์ด้านการรักษาความปลอดภัยคอมพิวเตอร์ TrustedSec.com รายงานว่าจำนวนชื่อบัญชีผู้ใช้บริการยาฮูที่อยู่ในความเสี่ยงนั้นมีสูงถึง 453,492 ราย โดยคาดว่าบริการ Yahoo Voices คือ 1 ในบริการที่ถูกเจาะระบบจนทำให้นักแฮกสามารถนำข้อมูลผู้ใช้งานออกมาเผยแพร่บนอินเทอร์เน็ต
      
       นักแฮกที่นำข้อมูลผู้ใช้ยาฮูมาเผยแพร่นี้เรียกตัวเองว่า D33Ds Company ซึ่งอ้างว่าได้เจาะระบบฐานข้อมูลชื่อยูสเซอร์เนมและรหัสผ่านด้วยการระดมสั่งคำสั่ง SQL รายงานจาก Ars Technica ระบุว่าการโจมตีครั้งนี้มุ่งให้เครื่องเซิร์ฟเวอร์ระบบทำงานมากเกินไปจนไม่สามารถรักษาความปลอดภัยได้เท่าที่ควร วิธีนี้จะทำให้ระบบเกิดช่องโหว่และทำให้นักเจาะระบบสามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญในฐานข้อมูลจำนวนมากที่เก็บไว้ได้

อย่างไรก็ตาม D33Ds Company อ้างว่าต้องการกระตุ้นให้บริษัทที่เกี่ยวข้องมีมาตรการรักษาความปลอดภัยข้อมูลที่สำคัญให้มากกว่านี้ จึงดำเนินการเจาะระบบเพื่อเป็น "wake-up call" ให้ยาฮูได้รู้ตัว โดยระบุด้วยว่ายังมีช่องโหว่อีกมากมายในระบบเซิร์ฟเวอร์ของยาฮู ซึ่งอาจจะสร้างอันตรายได้มากกว่าการแฮกครั้งนี้
      
       “โปรดอย่าวางใจ ยังมีข้อมูล subdomain และข้อมูลอื่นที่สำคัญที่ไม่ได้ถูกโพสต์เพื่อป้องกันปัญหาที่อาจเกิดขึ้นตามมา” ตามถ้อยคำที่กลุ่ม D33Ds Company บรรยายไว้บนอินเทอร์เน็ต
      
       ยาฮูยังไม่ออกมาให้ความเห็นกับกรณีที่เกิดขึ้น ซึ่งเป็นอีกข่าวร้ายด้านความปลอดภัยของยาฮู โดยเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา โปรแกรมเบราว์เซอร์ Axis ซึ่งยาฮูเปิดตัวให้ชาว iOS, ผู้ใช้วินโดวส์ และแมคอินทอชได้ใช้งานนั้นถูกรายงานว่ามีช่องโหว่ที่ทำให้มัลแวร์ประสงร้ายสามารถติดตั้งตัวเองลงในเครื่อง ทำให้ Axis ถูกมองว่าไม่ปลอดภัยและไม่น่าเชื่อถือ
      
       ผู้ใช้บริการ Yahoo Voices ที่หวั่นใจว่าอาจอยู่ในกลุ่มเสี่ยง ขอแนะนำให้เปลี่ยนรหัสผ่านให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้
      
       Company Related Link :
       Yahoo
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กรกฎาคม 2555 18:15 น.

นิวยอร์กเก๋ เปลี่ยนโทรศัพท์สาธารณะเป็นจุดใช้ “ไวไฟ” ฟรี

โทรศัพท์สาธารณะซึ่งเป็นมรดกจากยุคก่อนโทรศัพท์มือถือ กำลังจะได้เกิดใหม่เป็นจุดกระจายสัญญาณไวไฟ (Wi-fi hotspot) เพื่อให้บริการฟรีแก่ชาวเมืองนิวยอร์ก ประเดิมนำร่องก่อน 12,000 จุด เบื้องต้นยังไม่มีโฆษณาแต่อาจจะมีเพิ่มในอนาคต
      
       สื่ออเมริกันรายงานว่า การติดตั้งจุดกระจายสัญญาณไวไฟฟรีในบริเวIที่ให้บริการโทรศัพท์สาธารณะของเมืองนิวยอร์กนี้จะครอบคลุมพื้นที่ 5 ย่านดังของนิวยอร์ก ทั้งหมดจะทำให้ผู้ใช้ที่เดินตามท้องถนนสามารถออนไลน์ได้ฟรี เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวที่จะสามารถเข้าสู่เว็บไซต์แหล่งท่องเที่ยวได้ทันใจ
      
       บูทโทรศัพท์สาธารณะ 10 จุดพร้อมเราเตอร์กระจายสัญญาณไวไฟที่ถูกติดตั้งไว้ด้านบนของบูทนั้นเริ่มให้บริการแล้วตั้งแต่วันพุธที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา โดย 6 บูทนั้นอยู่ในย่านแมนฮัตตัน, 2 บูทอยู่ที่บรูกลิน และ 1 บูทอยู่ที่ย่านควีนส์ โดยจะขยายไปยังบูทโทรศัพท์สาธารณะในย่านบรอนซ์ และสตาเทนไอสแลนด์ต่อไป
      
       รายงานระบุว่า สำนักงานไอซีทีของเมืองนิวยอร์กกำลังอยู่ระหว่างทำงานร่วมกับบริษัทเอเยนซีโฆษณาเพื่อหารายได้จากการติดป้ายโฆษณาบนบูทมาหมุนเวียนในการให้บริการ เพื่อให้ชาวเมืองหรือหน่วยงานรัฐไม่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นในโครงการ ทั้งในแง่การติดตั้งอุปกรณ์ การจัดการ และงานบริการผู้ใช้


ทั้งหมดนี้ เจ้าหน้าที่เมืองนิวยอร์กย้ำว่าบริการไวไฟฟรีจะไม่ได้มาแทนที่โทรศัพท์สาธารณะ โดยผู้ใช้จะยังสามารถใช้บริการโทรศัพท์สาธารณะได้ต่อไป ซึ่งก่อนหน้านี้บูทโทรศัพท์สาธารณะมากกว่า 1 แห่งเพิ่งถูกติดตั้งในนิวยอร์ก ทั้งหมดนี้เจ้าหน้าที่ระบุว่าต้องการให้บริการเสริมเพิ่มจากโทรศัพท์สาธารณะเท่านั้น
      
       ข้อมูลระบุว่า รัศมีให้บริการไวไฟฟรีนั้นอยู่ระหว่าง 100-200 ฟุตรอบบูท โดยชื่อเครือข่ายที่ให้บริการจะระบุว่าเป็น “Free Wi-Fi” หรือ “NYC Free Public Wi-Fi” เพื่อให้ชาวเมืองออนไลน์ใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ฟรีผ่านสมาร์ทโฟน คอมพิวเตอร์วางตัก แท็บเล็ต และอุปกรณ์ไวไฟอื่นๆ โดยเครือข่ายจะไม่มีการปกป้องด้วยรหัสผ่านใดๆ ซึ่งเมื่อผู้ใช้เปิดโปรแกรม browser แล้วคลิกยอมรับเงื่อนไขการใช้งาน ก็จะสามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้
      
       เจ้าหน้าที่เมืองนิวยอร์กยืนยันว่าจะมีมาตรการรักษาความปลอดภัยเพื่อให้ชาวเมืองนิวยอร์กสามารถออนไลน์ได้อย่างสบายใจ โดยผู้ใช้จะสามารถใช้งานเว็บไซต์ใดก็ได้ และไม่มีการกำหนดระยะเวลาให้บริการ
      
       อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีข้อมูลความเร็วในการให้บริการขณะนี้ มีเพียงคำยืนยันว่าผู้ใช้จะไม่เห็นโฆษณาในระยะเวลาทดสอบบริการ ซึ่งไม่มีข้อมูลว่าการทดสอบจะสิ้นสุดเมื่อใด
      
       ไม่แน่ ข่าวนี้อาจจุดประกายให้ “กทม.” มีโครงการคุณภาพลักษณะนี้บ้าง ผู้สนใจในสหรัฐฯสามารถติดตามตำแหน่งพื้นที่บูทโทรศัพท์สาธารณะที่ให้บริการฟรีไวไฟได้ที่นี่


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 12 กรกฎาคม 2555 16:56 น.

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

กระหึ่ม “Airtime” บริการวิดีโอแชตที่อาสาเป็น “โทรศัพท์” บนเฟซบุ๊ก

ฌอน ปาร์เกอร์ (Sean Parker) และชาวน์ แฟนนิง (Shawn Fanning) สองผู้ร่วมก่อตั้งบริการแชร์ไฟล์เพลง “แนปสเตอร์ (Napster)” ซึ่งเป็นข่าวดังเมื่อ 10 ปีก่อน ได้ร่วมใจคลอดบริการใหม่อีกครั้งซึ่งเน้นให้บริการเพื่อนมาร่วมทำวิดีโอแบตหรือการสนทนาแบบเห็นหน้าบนเว็บไซต์ หวังแพร่หลายระดับ “โทรศัพท์” บนเครือข่ายสังคมเบอร์ 1 อย่างเฟซบุ๊ก
      
       บริการสนทนาแบบเห็นภาพหรือวิดีโอแชตของสองผู้ก่อตั้งแนปสเตอร์นี้ถูกตั้งชื่อว่า แอร์ไทม์ (Airtime) โดยแม้จะเป็นเว็บไซต์แยกต่างหาก ผู้ที่สามารถใช้แอร์ไทม์ได้นั้นจะต้องเป็นสมาชิกบริการเครือข่ายสังคมเฟซบุ๊กด้วย จุดนี้ถือเป็นโอกาสมากกว่าข้อจำกัดเพราะจำนวนผู้ใช้เฟซบุ๊กในปัจจุบันนั้นมีมากกว่า 950 ล้านคนแล้ว
      
       ทั้งหมดนี้ ปาร์เกอร์ให้สัมภาษณ์ว่า แอร์ไทม์ไม่ใช่เครือข่ายสังคมรูปแบบใหม่ที่ตั้งใจแข่งขันกับเฟซบุ๊ก (Facebook) บริการเครือข่ายสังคมซึ่งเป็นเจ้าตลาดเครือข่ายสังคมในขณะนี้ จุดยืนที่แอร์ไทม์วางไว้คือการเป็นมากกว่าเครือข่ายสังคมซึ่งคนที่เป็นเพื่อนกันอยู่แล้วจะสามารถสื่อสารกันได้ โดยหวังให้แอร์ไทม์รับประโยชน์จาก “network effect” หรือผลข้างเคียงของเครือข่ายสังคมที่จะทำให้ชาวออนไลน์ใช้งานแพร่หลายมากขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งให้แอร์ไทม์ถูกใช้งานแพร่หลายเหมือนกับ “โทรศัพท์” ที่คนทั่วโลกใช้งาน
      
