วันอังคารที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Nikon เปิดตัว “กล้องแอนดรอยด์”

ถือเป็นก้าวใหม่ที่สำคัญสำหรับกล้องดิจิตอลสายพันธุ์คูลพิกซ์ (Coolpix) เพราะวันนี้ “นิคอน (Nikon)” เปิดตัวกล้อง 3 รุ่นใหม่ที่ดึงเอาความสามารถในการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตมาเป็นแต้มต่อให้ผลิตภัณฑ์กล้องดิจิตอลกลุ่ม point-and-shoot หรือกลุ่มกล้องตัวเล็กเล็งแล้วถ่ายของนิคอนดูดีและน่าซื้อหามาใช้งานยิ่งขึ้น
      
       1 ใน 3 กล้องดิจิตอลรุ่นใหม่ที่ร้อนแรงที่สุด คือ Coolpix S800c มาพร้อมเทคโนโลยีประมวลผลภาพของนิคอนซึ่งฝังตัวรับสัญญาณไว-ไฟ (Wi-Fi) และระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) ในตัว ซึ่งเป็นไปตามข่าวลือที่ก่อนหน้านี้มีการรายงานว่า นิคอนกำลังเร่งมือผลิตกล้องดิจิตอลระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์
      
       นิคอน ยกให้ Coolpix S800c เป็นกล้องที่สมบูรณ์แบบด้านการเชื่อมต่อ โดย นิคอน ระบุว่า S800c จะทำให้ผู้ใช้สามารถแบ่งปันภาพผ่านเครือข่ายสังคมได้ง่ายขึ้น ตัวกล้องใช้เซ็นเซอร์ภาพ CMOS ความละเอียด 16 ล้านพิกเซล เลนส์ซูม 10x สามารถบันทึกภาพความละเอียดสูง HD ได้ แถมยังมีเทคโนโลยีระบุพิกัด GPS และสามารถใช้งานแอปพลิเคชันแอนดรอยด์บางแอปได้
      
       สำหรับอีกรุ่นที่จะเป็นเรือธงในตระกูลคูลพิกซ์ คือ P7700 ความละเอียดกล้อง 12.2 ล้านพิกเซล บนเลนส์ซูม 7.1x สามารถควบคุมตั้งค่าในระบบแมนนวลได้ รองรับการบันทึกภาพความละเอียดสูง 1080p HD
      
       ยังมี S01 ที่สามารถซื้อหาได้ในราคาสบายกระเป๋ามากกว่า คุณสมบัติหลัก คือ การเป็นกล้องดิจิตอลคอมแพกต์เล็งแล้วถ่ายขนาดเล็กพิเศษ หรือ ultra-mini point-and-shoot ตัวกล้องมีน้ำหนักเพียง 3.4 ออนซ์ ตัวกล้องมีระบบปฏิบัติการที่รองรับหน้าจอทัชสกรีน เลนส์ซูม 3x ทำงานแสนสบายบนโหมดอัตโนมัติ
      
       ทั้ง 3 รุ่นจะเริ่มทำตลาดในเดือนกันยายนนี้ ตัว S800c มีราคา 349.95 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งผลิตออกมา 2 สี คือ สีขาว และ ดำ (ราว 10,500 บาท) ขณะที่ P7700 มีเพียงสีดำเท่านั้นในราคา 499.95 เหรียญ (ประมาณ 15,000 บาท) โดย S01 จะมีให้เลือก 4 สี คือ เงิน ขาว แดง และ ชมพู ราคาเบื้องต้น คือ 179.95 เหรียญสหรัฐฯ (ราว 5,400 บาท)
      
       Company Related Link :
       Nikon

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 18:20 น.