       แนวคิดนี้ของผู้สร้างแนปสเตอร์นั้นยิ่งใหญ่มาก เพราะเมื่อคำนึงถึงเครือข่ายที่ครอบคลุมผู้ใช้ในประเทศทั่วโลกอย่างเฟซบุ๊กนั้นถือว่าบริการแอร์ไทม์มีโอกาสเติบโตสูง แถมความสัมพันธ์แน่นเฟ้นระหว่างปาร์เกอร์ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเฟซบุ๊กตั้งแต่เริ่มก่อตั้ง ล้วนทำให้แอร์ไทม์ได้รับความสนใจจากวงการไอทีทั่วโลก
      
       ปาร์เกอร์ถูกถ่ายทอดในภาพยนตร์เรื่อง “The Social Network” ภายใต้การแสดงของนักร้องหนุ่มจัสติน ทิมเบอร์เลก (Justin Timberlake) ในภาพยนตร์รางวัลออสการ์นี้สะท้อนว่าปาร์เกอร์มีบทบาทสำคัญมากในการก่อร่างเฟซบุ๊กในวันนี้
      
       สำหรับกรณีของแอร์ไทม์ ปาร์เกอร์ให้ความเห็นว่าความตั้งใจของการสร้างบริการนี้คือการทำให้อินเทอร์เน็ตมีความสนุกสนานมากขึ้น พร้อมกับที่ชาวออนไลน์จะสามารถสนทนาผ่านวิดีโอแชตได้แบบเรียลไทม์ และสามารถแชตกับใครก็ได้ที่ไม่รู้จักนอกเครือข่ายสังคมที่ตัวเองมี
      
       อย่างไรก็ตาม ปาร์เกอร์ระบุว่ามาตรการรักษาความปลอดภัยจะเป็นหนึ่งในพันธกิจหลักของแอร์ไทม์ ยังไม่ให้รายละเอียดแต่ระบุว่าจะป้องกันไม่ให้มีการใช้วิดีโอแชตในทางที่ผิด
      
       ผู้ต้องการใช้แอร์ไทม์จะต้องมี Web camera ติดตั้งเบราว์เซอร์ Chrome, Firefox 3+, IE 8 ขึ้นไป ตัวเครื่องใช้หน่วยประมวลผลความเร็ว 1.5GHz หรือเร็วกว่า ต้องมี RAM มากกว่า 512MB และสามารถเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตความเร็วสูง 1.5Mbps ขึ้นไป
      
       แอร์ไทม์แจ้งเกิดท่ามกลางบริการวิดีโอแชตที่เปิดให้บริการแล้วในปัจจุบันอย่างสไกป์ (Skype) ซึ่งไมโครซอฟท์ซื้อไป ยังมีบริการแฮงก์เอาต์ (Hangout) ของกูเกิล รวมถึงบริการน้องใหม่อย่างแชตรูเลตต์ (Chatroulette) จุดนี้ปาร์เกอร์ระบุว่าแอร์ไทม์แตกต่างจากบริการเหล่านี้เพราะสามารถทำงานได้ชนิดเรียลไทม์บนอินเทอร์เน็ตอย่างแท้จริง
      
       หลังจากที่ปาร์เกอร์และแฟนนิงเปิดตัวแนปสเตอร์ตั้งแต่ปี 1999 ทั้งคู่ระบุว่าไม่เคยคิดว่าบริการแชร์ไฟล์เพลงจะได้รับความนิยมสูงเช่นนั้น โดยสาวกแนปสเตอร์หลายล้านคนซึ่งดาวน์โหลดแนปสเตอร์ไว้ในเครื่องพร้อมใจกันแบ่งปันเพลงที่ตัวเองมีให้ชาวออนไลน์รายอื่นฟังอย่างถล่มทลาย ส่งให้แนปสเตอร์ถูกฟ้องร้องโดยค่ายเพลงที่เสียประโยชน์ และต้องปิดตัวลงในที่สุด
      
       ชมตัวอย่างการใช้ Airtime เป็นช่องทางร้องเพลงให้เพื่อนฟังได้จากคลิปวิดีโอด้านล่าง


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 6 มิถุนายน 2555 18:33 น.

เปิดแล้ว App Center ใหม่จากเฟซบุ๊ก

เครือข่ายสังคมยอดฮิต "เฟซบุ๊ก (Facebook)" เปิดตัวแหล่งรวมแอปพลิเคชันสำหรับชาวเฟซบุ๊กในชื่อ "แอปเซ็นเตอร์ (App Center)" อย่างเป็นทางการ ปูทางให้ใช้งานแล้วบนอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) อย่างไอโฟน ไอแพด และไอพ็อด รวมถึงอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) หลากแบรนด์ เช่นเดียวกับผู้เล่นเฟซบุ๊กผ่านเว็บไซต์ Facebook.com ไม่หวังเป็นร้านโหลดแอปแต่ขอเป็นตัวช่วยให้ชาวเฟซบุ๊กใช้แอปพลิเคชันกับเพื่อนได้สนุกกว่าเดิม
      
       เฟซบุ๊กระบุว่าจำนวนแอปพลิเคชันในแอปเซ็นเตอร์ขณะนี้คือ 600 แอปพลิเคชัน ได้แก่แอปพลิเคชันที่ฮอตฮิตติดลมบนอย่าง Pinterest, Draw Something, Nike+, Path และ Ghost Recon ทั้งหมดนี้เฟซบุ๊กยืนยันว่าแอปเซ็นเตอร์จะไม่ใช่ร้านจำหน่ายแอปพลิเคชันเพื่อแข่งขันกับ Google Play หรือ iTunes App Store ของแอปเปิล แต่ต้องการเป็นฮับหรือแหล่งที่ชาวเฟซบุ๊กจะสามารถเข้ามาค้นหาแอปพลิเคชันใหม่ที่น่าสนใจ ซึ่งอิงกับกิจกรรมบนเฟซบุ๊กของคุณเองและของผองเพื่อน โดยไม่ว่าระบบจะแนะนำแอปพลิเคชันใด ผู้ใช้ก็จะถูกส่งไปยังหน้า Google Play และ iTunes อยู่ดี เพื่อดาวน์โหลดแอปนั้นอย่างง่ายดาย
      
       สำหรับผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ ชาวเฟซบุ๊กสามารถใช้งานแอปเซ็นเตอร์จากแถบ bookmark ซึ่งจะแสดงไว้ด้านมุมซ้านบนของหน้า news feed ทุกคนสามารถเลือกดูแอปพลิเคชันตามกลุ่มเช่นเกม บันเทิง เพลง และข่าว เพื่อไล่รายชื่อแอปพลิเคชันที่เพื่อนใช้งานอยู่ หรือแอปพลิเคชันแนะนำน่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัว
      
       ข้อมูลระบุว่า แอปเซ็นเตอร์จะแนะนำแอปโดยอิงจากแอปพลิเคชันที่คุณใช้งานอยู่ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่ชาวเฟซบุ๊กตั้งค่าลงชื่อใช้งานด้วยชื่อและรหัสผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook login) รสนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้จะถูกประมวลผลกลายเป็นรายการแอปพลิเคชันแนะนำ ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านเว็บจะสามารถทดลองใช้แอปพลิเคชันนั้นได้ทันที ส่วนผู้ใช้อุปกรณ์พกพาก็จะถูกส่งลิงก์ไปยัง iTunes หรือ Google Play เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่อไป
      
       ความเคลื่อนไหวนี้ของเฟซบุ๊กตอกย้ำเทรนด์การเลือกแอปพลิเคชันแนว "Social Picks" หรือการเลือกตามกระแสความนิยมในขณะนั้น ซึ่งชาวเฟซบุ๊กจะสามารถตรวจรายชื่อแอปพลิเคชันยอดนิยมที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในแต่ละหมวดได้อย่างง่ายดาย จุดนี้ชัดเจนว่าเฟซบุ๊กสามารถนำจุดแข็งเรื่องความแน่นเฟ้นในเครือข่ายสังคม มาเสริมความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
      
       ระหว่างการเปิดตัวแอปเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่าชาวออนไลน์มากกว่า 230 ล้านคนนั้นเล่นเกมบนเฟซบุ๊กทุกเดือน โดยมากกว่า 130 เกมที่เปิดให้เล่นบนเฟซบุ๊กนั้นมีจำนวนผู้ใช้สม่ำเสมอหรือ active user มากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน แถมในเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่เฟซบุ๊กจัดงาน f8 (กันยายน 2011) มีแอปพลิเคชันมากกว่า 4,500 แอปพลิเคชันแล้วที่เปิดตัวสำหรับทำงานบนไทม์ไลน์ (timeline)
      
       เฟซบุ๊กอ้างว่าเป็นช่องทางนำชาวออนไลน์เข้าสู่ร้าน Apple App Store ถึง 83 ล้านครั้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีส่วนผลักดันให้ชาวออนไลน์ใช้งานแอปพลิเคชันไอโอเอสมากกว่า 134 ล้านครั้งในเดือนเดียวกัน
      
       ผู้ใช้ชาวไทย สามารถตรวจรายชื่อแอปพลิเคชันที่เฟซบุ๊กแนะนำได้แล้วที่ https://www.facebook.com/appcenter หรือคลิกชมวิดีโอด้านล่างเกี่ยวกับบริการแอปเซ็นเตอร์เพิ่มเติม


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 8 มิถุนายน 2555 17:16 น.

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

Review : Intel "Ivy Bridge + Series 7 Chipset" คอร์ไอยุคสาม ฟีเจอร์คือพระเอก

หลังจากอินเทลใช้แผนการพัฒนาหน่วยประมวลผลในรูปแบบ Tick-Tock ทำให้เทคโนโลยีหน่วยประมวลผลในปัจจุบันมีการปรับเปลี่ยนรวดเร็วขึ้นมาก
      
       อย่างในวันนี้ทีมงานไซเบอร์บิซก็ได้รับชุดทดสอบ Intel "Ivy Bridge" ในรูปแบบเดสก์ท็อปพีซีที่เน้นจุดเด่นในเรื่องกราฟิกออนชิป Intel HD Graphics 4000 มาทดสอบรีดเค้นประสิทธิภาพอีกครั้ง แต่ก่อนจะไปรับชมผลการทดสอบ ทีมงานจะขออธิบายเทคโนโลยีและการเปลี่ยนแปลงใน Ivy Bridge กันก่อน
      
       เปิดหัวใจ Ivy Bridge

             สำหรับการเปลี่ยนแปลงใน Intel Ivy Bridge ทางทีมงานขอแบ่งเป็น 2 ส่วนหลักได้แก่ ส่วนแรกในเรื่องหน่วยประมวลผลจะเปลี่ยนเทคโนโลยีเป็น 22 นาโนเมตรบนทรานซิสเตอร์แบบ 3 มิติจากเดิมเป็น 2 มิติ (และถือเป็นหน่วยประมวลผล คอร์ ไอ ยุคที่ 3) ที่ทางอินเทลปรับปรุงเรื่องประหยัดพลังงานให้ดีขึ้น และรองรับ PCI Express 3.0 พร้อมเปลี่ยนกราฟิกชิปออนบอร์ดเป็น Intel HD Graphics 4000 ซึ่งมีการอัปเกรดในเรื่องการรองรับชุดคำสั่งกราฟิก DirectX 11, OpenCL 1.1 OpenGL 3.1, HTML5, รองรับการต่อ 3 จอภาพพร้อมกัน และรองรับการประมวลผลภาพ 3 มิติผ่านเทคโนโลยี Intro 3D รวมถึงมีการปรับให้รองรับกับฟีเจอร์ Intel Wireless Display ให้ดีขึ้นกว่าใน Sandy Bridge

       มาในส่วนที่สองสำหรับรายละเอียดชิปเซ็ทซีรีย์ 7 ซึ่งเปิดตัวพร้อมกับหน่วยประมวลผล Ivy Bridge จะมีการปรับปรุงจากรุ่นก่อนหน้าค่อนข้างมาก เริ่มจากส่วนสำคัญคือในชิปซีรีย์ 7 จะรองรับ USB 3.0 ได้ในตัวเอง นอกจากนั้นสิ่งที่นักตัดต่อภาพยนตร์รอมานานอย่าง Intel Thunderbolt ก็พร้อมรองรับแล้วในชิปเซ็ทตระกูลใหม่นี้
      
       ในส่วนการปรับเปลี่ยนอื่นๆ ก็เริ่มจากการรองรับ High Speed SATA 6GB/s สำหรับ SSD และ PCI Express 3.0 รวมถึงชิปเซ็ทใหม่นี้จะรองรับการทำงานร่วมกับชิป Wireless Centrino รุ่นใหม่ เช่นรุ่น Advanced-N 6235
      
       สำหรับการทำงานร่วมกับหน่วยประมวลผล ชิปเซ็ทซีรีย์ 7 จะใช้งานร่วมกับหน่วยประมวลผล 32 นาโนเมตร Sandy Bridge และ 22 นาโนเมตร Ivy Bridge ได้

      Intel Smart Response Technology เป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ผู้ใช้สามารถนำ SSD มาใช้งานร่วมกับ HDD จานหมุนได้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้งาน
      
       Intel Rapid Start Technology ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่เด่นในเรื่อง Fast Resume หรือความหมายก็คือ ระหว่างผู้ใช้กำลังทำงานและจำเป็นต้องปิดเครื่องเพื่อย้ายโน้ตบุ๊กหรือคอมพิวเตอร์ไปที่อื่นกระทันหัน ผู้ใช้สามารถกดสวิตซ์ปิดเครื่อง ถอดปลั๊กหรือแบตเตอรีออก จากนั้นเมื่อเชื่อมต่อใหม่ระบบจะ Resume ค่าทั้งหมดกลับมาในเวลาไม่เกิน 5 วินาที ทำให้ผู้ใช้สามารถทำงานต่อได้โดยไม่ต้องเปิดโปรแกรมใหม่หมด
      
       Intel Smart Connect Technology จะเป็นระบบดึง Feed ข้อมูลเช่นอีเมล์ ทวิตเตอร์ ข้อความต่างๆ ได้เมื่อคอมพิวเตอร์หรือโน้ตบุ๊กอยู่ในสถานะ Hibernate โดยการทำงานจะใช้เทคโนโลยี Smart System Energy Management ในการจัดการทั้งหมด ซึ่งระหว่างปิดเครื่องระบบจะยังเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และมีการดาวน์โหลดข้อมูลเหล่านั้นมาเก็บไว้ในตัวเครื่อง และเมื่อผู้ใช้เปิดคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ก็จะสามารถข้อดูข้อมูลเหล่านั้นได้ทันที

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2555 10:02 น.

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทุกเรื่องที่ควรรู้ “Axis” เว็บเบราว์เซอร์ใหม่ล่าสุดจากยาฮู

กูเกิลไม่ใช่เสิร์ชเอนจินรายเดียวที่สร้างเว็บเบราว์เซอร์ให้ชาวเน็ตอีกต่อไป เพราะวันนี้ยาฮู (Yahoo) ได้เปิดตัวเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเองแล้วในชื่อ “แอกซิส (Axis)”
     
       เว็บเบราว์เซอร์นั้นเป็นโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ซึ่งชาวออนไลน์ทั่วโลกต้องใช้งาน สำหรับเว็บเบราว์เซอร์ที่ยาฮูเปิดตัวใหม่ล่าสุดนี้ได้รับการการันตีว่าสามารถทำงานได้แบบไร้รอยต่อกับอุปกรณ์ทั้งไอโฟน ไอแพด และคอมพิวเตอร์พีซี โดยยาฮูตั้งเป้าส่ง “กระแสผลเสิร์ช” หรือรายการเว็บที่ชาวเน็ตต้องการและเชื่อมต่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงผลการค้นหาได้ไม่ว่าจะใช้งานอุปกรณ์ใดอยู่
     
       ในวิดีโอสาธิตการทำงานของแอกซิส พบว่ายาฮูพยายามทลายขั้นตอนการเสิร์ชหรือค้นหาเว็บไซต์แบบดั้งเดิม โดยยาฮูต้องการข้ามขั้นตอนที่ชาวเน็ตต้องไล่สายตาอ่านลิงก์เว็บไซต์ ด้วยการแสดงภาพ “เว็บไซต์ที่มีแนวโน้มว่าผู้ใช้กำลังมองหา”ขึ้นมาแสดงแทน ซึ่งหากเพจที่พบยังไม่ตรงใจ ก็สามารถเสิร์ชได้ใหม่อีกครั้งโดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องออกจากหน้าเว็บที่เปิดอยู่
     
       หากใช้งานบนอุปกรณ์ไอโอเอส (IOS) ของแอปเปิล เช่น ไอโฟน ไอแพด และไอพอด ผู้ใช้จะได้เห็นแถบ Axis Bar ซึ่งยาฮูใส่กล่องสำหรับกรอกคีย์เวิร์ดเพื่อค้นหา (search box) และช่องสำหรับกรอกชื่อเว็บไซต์ (address bar) ลงไปเป็นส่วนประกอบหลัก เพียงแตะแถบนี้ รายการค้นหายอดนิยมหรือ trending search จะปรากฏขึ้น ซึ่งหากเป็นหัวข้อน่าสนใจ ผู้ใช้จะสามารถแตะอีกครั้งเพื่ออ่านรายละเอียด ขณะเดียวกันก็สามารถกรอกคีย์เวิร์ดใหม่เพื่อค้นหาสิ่งที่ต้องการ รวมถึงการใส่ชื่อเว็บแอดเดรสเพื่อเปิดเว็บไซต์ได้ตามธรรมเนียมของเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป
     
       จากการสาธิตพบว่า ผลการค้นหาจะสามารถปรากฏแบบอัตโนมัติหากข้อมูลที่ค้นหานั้นเป็นข้อมูลแบบทั่วไป เช่น ตารางฉายภาพยนตร์ หรือรายงานสภาพอากาศ ทั้งหมดนี้สามารถทำได้โดยที่ผู้ใช้ไม่ต้องปิดเพจที่ตัวเองอ่านอยู่


หากเป็นการค้นหาข้อมูลเฉพาะทาง แอกซิสจะสร้างส่วนพรีวิวหน้าเว็บไซต์ที่ตรงกับคีย์เวิร์ดที่ต้องการ ผู้ใช้จะสามารถเลื่อนและเลือกหน้าเว็บที่ต้องการได้อย่างสะดวกสบาย

ความพิเศษของแอกซิสยังอยู่ที่หน้าหลักหรือ homepage ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถเข้าถึงเว็บไซต์ที่เข้าบ่อยได้แบบไร้รอยต่อบนอุปกรณ์ไอโอเอสและคอมพิวเตอร์พีซี ทำให้เว็บไซต์ที่ผู้ใช้ไอแพดเปิดบ่อยจะสามารถปรากฏบนไอโฟนได้เช่นเดียวกับคอมพิวเตอร์พีซีที่บ้าน รวมถึงอุปกรณ์ทุกอย่างที่มีแอกซิสเป็นเว็บเบราว์เซอร์
     
       ความสามารถแบบไร้รอยต่อนี้ทำให้การค้นหา 1 ครั้งเกิดขึ้นบนหลายอุปกรณ์ได้ โดยผู้ใช้สามารถกดปุ่ม “Continue from iPhone” ที่ปรากฏบนไอแพด เพื่อชมผลการค้นหาที่เคยเริ่มไว้บนไอโฟน วิธีนี้จะทำให้ผู้ใช้สะดวกสบายเพราะได้ค้นหาบนอุปกรณ์หน้าจอใหญ่กว่าอย่างต่อเนื่อง
     
       สำหรับบนคอมพิวเตอร์พีซี แอกซิสจะเป็นโปรแกรมเสริมหรือ plug-in ที่ทำงานร่วมกับเบราว์เซอร์ดั้งเดิม ไม่ได้เป็นเว็บเบราว์เซอร์แบบสมบูรณ์ครบที่สามารถทำงานได้แบบฉายเดี่ยว (stand-alone) จุดนี้ยาฮูระบุว่าแอกซิสจะสามารถทำงานร่วมกับโครม (Chrome), ไฟร์ฟอกซ์ (Firefox), ไออี (IE) และซาฟารี (Safari) โดยจะมีเมนูเครื่องมือแอกซิสปรากฏที่ด้านล่างของหน้าจอ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้สามารถค้นหาและดูภาพเพจที่พบได้บนหน้าจอเดิมลักษณะเดียวกับที่เห็นบนอุปกรณ์ไอโอเอส
     
       เว็บไซต์ที่เปิดบ่อยบนไอโฟนและไอแพดจะปรากฏบนโฮมเพจบนเบราว์เซอร์ได้เมื่อกดปุ่มบนแถบเครื่องมือแอกซิสซึ่งติดตั้งในเครื่องพีซี ทั้งหมดนี้ยาฮูเปิดให้บริการแอกซิสแล้วที่ iTunes และเว็บไซต์ http://axis.yahoo.com/ คาดว่าจะได้รับความสนใจจากผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลก
     
       คลิกชมวิดีโอ 3 ชิ้นด้านล่างเพื่อความเข้าใจในแอกซิสเพิ่มขึ้น โดยวิดีโอแรกแสดงแนวคิดการทำงานโดยรวมของแอกซิส วิดีโอชิ้นที่สองสาธิตการทำงานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ และชิ้นที่บนไอโฟน


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2555 11:40 น.