Logitech เปิดตัวแป้นพิมพ์ล้างน้ำได้ "Washable Keyboard K310"

งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันแล้วว่าคีย์บอร์ดหรือแป้นพิมพ์คอมพิวเตอร์นั้นเสี่ยงต่อการเป็นแหล่งสะสมแบคทีเรียหลายพันชนิด ขณะเดียวกัน ผู้ใช้คอมพิวเตอร์หลายคนยังกินขนมนมเนยหน้าจอจนทำให้แป้นคีย์บอร์ดมีคราบเหนียวที่เช็ดไม่ออก ทั้งหมดนี้ทำให้ยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตอุปกรณ์ต่อพ่วงสำหรับคอมพิวเตอร์อย่างลอจิเทค (Logitech) ตัดสินใจเปิดตัวคีย์บอร์ดที่สามารถล้างน้ำได้ในชื่อ Washable Keyboard K310
      
       Washable Keyboard K310 นั้นเพิ่งถูกเปิดตัวเมื่อวันพุธที่ 22 สิงหาคมที่ผ่านมา รูปแบบการจัดเรียงปุ่มพิมพ์หรือเลย์เอาท์นั้นมีลักษณะใกล้เคียงกับคีย์บอร์ดทั่วไปของลอจิเทค แต่จุดต่างคือ K310 สามารถนำไปแช่ในน้ำได้โดยไม่เป็นอันตรายต่อระบบ
      
       ข้อมูลจากลอจิเทคระบุว่าผู้ใช้ K310 สามารถนำคีย์บอร์ดไปแช่ในอ่างน้ำได้ทุกส่วน โดยรองรับความลึกที่ 11 ฟุต วัสดุเคลือบคีย์บอร์ดทำให้ตัวแป้นแห้งได้เร็วขึ้น ซึ่งนอกจากการแช่น้ำ ผู้ใช้ K310 สามารถใช้ผ้าเปียกชุ่มทำความสะอาดคีย์บอร์ดได้เช่นกัน
      
       Logitech ยืนยันว่าออกแบบให้แป้นพิมพ์ล้างน้ำได้นี้เหมาะสมต่อการล้างน้ำเต็มที่ เช่น การพิมพ์ตัวอักษรบนปุ่มแป้นพิมพ์ด้วยเทคโนโลยีเลเซอร์ซึ่งทำให้ตัวอักษรบนแป้นพิมพ์ไม่จางหายไป ขณะเดียวกันก็ออกแบบให้โพรงด้านหลังปุ่มกดและหลังคีย์บอร์ดไม่มีสภาพขังน้ำ ทั้งหมดนี้ทำให้คีย์บอร์ด K310 สามารถทำความสะอาดในน้ำได้อย่างเต็มที่
      
       ข้อมูลระบุว่า K310 รองรับคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการ Windows XP, Windows Vista และ Windows 7 เบื้องต้นมีกำหนดการจำหน่ายในสหรัฐฯช่วงเดือนสิงหาคมนี้ในราคา 39.99 เหรียญสหรัฐ (ราว 1,200 บาท) ก่อนจะเริ่มวางตลาดที่ยุโรปช่วงเดือนตุลาคม 2012
      
       Company Related Link :
       Logitech

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 22 สิงหาคม 2555 14:11 น.

วันพุธที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2555

Google Earth เผยที่ตั้ง "พีระมิดที่หายไป" ของอียิปต์

หากโฮวาร์ด คาร์เตอร์ (Howard Carter) นักโบราณคดีอังกฤษผู้ค้นพบสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมนสามารถใช้คอมพิวเตอร์ดูภาพถ่ายผ่านดาวเทียมได้ คาร์เตอร์คงสามารถค้นพบพีระมิดอื่นที่มากกว่าพีระมิดของยุวกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ เพราะล่าสุดนักวิจัยในสหรัฐฯ สามารถค้นพบฐานพีระมิดแห่งใหมที่ยังไม่เคยมีการระบุชื่อ ซึ่งเผยที่ตั้งในภาพจากบริการกูเกิลเอิร์ท (Google Earth) อย่างชัดเจน
      
       ข่าวนี้สะท้อนว่าทุกคนบนโลกสามารถค้นหาสมบัติที่หายไปของโลกได้จากบริการกูเกิลเอิร์ท บริการที่ชาวออนไลน์จะสามารถชมภาพถ่ายผ่านดาวเทียมเพื่อสำรวจโลกได้อย่างสะดวกสบายและไม่สิ้นเปลือง โดยนักวิจัยอเมริกันที่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทค้นพบตำแหน่งสถานที่ประวัติศาสตร์มีชื่อว่า "แองเจลา มิคอล (Angela Micol)" ซึ่งสื่อมวลชนยกตำแหน่งให้อย่างไม่เป็นทางการว่านักโบราณคดีผ่านดาวเทียม (satellite archaeology researcher)
      