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ไอบีเอ็มจัดเต็มระบบคลาวด์องค์กรไซส์กลาง

ไอบีเอ็มต่อยอดแนวคิดสมาร์ทเตอร์คอมพิวเตอร์ ส่งโปรดักต์ใหม่ “ไอบีเอ็ม เพียวซิสเต็มส์” แพกคลาวด์คอมพิวติ้งไว้ในตู้เดียว เน้นความง่ายและประหยัด มุ่งเจาะตลาดองค์กรขนาดกลาง ประหยัดงบได้มากกว่า 50%
      
       นายธนพงษ์ อิทธิสกุลชัย รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธุรกิจคอมพิวเตอร์ บริษัท ไอบีเอ็ม ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ภายในสัปดาห์นี้ทางไอบีเอ็มประเทศไทยพร้อมที่จะนำเสนอระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า Expert integrated system ภายใต้ชื่อ ไอบีเอ็ม เพียวซิสเต็มส์ ในประเทศไทย ซึ่งทางไอบีเอ็มมองว่าระบบนี้จะเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรที่มีจำนวนพนักงานตั้งแต่ 500 คนขึ้นไปจนถึงเกือบหมื่นคนที่มองการลงทุนระบบไอทีขององค์กรที่จะก้าวไปสู่คลาวด์ภายในองค์กร หรือในอนาคตจะก้าวสู่คลาวด์สาธารณะ โดยเพียวซิสเต็มส์นี้สามารถช่วยให้การบริหารจัดการระบบไอทีที่ยุ่งยากซับซ้อนให้ง่ายและประหยัดทรัพยากรการจัดการไอทีภายในองค์กรได้อย่างมหาศาล
      
       จากข้อมูลไอดีซีระบุว่า องค์กรขนาดกลางต้องใช้งบประมาณทางด้านไอทีถึง 70% ในการดำเนินงานและบำรุงรักษาระบบ ทำให้แหลือเงินเพียงเล็กน้อยประมาณ 1 ใน 5 ของงบประมาณสำหรับใช้ในการพัฒนาแอปพลิเคชันหรือนำนวัตกรรมใหม่ๆ ทางด้านไอที
      
       ทั้งนี้ ไอบีเอ็มใช้เวลา 4 ปี หมดงบประมาณไปกว่า 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในการวิจัยและพัฒนา และยังใช้ทีมวิศวกรทั้งหมดกว่าพันคนที่ทำงานในห้องทดลอง 17 แห่งจาก 37 ประเทศทั่วโลก เพื่อพัฒนาระบบ Expert integrated system ขึ้นมา ที่เป็นการออกแบบสเกลอินใหม่ที่รวมเซิร์ฟเวอร์ หน่วยเก็บข้อมูล เครือข่าย และความเชี่ยวชาญไว้ภายในตัว เพียวซิสเต็มส์นั้นแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้าครั้งสำคัญในวิวัฒนาการระบบคอมพิวเตอร์ โดยการเชื่อมต่อระหว่างฮาร์ดแวร์กับซอฟต์แวร์ให้เกี่ยวโยงกันมากขึ้น
      
       นายธนพงษ์กล่าวอีกว่า การออกแบบสเกลอินของเพียวซิสเต็มส์เป็นการผสานรวมและการออปติไมซ์องค์ประกอบสำคัญทั้งหมดที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับศูนย์ข้อมูลในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็นระบบเครือข่าย หน่วยเก็บข้อมูล การคำนวณ การบริหารจัดการระบบ ฯลฯ และจัดเตรียมระบบการจัดการแบบมุมมองเดียว ผลลัพธ์ที่ได้คือระบบที่สามารถตั้งค่าได้ง่ายและประหยัดค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษาและอัปเกรด
      
       “เพียวซิสเต็มส์เพียงชุดเดียวสามารถตั้งค่าและรันได้โดยใช้เวลาเพียง 1 ใน 3 เมื่อเปรียบเทียบกับเทคโนโลยีอื่นของไอบีเอ็ม เมื่อเปรียบเทียบกับเซิร์ฟเวอร์เบลดรุ่นก่อนหน้านี้ เพียวซิสเต็มส์สามารถปรับสเกลรีซอร์สการคำนวณระบบเครือข่ายและหน่วยเก็บข้อมูลได้โดยอัตโนมัติและรวดเร็ว”
      
       ไอบีเอ็ม เพียวซิสเต็มส์ ที่เปิดตัวในครั้งนี้มีด้วยกัน 2 โมเดล ประกอบไปด้วย IBM PureFlex และ IBM PureApplication โดย IBM PureFlex เป็นซิสเต็มส์ที่รวมโครงสร้างพื้นฐานระบบไอทีไว้เสร็จสรรพ ตั้งแต่เซิร์ฟเวอร์ สตอเรจ เน็ตเวิร์ก ซอฟต์แวร์บริหารจัดการ และซอฟต์แวร์ด้านเวอร์ชวลไลเซชัน สามารถนำไปติดตั้งแอปพลิเคชันทางธุรกิจได้ทันที
      
       ส่วน IBM PureApplication จะเป็นเซิร์ฟเวอร์ที่ออกแบบมาสำหรับติดตั้งแอปพลิเคชันต่างๆ ด้วยการนำเสนอการขายด้วยพาร์ตนัมเบอร์เดียว และยังได้เพิ่มความพิเศษสุดตรงความสามารถของซอฟต์แวร์ใหม่ที่เรียกว่า รูปแบบของความเชี่ยวชาญ (Pattern of Expertise) รูปแบบดังกล่าวรวมความรู้และทักษะการดำเนินงานและความเชี่ยวชาญอุตสาหกรรมเข้าไว้ในระบบโดยตรง เพื่อทำให้ภารกิจด้านไอทีและอุตสาหกรรมทั่วไปหลายประเภทกลายเป็นระบบอัตโนมัติ และสามารถลดเวลาและรีซอร์สที่จำเป็นต้องใช้สำหรับภารกิจพื้นฐานและภารกิจที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น โปรแกรมการจัดการความสัมพันธ์กับลูกค้าที่เคยใช้เวลาหลายสัปดาห์ในการนำไปใช้ ขณะนี้สามารถนำไปใช้ได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง
      
       พร้อมกันนี้ ไอบีเอ็มยังได้เปิดตัว เพียวซิสเต็มส์ เซ็นเตอร์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแอปลิเคชันเอนเตอร์ไพรส์สำหรับเพียวซิสเต็มส์โดยเฉพาะผ่านทางออนไลน์ ซึ่งมีตั้งแต่แอปพลิเคชันทั่วไป และแอปพลิเคชันเฉพาะอุตสาหกรรมมากกว่า 150 รายการ ไม่ว่าจะเป็นแอปพลิเคชันสำหรับธนาคาร อุตสาหกรรมสินค้าสำหรับผู้บริโภค ยานยนต์ และอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น โซลูชันต่างๆ จนถึงการให้บริการไอทีเซอร์วิสที่ออกแบบเพื่อตอบสนองธุรกิจช่วยให้ค้นหารูปแบบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว
      
       นายธนพงษ์กล่าวว่า เนื่องจากไอบีเอ็ม เพียวซิสเต็มส์ ถูกสร้างขึ้นมาบนแนวคิดสำหรับองค์กรขนาดกลางที่ต้องการก้าวสู่ไพรเวตคลาวด์ แต่ยังขาดความพร้อมทางด้านบุคลากร รวมถึงงบประมาณที่จำกัด ด้วยความง่ายและคล่องตัวที่ไม่ต้องมองหาอุปกรณ์อื่นๆ มาสร้างระบบไพรเวตคลาวด์ขึ้นมาเอง เพราะไอบีเอ็มได้ทำการอินทิเกรตอุปกรณ์เหล่านั้นมาให้เรียบร้อยแล้ว ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนวิธีคิด วิธีการทำงานของระบบไอทีองค์กร ทุกอย่างพร้อมทำงานด้วยเพียงการคลิกแค่ 4 คลิกเท่านั้น
      
       ในการทำตลาด ไอบีเอ็มได้วางตำแหน่งของเพียวซิสเต็มส์ออกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มแรกสำหรับลูกค้าที่ดำเนินธุรกิจด้านการให้บริการคลาวด์สาธารณะ และผู้พัฒนาระบบคลาวด์ในองค์กร กลุ่มที่ 2 องค์กรที่ต้องการนำผลิตภัณฑ์ของไอบีเอ็มเข้าไปทำงานร่วมกับสภาพแวดล้อมทางไอทีที่มีความหลากหลาย เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น เช่น องค์กรทางด้านโทรคมนาคม และธนาคาร และกลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มลูกค้าเดิมของไอบีเอ็มที่ต้องการต่อยอดการใช้งานทางด้านตลาดคลาวด์คอมพิวติ้งมากขึ้น
      
        “ระบบเริ่มต้นของเพียวซิสเต็มส์ เริ่มตั้งแต่ราคา 5-10 ล้านบาท ขึ้นอยู่กับคอนฟิกแต่ละบริษัท”
      
       นายธนพงษ์ยอมรับว่า ตลาดของเพียวซิสเต็มส์ถือเป็นตลาดใหม่ แตกต่างจากการลงทุนระบบไอทีแบบเดิมๆ ที่ใช้งบประมาณสูง แต่สำหรับเพียวซิสเต็มส์ถ้าเป็น IBM PureFlex สามารถประหยัดงบประมาณได้ถึง 50% ขณะที่ IBM PureApplication กลับสูงกว่าประมาณ 70%
      
       Company Relate Link :
       IBM Pure Systems


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 พฤษภาคม 2555 06:38 น.

Chrome เขี่ย IE นั่งแชมป์เว็บเบราว์เซอร์โลก 1 สัปดาห์

       ผลสำรวจตลาดผู้ใช้อินเทอร์เน็ตโลกชิ้นล่าสุด พบว่าโปรแกรมเปิดเว็บไซต์หรือเว็บเบราว์เซอร์ของกูเกิลอย่างโครม (Chrome) นั้นสามารถแซงหน้าไออีหรือ Internet Explorer ของไมโครซอฟท์ไปได้เป็นช่วงเวลาสั้นๆ ส่งให้โครมกลายเป็นประตูที่ชาวออนไลน์ใช้เปิดเว็บไซต์มากที่สุดในโลกช่วง 1 สัปดาห์ที่ผ่านมา
      
       แม้จะเป็นช่วงเวลาเพียง 1 สัปดาห์ แต่การแซงหน้าของสัดส่วนผู้ใช้โครมที่สูงกว่าไออีนั้นถูกบันทึกว่าเป็นครั้งแรกที่ไออีถูกแซงหน้าในรอบ 10 กว่าปีที่ไออีครองแชมป์เบราว์เซอร์โลก โดยการสำรวจจากบริษัทวิจัย StatCounter พบว่า ในช่วงที่โครมถูกใช้งานมากที่สุด สัดส่วนผู้ใช้โครมคือ 31.88% จากปริมาณเว็บทราฟฟิกหรือการเรียกใช้งานเว็บไซต์ที่เกิดขึ้นทั่วโลก สูงกว่าไออีที่มีสัดส่วนการใช้งาน 31.47%
      
       อีกแนวโน้มที่น่าสนใจ คือแนวโน้มจากกราฟแสดงปริมาณผู้ใช้โครมนั้นสะท้อนว่าโครมกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น ผิดจากไออีที่มีทิศทางกราฟลดลงอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งทั้งหมดเป็นเพียงการคาดการณ์ที่ต้องการเวลาพิสูจน์
      
       อย่างไรก็ตาม การแซงหน้าครั้งนี้เกิดขึ้นไม่ถาวร และไออีสามารถตีเสมอขึ้นมาได้สำเร็จ จุดนี้มีการวิเคราะห์ว่าเพราะไออียังมีฐานผู้ใช้ที่มั่นคงในหลายภูมิภาค ซึ่งล้วนเป็นภูมิภาคที่มีประชากรหนาแน่น เช่น อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ รวมถึงประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่บนโลกอุตสาหกรรมไอทีอย่างอินเดีย
      
       ที่สำคัญ ไออียังคงมีไม้ตายที่การเป็น “default web browser” ที่ติดตั้งมาให้เรียบร้อยในเครื่องที่ใช้ระบบปฏิบัติการวินโดวส์ (Windows) ซึ่งมีสัดส่วนมากกว่า 90% ในโลกคอมพิวเตอร์ ทำให้ไออียังสามารถครองตลาดผู้ใช้ที่ไม่ชำนาญด้านเทคโนโลยีได้อย่างเหนียวแน่น เพราะผู้ใช้เหล่านี้มักไม่ดาวน์โหลดเบราว์เซอร์อื่นมาใช้งานแทน
      
       สำหรับจุดเด่นที่ทำให้โครมสามารถทำคะแนนนิยมเหนือไออี เชื่อว่าเป็นเพราะรูปแบบการใช้งานที่สะดวกและเรียบง่าย แถมยังสามารถทำความเร็วในการเปิดเว็บไซต์ได้ดี ทั้งหมดนี้ไมโครซอฟท์ไม่ได้นิ่งนอนใจ และพยายามปรับปรุงให้ไออีรุ่นใหม่สามารถทำงานได้ดีและปลอดภัยกว่าเดิม ซึ่งทั้งหมดจะรวมอยู่ใน Internet Explorer 10 ที่ไมโครซอฟท์จะแจ้งเกิดด้วยการพ่วงไปกับระบบปฏิบัติการ Windows 8 เพื่อวางจำหน่ายในปีนี้
      
       Company Related Link :
       Chrome


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 23 พฤษภาคม 2555 09:57 น.

วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555

ไปดูต้นไม้อัจฉริยะ "โต้ตอบกับเจ้าของได้"

       ทีมวิจัยมหาวิทยาลัย Keio University โชว์ระบบที่ทำให้ต้นไม้มีชีวิตชีวามากกว่าเคย เพราะระบบนี้จะทำให้ต้นไม้ขยับกิ่งแสดงท่าทางรับรู้เรื่องราวที่เราเล่าให้ฟังได้ รวมถึงสะบัดใบเพื่อโต้ตอบกับผู้คนบริเวณนั้นได้ง่ายๆ
   
       ระบบอัจฉริยะที่ว่านี้ประกอบด้วยมอเตอร์ 2 กลไก ซึ่งเป็นเบื้องหลังที่ทำให้ต้นไม้เคลื่อนไหวได้ โดยมอเตอร์นี้จะทำงานอิงตามคำสั่งจากไมโครโฟนและเซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว เป็นผลให้ต้นไม้สามารถตอบสนองการเคลื่อนไหวของผู้คนบริเวณรอบๆได้

ทีมวิจัยทดสอบระบบต้นไม้อัจฉริยะนี้กับต้นไม้หลายชนิดและหลากสภาวะแวดล้อม ผลคือต้นไม้อัจฉริยะนี้สามารถเคลื่อยไหวได้หลายรูปแบบตามอารมณ์ความเคลื่อนไหวที่ตรวจจับได้ แถมยังสามารถใช้งานได้ทั้งในอาคารและนอกอาคาร ขณะเดียวกันก็สามารถใช้ได้ทั้งกับต้นไม้ขนาดเล็กและใหญ่ (ชมการเคลื่อนไหวของต้นไม้อัจฉริยะนี้ได้จากวิดีโอด้านล่าง)

นักวิจัยมหาวิทยาลัย Keio University ระบุว่าระบบดังกล่าวถูกพัฒนาเพื่อให้ต้นไม้สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ รวมถึงการแสดงอารมณ์ของต้นไม้ในรูปแบบใหม่ ซึ่งจากการพัฒนามาร่วมปี ยังไม่พบต้นไม้ใดที่เสียหายเพราะระบบนี้
    
Company Related Link :
Keio U


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 เมษายน 2555 16:15 น.

วันเสาร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2555

ชมโฉม “แว่นอัจฉริยะ” จากกูเกิล

กูเกิล (Google) เปิดตัวโปรเจกต์ล่าสุดอย่างเป็นทางการในนาม “Project Glass” ประเดิมโชว์ต้นแบบแว่นตาเทคโนโลยี augmented reality หรือ AR แก่สาธารณชน ซึ่งผู้ใส่จะได้เห็นข้อมูลแบบอิงสถานที่ในแบบเรียลไทม์ ที่สำคัญคือผู้ใส่สามารถเอ่ยปากออกคำสั่งให้แว่นบันทึกภาพวิดีโอ ถ่ายรูป และรับส่งข้อความ เครือข่ายสังคมของกูเกิล “กูเกิลพลัส (Google+)” ถูกใช้เป็นเวทีเปิดเผยรายละเอียด Project Glass อย่างน่าสนใจ เพราะทีม Google X ผู้พัฒนาโปรเจกต์นี้ต้องการประชาสัมพันธ์ให้นักพัฒนาร่วมกันสร้างสรรค์ข้อมูลสำหรับแว่นอัจฉริยะนี้ผ่านเครือข่ายสังคมของกูเกิล ที่ผ่านมาโครงการนี้ถือเป็นความลับซึ่งกูเกิลยังไม่เคยออกมายืนยันความจริงแม้จะมีข่าวลือหนาหูเพียงไร ทีมงานกูเกิลระบุว่า การเปิดเผยข้อมูลครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะต้องการแลกเปลี่ยนความรู้ที่หลากหลายกับทุกคน โดยผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดความคืบหน้าของเรื่องราวและแนวคิดแว่นตาอัจฉริยะนี้จากกูเกิลได้ ขณะเดียวกันก็สามารถร่วมเสนอแนวคิดต่อกูเกิลได้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่กูเกิลพัฒนาโครงการพัฒนาอุปกรณ์อัจฉริยะที่สวมใส่ได้ หรือ wearable computing ตัวแว่นตาประกอบด้วยเลนส์โปร่งใส หรือ see-through lens ที่สามารถรับข้อมูลแบบสตรีมมิ่งแก่ผู้ใช้ได้อย่างไร้รอยต่อ ความสามารถสำคัญของแว่นนี้คือการทำงานด้านมัลติมีเดียที่สามารถรองรับคำสั่งเสียง ซึ่งตรงกับข่าวลือที่ถูกเผยแพร่มาก่อนหน้านี้ นิก บิลตัน (Nick Bilton) ผู้สื่อข่าวนิวยอร์กไทมส์เคยรายงานว่า หนึ่งในผู้ที่ได้ทดลองใช้งานแว้นอัจฉริยะนี้บรรยายว่าแว่นจะช่วยอำนวยความสะดวกให้ผู้ใช้ไม่ต้องล้วงกระเป๋าเพื่อหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แต่สามารถกดปุ่มที่แว่นตาเพื่อถ่ายภาพ หรือรับข้อมูลได้ทันใจ


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2555 12:27 น.

อินเทลจัด 'อะเมซิ่งพีซี' คาราวานสอนคอมพ์รากหญ้า

อินเทลมาแปลกเติมหมวดความรู้ในโครงการอะเมซิ่ง พีซี ใส่โปรแกรมอีเลิร์นนิ่งสอนทักษะใช้คอมพ์ 'อีซี่ สเต็ปส์' อบรมเข้ม 2 วัน 6 หลักสูตร พร้อมจับมือพันธมิตรแบรนด์พีซีดัง 7 ราย พ่วงภาครัฐ กระทรวงไอซีทีและกสทช. เข้าหนุน หวังเจาะตลาดรากฐานในต่างจังหวัด 15 ล้านครัวเรือนที่ยังไม่มีคอมพ์ใช้ นายเอกรัศมิ์ อวยสินประเสริฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท อินเทล ไมโครอิเล็กทรอนิกส์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า อินเทลจับมือกับกระทรวงไอซีที ,คณะกรรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.),สถาบันเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเพื่ออุตสาหกรรม (ไอซีทีไอ) และพันธมิตรทางธุรกิจทั้งผู้ผลิตคอมพิวเตอร์ 7แบรนด์ดัง ประกอบด้วย เอเซอร์ เอซุส ซัมซุง เดลล์ เอชพี เลอโนโวและโตชิบา ผู้ให้บริการเครือข่ายสื่อสาร ไม่ว่าจะเป็นบริษัท ทีโอที เอไอเอสและ 3บีบี ร่วมมือกันภายใต้โครงการ อะเมซิ่ง พีซี ซึ่งเป็นโครงการที่อินเทลจัดต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 6 ความพิเศษของโครงการอะเมซิ่ง พีซีในปีนี้ อยู่ที่จะเป็นปีแรกที่เน้นการให้ความรู้ชุมชนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลในต่างจังหวัดในรูปแบบคาราวานความรู้ที่มีถึง 7 คาราวาน ที่จะลงไปยังพื้นที่ในระดับตำบล 400 แห่งใน 67 จังหวัดทั่วประเทศ โดยคาดว่าโครงการนี้จะทำให้กว่า 4 แสนครัวเรือนทั่วประเทศมีโอกาสเข้าถึงและได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ นายเอกรัศมิ์กล่าวว่าจากผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติระบุว่า สัดส่วนของครัวเรือนในประเทศไทยที่มีกว่า 19.65 ล้านครัวเรือนนั้น มีถึง 15.16 ล้านครัวเรือนหรือ 77% ยังไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้งาน เมื่อเจาะลึกลงไปว่า ทำไมถึงไม่มีคอมพิวเตอร์ใช้งานนั้น มีถึง 59% ที่ระบุว่า ไม่เห็นความจำเป็น สามารถใช้งานจากที่อื่นได้ 15% ใช้ไม่เป็น 12% ขณะที่ปัจจัยเรื่องราคาแพงนั้นมีเพียง 2% เท่านั้น ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่า เวลานี้รายได้ของครัวเรือนในประเทศไทยมีมากเพียงพอที่จะซื้อหาคอมพิวเตอร์มาใช้แล้ว แตกต่างจากเมื่อ 10 ปีที่แล้วที่ปัจจัยราคามีสัดส่วนที่สูงมาก


โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 5 เมษายน 2555 10:35 น.