       มิคอลนั้นอาศัยในนอร์ทแคโลไรนา แต่สามารถใช้กูเกิลเอิร์ทสำรวจสถานที่ที่คาดว่าจะเป็นพีระมิดที่ยังไม่เคยมีการสำรวจพบจำนวน 2 จุด โดยทั้ง 2 สถานที่นี้มีลักษณะเหมือนฐานพีระมิดโบราณไม่ผิดเพี้ยน จุดแรกคาดว่ามีฐานกว้าง 42.6 เมตรบนส่วนยอดแบนราบ เบื้องต้นคาดว่าเป็นผลจากการพังทลายที่ยอดพีระมิด นอกจากนี้ยังพบฐานหินอีก 3 กองกระจายในส่วนท้าย ซึ่งการจัดเรียงลักษณะนี้มีความคล้ายกับการจัดเรียงพีระมิดชื่อก้องโลกที่กิซา (Giza)
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าฐานหินที่พบนั้นมีโอกาสเป็นพีระมิดโบราณสูง เพราะฐานหินดังกล่าวตั้งอยู่ห่างจากเมือง Dimai ไปทางตะวันออกราว 2 ไมล์ เมืองดังกล่าวเป็นเมืองโบราณที่มีหลักฐานว่าก่อตั้งโดยกษัตริย์ Ptolemy II (กษัตริย์ทอเลมีที่ 2) ซึ่งขุดพบโครงสร้างสิ่งปลูกสร้างจากอิฐ ดิน และหิน ซึ่งเป็นวัสดุเดียวกับสถานที่ปรักหักพังในเมืองโบราณในอียิปต์
      
       สถานที่ประวัติศาสตร์อีกจุดที่มีการพบบนกูเกิลเอิร์ทนั้นอยู่ห่างจากเมือง Abu Sidhum ราว 12 ไมล์ (ใกล้กับแม่น้ำไนล์ ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของพีระมิดโบราณของอียิปต์ส่วนใหญ่) ลักษณะที่พบคือฐานหิน 4 จุดซึ่งมียอดเป็นรูปสามเหลี่ยม โดย 2 ฐานมีขนาดใหญ่ 76.2 ฟุต ขณะที่อีก 2 ฐานมีขนาดเล็กกว่าราว 30.48 ฟุต ทั้ง 4 ฐานหินถูกจัดวางในลักษณะเดียวกับพีระมิดเช่นกัน
      
       กรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นการตอกย้ำว่ากูเกิลเอิร์ทนั้นเป็นเครื่องมือในการสำรวจโลกที่ทำได้ง่ายและได้รับความนิยมจากคนทั่วโลก ซึ่งในกรณีนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านพีระมิดและอารยธรรมอียิปต์โบราณอย่าง Nabil Selim แสดงความเชื่อมั่นว่าฐานหินที่พบอาจจะเป็นพีระมิดโบราณจริง เพราะสถานที่เก็บซ่อนอารยธรรมอียิปต์โบราณอาจจะมีมากมาย และที่มีการสำรวจพบแล้วอาจจะมีจำนวนไม่ถึง 1%
      
       นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เทคโนโลยีท่องโลกแบบเสมือนสามารถทำให้โลกค้นพบสมบัติที่หายไปในอียิปต์ โดยปีที่ผ่านมาศาสตราจารย์ด้านอียิปต์และอาหรับอย่างซาราห์ พาร์คาก (Sarah Parcak) ประกาศว่าเธอได้ค้นพบพีระมิด 17 แห่ง แหล่งชุมชนโบราณ 3,100 แห่ง และสุสานมากกว่า 1,000 จุด เพราะความช่วยเหลือจากภาพถ่ายอินฟราเรดผ่านดาวเทียม
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 15:55 น.

เปิดแผนปรับโครงสร้าง “โมโตโรล่า” ใต้ชายคากูเกิล

กูเกิล (Google) เผยแผนปรับโครงสร้างหลังฮุบกิจการธุรกิจผลิตโทรศัพท์เคลื่อนที่ของโมโตโรล่า “โมโตโรล่าโมบิลิตี (Motorola Mobility)” ว่าจะเลิกจ้างพนักงานราว 4,000 ตำแหน่ง คิดเป็นสัดส่วน 20% ของพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตี
      
       การเปิดเผยแผนลอยแพพนักงานโมโตโรล่าโมบิลิตีครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากกูเกิลสามารถควบคุมกิจการพัฒนาโทรศัพท์มือถือของยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารสัญชาติอเมริกันอย่างเต็มตัวเพียง 3 เดือน โดยกูเกิลเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทุกองค์กรอย่างเป็นทางการให้สามารถเข้าซื้อกิจการโมโตโรล่าโมบิลิตีด้วยมูลค่า 1.25 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา หลังจากบรรลุข้อเสนอซื้อกิจการตั้งแต่สิงหาคม 2011 พร้อมกับพนักงานในธุรกิจนี้ทั้งหมด 20,000 คน
      
       ไม่เพียงลอยแพพนักงาน กูเกิลยังมีแผนปิดสำนักงานโมโตโรล่ามากกว่า 30 แห่งด้วย ซึ่งทั้งหมดปรากฏในเอกสาร Form 8-K ที่กูเกิลต้องยื่นต่อคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ หรือ U.S. Securities and Exchange Commission (SEC) ข้อมูลเบื้องต้นพบว่าเอกสารลงวันที่ชี้แจง 3 สิงหาคมที่ผ่านมา ก่อนจะนำออกเผยแพร่วันที่ 13 สิงหาคมตามเวลาสหรัฐฯ
      
       “2 ใน 3 ของการลดจำนวนพนักงานจะเกิดขึ้นในพื้นที่นอกสหรัฐอเมริกา” เอกสารระบุ “นอกจากนี้ โมโตโรล่ายังวางแผนปิดสำนักงาน 1 ใน 3 ของสำนักงานที่โมโตโรล่ามีทั้งหมด 90 แห่งในขณะนี้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการพัฒนาสินค้าโทรศัพท์มือถือ จากฟีเจอร์โฟนทั่วไปเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีเทคโนโลยีใหม่และสามารถทำกำไรได้มากขึ้น”
      
       นักวิเคราะห์เชื่อว่าการปรับโครงสร้างครั้งนี้เป็นกลยุทธ์สำคัญที่กูเกิลเตรียมไว้เพื่อกู้วิกฤตขาดทุนให้โมโตโรล่าโมบิลิตี โดยก่อนหน้านี้โมโตโรล่าโมบิลิตีประสบภาวะขาดทุนต่อเนื่อง 14-16 ไตรมาสที่ผ่านมา จุดนี้กูเกิลแสดงความมั่นใจในเอกสารว่านักลงทุนจะได้เห็นปัจจัยมากมายที่สะท้อนว่าโมโตโรล่าจะทำรายได้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องอีกหลายไตรมาส โดยเฉพาะการลดค่าใช้จ่ายที่ส่งผลกระทบต่อรายได้อย่างชัดเจน ซึ่งทำให้กูเกิลมองว่าการลดค่าใช้จ่ายจะเป็นหลักสำคัญในการฟื้นฟูโมโตโรล่า

เอกสารยังระบุว่า โมโตโรล่าเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงจะสร้างความลำบากแก่พนักงานเพียงไร จึงพร้อมช่วยเหลือให้พนักงานสามารถผ่านช่วงเวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงนี้ไปให้ได้ โดยจะเสนอทางเลือกหลากหลายให้พนักงานที่จะถูกเลิกจ้าง รวมถึงจะมีการประสานงานเพื่อให้พนักงานสามารถหางานใหม่ได้ง่ายขึ้น ซึ่งทั้งหมดนี้คาดว่าจะเกิดเป็นค่าใช้จ่ายในไตรมาส 3 ของปีนี้ไม่เกิน 275 ล้านเหรียญสหรัฐ
      