“รถบินได้” พร้อมขายปีหน้า

รถบินได้จะไม่ได้อยู่แค่ในนิยายวิทยาศาสตร์สติเฟื่องอีกต่อไป เพราะบริษัทอเมริกันนาม Terrafugia Inc. ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวเอพีว่าต้นแบบรถบินได้นั้นผ่านขั้นตอนการทดสอบมาแล้วอย่างสมบูรณ์ ทำให้แผนการวางจำหน่ายรถบินได้ในปี 2013 ของบริษัทกำลังจะเป็นจริงขึ้นเรื่อยๆ รถบินได้นี้มีชื่อว่า Transition มาพร้อม 2 ที่นั่ง 4 ล้อ และปีกซึ่งสามารถพับได้ ตัวเครื่องสามารถใช้ขับขี่บนท้องถนนได้ปกติ ขณะเดียวกันก็สามารถบินขึ้นสู่ท้องฟ้าด้วยความสูง 1,400 ฟุตในเวลา 8 นาที (จากการทดสอบเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา) เทียบกับเครื่องบินพาณิชย์ที่บินในระดับความสูง 35,000 ฟุต

คลิปวิดีโอข้างบนนี้ถูกเปิดตัวตั้งแต่ปี 2010 หลังผ่านไป 2 ปี ข้อมูลล่าสุดคือรถบินได้คันนี้ถูกจับจองด้วยเงิน 10,000 เหรียญสหรัฐ (ราว 300,000 บาท) จากผู้สนใจ 100 รายเพื่อสิทธิ์ซื้อ Transition ก่อนใคร คาดว่าตัวเลขลูกค้าของรถบินได้จะเพิ่มจำนวนขึ้นหากบริษัท Terrafugia เริ่มเปิดตัว Transition ต่อสาธารณชนในงาน New York Auto Show ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงสัปดาห์นี้ สนนราคาของรถบินได้นี้คือ 279,000 เหรียญ หรือประมาณ 8.6 ล้านบาท อย่างไรก็ตาม รถบินได้รุ่นนี้ไม่ถูกมองว่าจะสามารถช่วยให้ผู้ใช้พ้นจากสถานการณ์จราจรติดขัด เพราะตัวรถยังต้องการรันเวย์เพื่อบินขึ้น ประวัติศาสตร์ความพยายามพัฒนารถบินได้นั้นเกิดขึ้นตั้งแต่ยุค 1930 โดย Robert Mann นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมการบินนั้นมองว่า Terrafugia เป็นผู้พัฒนาที่มาใกล้ความจริงมากที่สุด ซึ่งรัฐบาลสหรัฐฯ ก็มีส่วนช่วยเหลือโครงการนี้ด้วยการอนุมัติคำขอของบริษัทในการใช้กระจกพิเศษซึ่งมีน้ำหนักเบากว่ากระจกในรถยนต์ปกติ รวมถึงการสร้างความมั่นใจด้วยการตรวจสอบระบบชิ้นส่วนรถที่ถูกพัฒนาขึ้นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้มีน้ำหนักเบากว่าเดิมโดยละเอียด Transition สามารถเดินทางด้วยความเร็ว 70 ไมล์ต่อชั่วโมงบนถนน และ 115 ไมล์ต่อชั่วโมงบนอากาศ แหล่งพลังงานที่มช้คือน้ำมันรถยนต์ 23 แกลลอนแทงค์ ซึ่งการเดินทางบนอากาศจะผลาญพลังงาน 5 แกลลอนต่อชั่วโมง สำหรับภาคพื้นดิน จะใช้น้ำมัน 35 ไมล์ต่อแกลลอน อย่างไรก็ตาม ยังมีความกังวลว่ารถบินได้จะยังไม่สามารถสร้างกระแสให้ผู้บริโภคได้ เพราะปัญหาราคาน้ำมันเชื้อเพลิงสูงทั่วโลก

Company Related Link : Terrafugia

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 3 เมษายน 2555 10:00 น.

วันอังคารที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

นับถอยหลัง GDrive ไดร์ฟพิเศษจาก Google?

บริการที่ร่ำลือกันมานานอย่าง GDrive ถูกนำมากล่าวถึงอีกครั้งในวันนี้ โลกออนไลน์ฟันธงว่าพี่ใหญ่เสิร์ชเอนจิ้นอย่างกูเกิล (Google) จะเปิดให้บริการเก็บไฟล์ออนไลน์แก่สาธารณชนในช่วงไม่กี่สัปดาห์นับจากนี้ คาดว่าจะมาพร้อมบริการที่ต่ำกว่าบริการเก็บไฟล์ยอดฮิตอย่าง Dropbox ด้วย

วอลล์สตรีทเจอร์นอลเป็นหนึ่งในสื่อที่รายงานเรื่องนี้อย่างละเอียด โดยระบุว่าบริการใหม่ของกูเกิลซึ่งในข่าวใช้ชื่อบริการว่า "Drive" นั้นจะให้พื้นที่ฝากไฟล์แก่ชาวออนไลน์ฟรีระดับหนึ่ง ขณะที่ผู้ใช้ในองค์กรธุรกิจจะสามารถใช้งานร่วมกับ Google Apps ได้

ฟังดูอาจไม่ค่อยพิเศษ เพราะกูเกิลเริ่มแนบคุณสมบัติให้พื้นที่เก็บข้อมูลฟรีในบริการทั้ง Google Docs และ Gmail ต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2010 อยู่แล้ว เพียงแต่ก็ยังไม่เคยประชาสัมพันธ์ในชื่อ GDrive หรือบริการฝากไฟล์สไตล์ Dropbox เท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม เจอร์นอลตั้งข้อสังเกตว่าความเคลื่อนไหวครั้งนี้จะเน้นให้บริการไฟล์ประเภทภาพ วิดีโอ และข้อมูลส่วนตัว ซึ่งเพิ่มเติมจากบริการด้านเอกสาร อีเมล และเพลงที่กูเกิลแถมพื้นที่มาให้แล้วก่อนหน้านี้

บริการฝากไฟล์ออนไลน์นั้นเป็นบริการเทคโนโลยีคลาวด์คอมพิวติ้งที่นิยมมากในปัจจุบัน หลักการคือผู้ใช้คอมพิวเตอร์จะสามารถฝากไฟล์ไว้บนโลกออนไลน์ได้อย่างอิสระ เพื่อให้อุปกรณ์ทุกอย่างที่เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตสามารถเปิดไฟล์นั้นๆได้ทุกที่ทุกเวลา บริการนี้ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องพกพาคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเครื่องใหญ่ไปมา หรือไม่ต้องพกพาแฟลชไดร์ฟติดตัว แต่สามารถใช้โทรศัพท์มือถือ หรืออุปกรณ์ต่ออินเทอร์เน็ตอื่นๆเป็นเครื่องมือเปิดไฟล์ในขณะเดินทางได้

สำหรับกรณีของกูเกิล แหล่งข่าวของเจอร์นอลรายงานว่า หากผู้ใช้ต้องการอีเมลวิดีโอที่ถ่ายจากกล้องบนสมาร์ทโฟน แอปพลิเคชัน Drive ในสมาร์ทโฟนจะช่วยอัปโหลดไฟล์วิดีโอขึ้นสู่เว็บไซต์ได้แบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผู้ใช้รายนั้นสามารถส่งเพียงลิงก์แนบไปกับอีเมล แทนที่จะต้องเสียเวลาแนบไฟล์ใหญ่โตของวิดีโอ

การอัปโหลดไฟล์วิดีโอจากสมาร์ทโฟนแบบอัตโนมัติจะช่วยให้การแบ่งปันวิดีโอบนบริการเครือข่ายสังคมทำได้ง่ายขึ้นด้วย หากไม่แบ่งปันในเครือข่ายสังคม ก็สามารถเปิดให้กลุ่มเพื่อนเฉพาะคนเข้ามาชมวิดีโอได้ในขณะเดียวกัน

นี่เป็นรายงานข่าวเกี่ยวกับ GDrive ชิ้นล่าสุดหลังจากถูกลือครั้งแรกในปี 2007 ว่ากูเกิลจะเพิ่มไดร์ฟเก็บข้อมูลดิจิตอลให้ผู้ใช้แต่ละคนสามารถเข้าถึงข้อมูลโดยไม่ต้องผูกติดกับคอมพิวเตอร์เครื่องใดเครื่องหนึ่ง ข่าวดังกล่าวหายเงียบไปจนกระทั่งปี 2009 มีการรายงานว่าบริการดังกล่าวจะถูกใช้ชื่อว่า "Google Web Drive" จนล่าสุดปี 2011 ที่ผ่านมา กูเกิลเปิดตัวบริการตู้เก็บเพลงออนไลน์ที่สามารถสตรีมเพลงไปเล่นบนอุปกรณ์ใดก็ได้ในชื่อ Google Music ซึ่งยังไม่เป็นกระแสร้องแรงเท่าที่ควร

ตามธรรมเนียม กูเกิลยังไม่เปิดเผยความเห็นใดๆต่อรายงานข่าวที่เกิดขึ้น เท่ากับชาวออนไลน์ต้องรอดูความคืบหน้าต่อไป

Company Related Link :
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 10 กุมภาพันธ์ 2555 19:38 น.

วันศุกร์ที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ผู้บริโภคจะเป็นอย่างไร เมื่อ Symantec ถูกนักแฮกเรียกค่าไถ่ ?