       นอกจากการปรับลดพนักงาน กูเกิลยังลดจำนวนผู้บริหารในตำแหน่งรองประธาน (vice president) ลง 40% จุดนี้เป็นข้อมูลจากสำนักข่าวบลูมเบิร์กนิวส์ซึ่งไม่มีรายงานเพิ่มเติมในขณะนี้
      
       เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา กูเกิลเปิดเผยรายงานผลประกอบการครั้งแรกหลังจากบริษัทสามารถควบรวมกิจการกับโมโตโรล่าโมบิลิตีอย่างเป็นทางการ ระบุว่ารายได้ตลอดเดือนเมษายน-มิถุนายน 2012 โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำเงินได้ราว 1.2 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 35% จาก 9.03 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาสเดียวกันของปี 2011
      
       ตัวเลขรายได้รวม 1.2 หมื่นล้านเหรียญยังคิดเป็นสัดส่วนเพิ่มขึ้น 15% จากไตรมาสแรกของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2012) ซึ่งกูเกิลให้ข้อมูลว่ามีรายได้ราว 1.06 หมื่นล้านเหรียญเท่านั้น โดยเมื่อคำนวณเป็นกำไร โมโตโรล่าโมบิลิตีสามารถทำกำไรได้ 2.79 พันล้านเหรียญในไตรมาส 2 ปี 2012 ที่ผ่านมา สูงกว่า 2.51 พันล้านเหรียญที่เคยทำได้ในไตรมาส 2 ปี 2011
      
       ข่าวการลอยแพพนักงานโมโตโรล่านี้เกิดขึ้นหลังผู้บริหารกูเกิลออกมายืนยันว่าจะไม่มีการควบรวมกิจการอย่างเต็มรูปแบบระหว่างกูเกิลกับโมโตโรล่าโมบิลิตี โดยแพทริค พิเชตต์ (Patrick Pichette) ประธานฝ่ายการเงินของกูเกิล ให้สัมภาษณ์ระหว่างการประชุมผู้ถือหุ้นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ว่ากูเกิลจะปล่อยให้โมโตโรล่าโมบิลิตีดำเนินธุรกิจโดยแยกจากธุรกิจหลักของกูเกิลอย่างชัดเจน ถือเป็นคำยืนยันที่ทำให้พันธมิตรผู้ผลิตสมาร์ทโฟนแอนดรอยด์ (Android) เบาใจได้ว่า กูเกิลจะไม่ลงไปแข่งขันด้วยชื่อของกูเกิลในตลาดสมาร์ทโฟน
      
       Company Related Link :
       Google

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 14 สิงหาคม 2555 13:24 น.

แคนนอนส่ง 'EOS M' ลุยไตรมาส 4

       แคนนอนหวังขึ้นเป็นผู้นำตลาดมิร์เรอร์เลสช่วงต้นปีหน้า หลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ EOS M พร้อมวางขายช่วงเดือนตุลาคม คาดสัดส่วนตลาดระหว่าง DSLR กับมิร์เรอร์เลสจะอยู่ที่ 80% ต่อ 20%
      
       นายวาตารุ นิชิโอกะ ประธานบริษัท และประธานกรรมการบริหาร บริษัท แคนนอน มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวถึงภาพรวมตลาดในช่วงครึ่งปีแรกของแคนนอนในส่วนของตลาดกล้อง DSLR มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 40% ส่วนตลาดกล้องคอมแพกต์ก็ยังมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ว่าตลาดรวมจะลดลง
      
       โดยเนื่องจากครึ่งปีแรกกล้อง DSLR มีอัตราการเติบโตสูงทำให้ส่วนแบ่งตลาดของกล้อง DSLR ในช่วงครึ่งปีแรกขึ้นไปอยู่ที่ 70% ส่วนในครึ่งปีหลังคาดว่าจะเติบโตราว 30% ทำให้ท้ายที่สุดแล้วคาดว่าส่วนแบ่งตลาดจะอยู่ที่ราว 65% เนื่องจากมีปัจจัยหลายอย่างที่ต้องคำนึงถึง
      
       ขณะที่กล้องคอมแพกต์ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 18-10% แต่เชื่อว่าถึงสิ้นปีจะปิดที่มากกว่า 20% ซึ่งยังต้องรอดูต่อไปว่าจะอยู่ในอันดับที่เท่าใด เพราะปัจจุบันส่วนแบ่งตลาดกล้องคอมแพกต์ระดับ 1-3 อยู่ใกล้เคียงกัน
      
       ทั้งนี้ เชื่อว่าตลาดรวมกล้อง DSLR ถึงสิ้นปีนี้จะอยู่ที่ 1.35 แสนตัว ส่วนกล้องคอมแพกต์อยู่ที่ 1.3 ล้านตัว สำหรับเป้าหมายรายได้ในปีนี้ของแคนนอนประเทศไทยอยู่ที่ 1.11 หมื่นล้านบาท โดยเป็นรายได้จากกลุ่มผลิตภัณฑ์อิมเมจจิ้งที่ 6.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
      
       ล่าสุดเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างกล้อง DSLR EOS 650D ที่เริ่มวางจำหน่ายแล้ว และมิร์เรอร์เลส EOS M ที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงเดือนตุลาคม โดยตั้งเป้าว่าจะสามารถจำหน่ายมิร์เรอร์เลสปีนี้เดือนละ 2,000 ตัว
      
       "กล้องมิร์เรอร์เลสออกมาตอบสนองความต้องการของลูกค้ากลุ่มที่ต้องการเครื่องขนาดเล็ก และเบาลง บนคุณภาพระดับใกล้เคียงกับกล้อง DSLR ซึ่งแคนนอนใช้เวลา 2 ปีในการศึกษาข้อบกพร่องของคู่แข่งและนำมาปรับปรุงในผลิตภัณฑ์ EOS M ให้ตอบโจทย์การใช้งานของลูกค้ามากที่สุด"
      
       ทั้งนี้ คาดว่าสัดส่วนของกล้อง DSLR และมิร์เรอร์เลสหลังจากวางจำหน่าย EOS M แล้วจะอยู่ที่ 80% ต่อ 20% และคาดว่าจะขึ้นเป็นผู้นำตลาดมิร์เรอร์เลสได้ในช่วงต้นปีหน้าด้วยส่วนแบ่งตลาด 30-35%
      
       สำหรับจุดเด่นของกล้อง EOS 650D และ EOS M คือหน้าจอทัชสกรีนแบบ Capasitive ที่มาพร้อมกับระบบทัชโฟกัส ช่วยให้ผู้ใช้สามารถถ่ายภาพเคลื่อนไหวพร้อมการโฟกัสเฉพาะจุดได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันยังมาพร้อมหน่วยประมวลผลภาพ DIGIC 5 และเซ็นเซอร์ Hybrid CMOS AF System ช่วยเพิ่มความสามารถในการโฟกัสอย่างต่อเนื่อง
      
       โดยราคาจำหน่ายของ EOS 650D พร้อมเลนส์ EF-S18-55mm IS II อยู่ที่ 30,900 บาท และพร้อมเลนส์ EF-S18-135mm IS STM อยู่ที่ 40,900 บาท ส่วน EOS M แบ่งออกเป็น 3 ชุด คือ พร้อมเลนส์ EF-M18-55mm IS STM ที่ 28,900 บาท พร้อมเลนส์ EF-M22mm และ Mount Adapter ที่ 29,900 บาท สุดท้ายพร้อมเลนส์ EF-M18-55mm IS STM, EF-M22mm และแฟลช Speedlite 90EX ที่ราคา 32,900 บาท
      
       Company Related Link :
       Canon

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 13 สิงหาคม 2555 08:57 น.