หนึ่งในข่าวไอทีต่างประเทศที่ได้รับความสนใจจากโลกออนไลน์ในช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา คือไซแมนเทค (Symantec) ยักษ์ใหญ่แห่งวงการรักษาความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ที่ถูกโจรไฮเทคกลุ่ม Anonymous เรียกเงินค่าไถ่ โดยขู่ว่าหากไซแมนเทคไม่ยอมจ่ายเงิน ซอร์สโค้ดหรือชุดคำสั่งในโปรแกรม Norton Utilities และ pcAnywhere ที่ไซแมนเทควางขายแก่ผู้ใช้ จะถูกเผยแพร่ต่อสาธารณชนบนโลกออนไลน์

ไม่พูดเปล่า แต่แฮกเกอร์โจรยังขู่ไซแมนเทคด้วยการปล่อยซอร์สโค้ดบางส่วนออกมาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งเชื่อว่าจะมีการปล่อยซอร์สโค้ดออกมาอีกในอนาคต

การปล่อยซอร์สโค้ดโปรแกรมนั้นเป็นคำขู่ที่ยิ่งใหญ่สำหรับบริษัทจำหน่ายโปรแกรมแอนตี้ไวรัสอย่างไซแมนเทค เพราะการเผยแพร่ชุดคำสั่งสู่สาธารณชนจะมีโอกาสทำให้กลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี สามารถศึกษาชุดคำสั่งเพื่อเจาะระบบการป้องกันที่วางไว้ได้ ไม่ต่างกับการส่งแผนที่ให้ศัตรูรู้ว่าได้วางกับดักใดไว้ในสมรภูมิรบ ซึ่งศัตรูจะสามารถหาช่องทางเจาะแนวรบเข้ามาประชิดเมืองได้ง่ายกว่าเดิม

หากประชิดเมืองได้ ชาวเมืองย่อมตกอยู่ในอันตรายอย่างไม่ต้องสงสัย เท่ากับผู้ใช้ผลิตภัณฑ์ของไซแมนเทคกำลังอยู่ในความเสี่ยง แต่ในข่าว ไซแมนเทคยืนยันว่าผู้บริโภคจะไม่ได้รับผลกระทบอะไร แถมคาดว่าซอร์สโค้ดที่กำลังจะถูกเผยแพร่เพิ่มเติมนั้นเป็นชุดคำสั่งเก่าที่จะไม่มีผลใดๆกับผู้ใช้ในพ.ศ.นี้

คำถามคือจริงหรือไม่ อย่างไร?

คำยืนยันของไซแมนเทคมีส่วนเชื่อถือได้ เพราะ Cris Paden ประชาสัมพันธ์ของไซแมนเทคนั้นยืนยันว่าชุดคำสั่งที่ Anonymous เผยแพร่ออกมาเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์นั้นเป็นชุดคำสั่งเดียวกับที่บริษัทเคยพบว่าถูกขโมยไปตั้งแต่ปี 2006 โดยเป็นชุดคำสั่งของโปรแกรม Norton Utilities และ pcAnywhere คาดว่าชุดคำสั่งต่อไปที่โจรนักแฮกจะปล่อยออกมา อาจเป็นชุดคำสั่งของโปรแกรม Norton Antivirus Corporate Edition และ Norton Internet Security ปี 2006

ความที่เป็นโปรแกรมเก่าแก่อายุมากกว่า 5 ปี ทำให้ไซแมนเทคเชื่อว่าลูกค้าไซแมนเทคและนอร์ตันจะไม่มีความเสี่ยงเพิ่มขึ้น แถมประชาสัมพันธ์ไซแมนเทคยังย้ำว่าบริษัทไม่ได้หวั่นใจกับคำขู่ของโจรนักแฮกเลย แม้นักแฮกจะเปิดฉากข่มขู่ไซแมนเทคมาตั้งแต่เดือนมกราคมที่ผ่านมาด้วยการเปิดเผยเอกสารความยาวกว่า 2,700 คำที่อธิบายหลักการทำงานของโปรแกรม Norton Antivirus

เหตุผลคือเพราะเอกสารเหล่านี้เป็นเอกสารเผยแพร่ทั่วไปที่มีอายุมากกว่า 12 ปี ไม่เพียงเก่าแต่ยังไม่มีความลับด้านความปลอดภัยใดๆ ทำให้บริษัทไม่สนใจต่อการเรียกค่าไถ่ซึ่งโจรแฮกเรียกร้องไปถึง 500,000 เหรียญสหรัฐ

ประชาสัมพันธ์ไซแมนเทคชี้แจงว่าบริษัทไม่เคยส่งอีเมลต่อรองค่าไถ่แก่โจรนักแฮก แต่อีเมลที่โจรนักแฮกนำเผยแพร่เพื่อให้โลกเข้าใจว่าได้ต่อรองกับพนักงานของไซแมนเทคเรื่องค่าไถ่นั้น เป็นอีเมลที่ส่งโดยเจ้าพนักงานสหรัฐฯ ซึ่งโต้ตอบหลอกล่อเพื่อสืบหาเบาะแสขบวนการแฮกครั้งนี้ ไม่ใช่อีเมลต่อรองในนามของไซแมนเทคแต่อย่างใด

อีกส่วนที่ผู้บริโภคควรวางใจ คือขบวนการ Anonymous ไม่ได้ประสบความสำเร็จในการแฮกระบบของไซแมนเทค เพราะ Anonymous ยอมรับว่าได้รับข้อมูลซอร์สโค้ดเหล่านี้มาจากการเจาะระบบเครือข่ายทหารของรัฐบาลอินเดีย จุดนี้ไซแมนเทคปฏิเสธไม่ให้ความเห็นเกี่ยวกับแหล่งต้นตอที่ขบวนการ Anonymous อ้างไว้ โดยระบุเพียงว่าไซแมนเทคไม่เคยตกลงแบ่งปันซอร์สโค้ดกับหน่วยงานรัฐบาลอินเดียใดๆ

แต่ลึกๆแล้ว ผู้บริโภคทั่วโลกอดหวั่นใจไม่ได้ เพราะ Norton Antivirus เป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ทำเงินให้ไซแมนเทคในธุรกิจซอฟต์แวร์สำหรับผู้บริโภคคอนซูเมอร์ (มูลค่าตลาด 2 พันล้านเหรียญ) โดยนอร์ตันเป็นโปรแกรมแอนตี้ไวรัสที่มีผู้ใช้งานมากกว่า 150 ล้านคนทั่วโลก

ขณะเดียวกัน ขนาดสุดยอดบริษัทผู้อาสาตัวเป็นผู้ดูแลความปลอดภัยระบบคอมพิวเตอร์ของหลายบริษัททั่วโลกอย่างไซแมนเทค ยังจับพลัดจับพลูถูกนักเจาะระบบดัดหลังเรียกค่าไถ่จนสูญเสียความเชื่อมั่นเช่นนี้ ย่อมแปลว่าอะไรก็เกิดขึ้นได้ในโลกออนไลน์แม้จะมีการรักษาความปลอดภัยเพียงใด

แต่ในเบื้องต้น ไซแมนเทคได้เปิดอัปเดทฟรีสำหรับผู้ใช้โปรแกรม pcAnywhere เพื่อให้ทุกคนเปลี่ยนไปใช้โปรแกรมเวอร์ชันปัจจุบัน พร้อมกับท่องคาถาเดิมว่า ขอให้ผู้บริโภคใช้โปรแกรมรักษาความปลอดภัยเวอร์ชันใหม่อยู่เสมอ เพื่อให้มั่นใจว่าคอมพิวเตอร์ได้รับการคุ้มครองที่รัดกุมตลอดเวลา

ผลกระทบเดียวของผู้บริโภคในเรื่องนี้ จึงดูเหมือนว่าเป็นการตอกย้ำความจริงเรื่องความจำเป็นในการอัปเกรดเวอร์ชันโปรแกรมแอนตี้ไวรัส ซึ่งไม่ใช่แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ ผู้บริโภคอย่างเราทุกคนก็ไม่ควรมองข้าม

Company Related Link :
Symantec

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2555 14:56 น.

3 ปีผ่านไป Chrome ได้ฤกษ์ลุย Android

กูเกิล (Google) ได้ฤกษ์เปิดตัวโปรแกรมเบราว์เซอร์ของตัวเองบนระบบปฏิบัติการของตัวเอง แจ้งเกิด Chrome for Android เพื่อให้ผู้ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ได้เริ่มทดลองใช้งาน ถือเป็นการรวม 2 โปรเจกต์ด้านโปรแกรมที่สำคัญที่สุดของกูเกิลเข้าไว้ด้วยกันอย่างน่าจับตา ด้านผู้บริหารยอมรับ ที่รอเวลาให้แอนดรอยด์มีอายุครบ 3 ปีจึงคลอด Chrome for Android เพราะต้องการพัฒนาจนแน่ใจว่าผู้ใช้จะได้รับสุดยอดประสบการณ์ท่องเว็บทันใจไม่แพ้การใช้งานบนคอมพ์ตั้งโต๊ะ

ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) รองประธานอาวุโสฝ่ายโครมและแอปฯ แถลงถึงเหตุผลในการพัฒนา Chrome for Android ว่าเป็นเพราะการขยายตัวของการใช้งานอินเทอร์เน็ตบนอุปกรณ์พกพา เชื่อว่า Chrome for Android จะยิ่งเพิ่มกิจกรรมออนไลน์ให้กับผู้ใช้แอนดรอยด์มากขึ้นเพราะความสามารถที่เท่าเทียมกับการท่องเน็ตด้วยคอมพิวเตอร์ตัวจริง

"เราต้องการนำความสามารถของเว็บเบราว์เซอร์สำหรับคอมพ์ตั้งโต๊ะแบบครบถ้วนจริงๆ มายกระดับประสบการณ์ของผู้ใช้อุปกรณ์พกพา" พิชัยระบุ "มันเป็นความท้าทาย"

เหตุที่ Chrome for Android ได้รับความสนใจอย่างมากนั้นเป็นเพราะเดิมทีแอนดรอยด์และโครมนั้นถูกมองว่าเป็นการสร้างมาคู่กัน ทั้งคู่เริ่มเปิดให้สาธารณชนเริ่มใช้งานในช่วงปี 2008 โดยสามารถเติบโตจากโครงการเล็กมาเป็นโครงการใหญ่ของกูเกิลได้เหมือนกัน บนจุดประสงค์เดียวกันคือต้องการใช้ชาวโลกใช้งานอินเทอร์เน็ตมากขึ้นและพบกับบริการของกูเกิลมากขึ้น

ทุกวันนี้ แอนดรอยด์และโครมกลายเป็นยานลำใหญ่ที่พาชาวออนไลน์ไปสู่บริการ Google search, YouTube, Google Docs, Google Maps, Google+ และอีกหลายบริการของกูเกิล แต่กว่า 3 ปีที่ผ่านมา ยานแอนดรอยด์และนาวาโครมยังไม่เคยโคจรมาพบกันได้บนอุปกรณ์เดียวกัน ซึ่งจุดนี้กูเกิลระบุว่าต้องการทำให้มั่นใจว่า Chrome for Android นั้นสามารถทำงานได้ดีจริงๆ

Chrome for Android จึงเกิดขึ้นในฐานะเบราว์เซอร์หรือโปรแกรมเปิดเว็บไซต์ที่ต่างจากเบราว์เซอร์ดั้งเดิมที่มาพร้อมกับอุปกรณ์แอนดรอยด์ทั่วไป ขณะนี้เริ่มเปิดให้ผู้ใช้แอนดรอยด์ดาวน์โหลดแล้วที่ Android Market ซึ่งผู้ใช้จะไม่จำเป็นต้องรอการอัปเกรดจากผู้ผลิตเครื่องอย่างเคย อย่างไรก็ตาม กูเกิลยังจำกัดให้ Chrome for Android สามารถใช้งานได้บนแอนดรอยด์เวอร์ชั่นใหม่ล่าสุดคือ ICS (Ice Cream Sandwich) เท่านั้น ทำให้ผู้ใช้แอนดรอยด์ที่มีสิทธิ์ทดสอบ Chrome for Android นั้นมีเพียง 1% ในขณะนี้

การทดสอบพบว่า Chrome for Android มีคุณสมบัติครบเครื่องไม่ต่างจากการใช้งานบนคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะ มาพร้อม V8 JavaScript เพื่อการเปลี่ยนหน้าเพจด้วยแท็บด้านบน การใช้งานสามารถเชื่อมต่อข้อมูลหรือ Synchronize กับโครมเวอร์ชันคอมพ์ตั้งโต๊ะ โดยผู้ใช้สามารถเปิดโปรแกรมเสริม Flash Player ของอโดบีหรือ Native Client ของกูเกิลเองได้ตามต้องการ

อย่างไรก็ตาม แม้ Chrome for Android จะจำกัดการทำงานเฉพาะแอนดรอยด์เวอร์ชันล่าสุด Android 4.0 หรือ Ice Cream Sandwich เท่านั้น แต่นักสังเกตการณ์เชื่อว่า Chrome for Android จะถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในอุปกรณ์ ICS ทั้งที่ยังอยู่ในช่วงทดสอบ ไม่ต่างจากเบราว์เซอร์ซาฟารี (Safari) ที่ได้รับความนิยมมากบนอุปกรณ์ไอโอเอส (iOS) ของแอปเปิล

ทั้งหมดนี้ ผู้บริหารกูเกิลระบุว่าที่ต้องจำกัดให้ Chrome for Android สามารถรองรับเฉพาะ Android 4.0 เป็นเพราะความจำเป็นด้านฮาร์ดแวร์ ซึ่งอุปกรณ์ Android 4.0 นั้นมีประสิทธิภาพและคุณสมบัติที่เข้ากันได้กับระบบมากกว่าโทรศัพท์รุ่นเก่าแน่นอน

ความเคลื่อนไหวนี้ของกูเกิลยังแสดงถึงทิศทางการขยายตัวของตลาดโครม ซึ่งกลายเป็นเบราวเซอร์ที่สามารถแซงหน้าเว็บเบราว์เซอร์รุ่นพี่อย่าง ไฟร์ฟอกซ์ (Firefox) ขึ้นมาอยู่ในอันดับที่ 2 จากส่วนแบ่งล่าสุดที่ 28.94% และ 24.69% ขณะที่ ไออี (Internet Explorer) ยังคงส่วนแบ่งสูงสุดที่ 37.12%

ที่ผ่านมา กูเกิลประกาศจุดยืนในการพัฒนาเว็บเบราว์เซอร์ของตัวเองว่าต้องการคิดใหม่ทำใหม่บนโลกเบราว์เซอร์ เช่นเดียวกับ Chrome for Android ซึ่งกูเกิลต้องการปฏิวัติวงการโมบายล์เบราว์เซอร์ โดยระดมสมองเพื่อสร้างสรรค์ทุกคุณสมบัติจนกลายเป็น Chrome for Android ในที่สุด

Company Related Link :
Android

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 9 กุมภาพันธ์ 2555 11:09 น.

วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

Facebook, Myspace และ Twitter ผนึกกำลังต้าน Google

กลายเป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่พูดถึงไม่ได้สำหรับเครือข่ายสังคมรายใหญ่ทั้งเฟซบุ๊ก (Facebook), ทวิตเตอร์ (Twitter) และมายสเปซ (MySpace) ที่ออกมาต่อต้านการปรับปรุงผลการค้นหาข้อมูลครั้งใหม่ของกูเกิล (Google) อย่างจริงจัง โดยแม้การปรับปรุงครั้งนี้จะยังจำกัดอยู่ที่ในสหรัฐฯ แต่ทั้งหมดถือเป็นก้าวสำคัญที่มีส่วนทำลายภาพลักษณ์กูเกิลที่มีมาตลอดแบบน่าใจหาย

ต้นเหตุของการต่อต้านครั้งนี้มาจากการปรับปรุงระบบจัดอันดับผลการค้นหาหรือ rankings ในเว็บไซต์กูเกิลตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา ปรากฏว่าเนื้อหาในเครือข่ายสังคมกูเกิลพลัส (Google+) ทั้งรูป วิดีโอ ความเห็น และลิงก์ล้วนถูกนำมาแสดงไว้แทนที่จะเป็นเนื้อหาจากเครือข่ายสังคมที่ได้รับการยอมรับมากกว่าอย่างทวิตเตอร์ (Twitter) และเฟซบุ๊ก (Facebook)

ทวิตเตอร์เป็นรายแรกที่ออกมาแสดงความไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงที่กูเกิลให้ชื่อเรียกว่า Search Plus Your World อย่างชัดเจน โดยมองว่าการกระทำเช่นนี้ของกูเกิลนั้นเข้าข่ายปิดกั้นการแข่งขันและเจตนาผูกขาดการค้าในตลาดออนไลน์ เพราะจงใจใช้อิทธิพลในตลาดที่ตัวเองมี เป็นทางลัดให้บริการเครือข่ายของกูเกิลเติบโตอย่างไม่เหมาะสม

ที่ว่าไม่เหมาะสมนั้นเป็นเพราะ Search Plus Your World จะทำให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯเห็นข้อมูลในกูเกิลพลัสแม้ข้อมูลในเครือข่ายสังคมอื่นจะมีคุณภาพมากกว่าและอัปเดทใหม่กว่า จุดนี้กูเกิลอ้างว่าเป็นเพราะเครือข่ายสังคมรายอื่นเลือกจะไม่ต่อสัญญากับกูเกิลในการร่วมมือให้ข้อมูลในเครือข่ายสามารถปรากฏในผลการค้นหา ขณะที่เครือข่ายสังคมหลายค่ายตราหน้าว่ากูเกิลกำลังทำตัวผิดจากปรัญชาบริษัท Don't Be Evil ด้วยท่าทีหวังผลประโยชน์ตนจนไม่คำนึงว่าผู้ใช้จะไม่ได้รับข้อมูลที่ดีที่สุด

แม้จะมีการเรียกร้องให้กรมการค้าสหรัฐฯหรือ Federal Trade Commission ตรวจสอบกูเกิลโดยละเอียด และสงครามน้ำลายที่โต้ตอบไปมาเกี่ยวกับการคัดค้าน Search Plus Your World ของกูเกิล แต่วิศวกรของ Facebook, Twitter และ Myspace ก็ไม่สมใจจนเมื่อวันจันทร์ที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา ทั้งหมดได้ร่วมมือเปิดให้ชาวออนไลน์ติดตั้งโปรแกรมเสริมซึ่งทั้ง 3 ให้ชื่อว่า Don't Be Evil bookmarklet โดยเปิดให้ชาวออนไลน์ดึงไปติดตั้งในเว็บเบราวเซอร์ที่เว็บไซต์ Focusontheuser.org เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับผลการค้นหาปกติ เรียกว่าเป็นโปรแกรมที่หลบการทำงาน Search Plus Your World แบบเบ็ดเสร็จ

ข้อมูลเบื้องต้นระบุว่า โปรแกรมเสริมนี้ใช้เวลาสร้างในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยมี Blake Ross ประธานฝ่ายผลิตภัณฑ์และ Tom Occhino และ Marshall Roch วิศวกรซอฟต์แวร์ของเฟซบุ๊กเป็นผู้นำทีม แต่ไม่แน่ชัดว่าทั้งหมดคือผู้ที่ตั้งชื่อ Don't Be Evil สุดแสบให้กับโปรแกรมนี้หรือไม่ ซึ่งแม้แต่เด็กมัธยมยังรู้ว่านี่คือการ"หลอกด่า"กูเกิลอย่างชัดเจน

ไม่เพียงการเปิดให้ผู้ใช้ในสหรัฐฯดึงโปรแกรมเสริม Don't Be Evil ไปใช้งาน ในเว็บไซต์ Focus on the User ยังอธิบายว่าหากผู้ใช้ค้นหาคำว่า "cooking" บนกูเกิลในวันนี้ จะพบกับลิงก์ที่เกี่ยวกับสุดยอดพ่อครัว Jamie Oliver แต่ลิงก์ดังกล่าวไม่ใช่ลิงก์โปรไฟล์ทวิตเตอร์ของเชฟ Jamie แต่เป็นโปรไฟล์ในบริการกูเกิลพลัสซึ่งมีการอัปเดทครั้งล่าสุดเมื่อ 2 เดือนที่แล้ว แต่ทวิตเตอร์ของเชฟ Jamie นั้นอัปเดทเร็วกว่า ทั้งหมดนี้แสดงถึงความไม่เหมาะสมในการจัดอันดับหรือ ranking ของกูเกิลจนทำให้ผู้ใช้ไม่ได้รับข้อมูลที่ดีพอ

ในขณะที่กูเกิลปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเกี่ยวกับการคลอดโปรแกรมเสริม Don't Be Evil ผู้บริหารเฟซบุ๊กอย่าง Ross ซึ่งเป็นมีดีกรีเป็น 1 ใน 3 ผู้ร่วมก่อตั้งเว็บเบราว์เซอร์ Firefox กับมอซิลานั้นโพสต์เผยแพร่โปรแกรมเสริม Don't Be Evil นี้ทางทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของตัวเองอย่างเต็มที่

สำหรับคนไทย Search Plus Your World จะไม่มีผลใดๆกับการค้นหาข้อมูลในเมืองไทย แต่สำหรับในสหรัฐฯ ผู้สนใจติดตั้งโปรแกรมเสริมนี้สามารถติดตามการทำงานและวิธีใช้ได้จากเว็บไซต์ ซึ่งจะเปิดเผยชุดคำสั่งเพื่อเปิดให้นักพัฒนาร่วมกันสร้างสรรค์ความสามารถเพิ่มเติมต่อโดยเสรี

Company Relate Link :
Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 24 มกราคม 2555 16:55 น.