วันพฤหัสบดีที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2555

“แอปเปิล” เคยคิดพัฒนา “รถ”

คดีความซึ่งแอปเปิลฟ้องร้องซัมซุงว่า “ลอกเลียนแบบไอโฟน-ไอแพด” นั้นทำให้ความลับเรื่องแผนการพัฒนาสินค้าของแอปเปิลถูกเปิดเผยหลายจุด หนึ่งในนั้นคือแผนพัฒนารถยนต์อัจฉริยะและกล้องดิจิตอลรุ่นพิเศษหลังจากเห็นความสำเร็จของไอพอด และในช่วงปี 2011 ที่ผ่านมาผู้บริหารระดับสูงรายหนึ่งของแอปเปิลเคยส่งอีเมลแนะนำแนวคิดการพัฒนาไอแพดขนาด 7 นิ้ว ซึ่งสะท้อนว่าไอแพด 7 นิ้วกำลังมีคิววางตลาดค่อนข้างแน่นอน
      
       ข้อมูลความลับเรื่องแผนพัฒนาสินค้าแอปเปิลถูกเปิดเผยโดยผู้บริหารที่ถูกเรียกขึ้นมาให้การในศาลแคลิฟอร์เนียเมื่อวันศุกร์ที่ 3 ส.ค. ที่ผ่านมา โดยผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดอย่างฟิล สคิลเลอร์ (Phil Schiller) และหัวหน้าทีมพัฒนาซอฟต์แวร์อย่างสกอตต์ ฟอร์สตอลล์ (Scott Forstall) ถูกส่งมาให้การพร้อมกับจัสติน เดนิสัน (Justin Denison) ประธานฝ่ายกลยุทธ์ซัมซุงภูมิภาคสหรัฐอเมริกา (Samsung Telecommunications America)
      
       ทั้ง 2 ฝ่ายพยายามปกป้องบริษัทตัวเองให้พ้นจากข้อกล่าวหาเรื่องลอกเลียนการออกแบบและคุณสมบัติซอฟต์แวร์ของคู่แข่ง ผู้บริหารซึ่งเป็นตัวแทนของทั้ง 2 ค่ายจึงพร้อมใจแจกแจงข้อมูลว่าได้ลงทุนและลงแรงพัฒนาสินค้าของตัวเองไปอย่างยากเย็นและจริงจังเพียงใด ซึ่งทำให้ข้อมูลลับที่ทั้งคู่ไม่เคยเปิดเผยมาก่อนถูกรายงานต่อสาธารณชนทั่วโลก เช่นข้อมูลที่ระบุว่าแอปเปิลใช้เงินมากกว่า 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐในการทำตลาดไอโฟนและไอแพดนับตั้งแต่การเปิดตัวไอโฟนรุ่นแรกปี 2007 ขณะที่ซัมซุงระบุว่าใช้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านเหรียญต่อปีในการประชาสัมพันธ์แบรนด์ซัมซุง

       สคิลเลอร์ให้การต่อศาลว่า ความสำเร็จของไอพอดเป็นแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้แอปเปิลมองว่าตัวเองสามารถเป็นได้มากกว่าบริษัทคอมพิวเตอร์ธรรมดา ดังนั้น แผนโครงการสร้างผลิตภัณฑ์ใหม่ในแบรนด์แอปเปิลจึงเกิดขึ้นจำนวนมากเพื่อรอการพิจารณา โดยในแผนการทั้งหมดมีรถยนต์และกล้องดิจิตอลรวมอยู่ด้วย ซึ่งแอปเปิลเคยจำหน่ายกล้องดิจิตอล 1 รุ่นในชื่อ QuickTake ในช่วงปี 90 ด้วย
      
       สคิลเลอร์ยังเปิดเผยข้อมูลด้านการตลาดอีกหลายประเด็น ที่น่าสนใจคือ ในช่วงสัปดาห์แรกๆ หลังการเปิดตัวไอโฟน งบการตลาดของแอปเปิลถูกใช้ไปน้อยมากเพราะสื่อมวลชนพร้อมใจตีข่าวเกี่ยวกับไอโฟนจนบริษัทไม่ต้องทำการตลาดใดๆ เพิ่มเติม หลังจากนั้น การประชาสัมพันธ์ไอโฟนจึงเกิดขึ้นภายใต้ทฤษฎีที่เรียกว่า “product as hero” ซึ่งยกให้ตัวผลิตภัณฑ์เป็นตัวเอกในการประชาสัมพันธ์ตัวเอง ขณะที่แอปเปิลหันไปทุ่มกำลังสร้างความพิเศษให้ผู้บริโภครับรู้ถึงภาพลักษณ์ผลิตภัณฑ์
      
       ด้านฟอร์สตอลล์ซึ่งเป็นหัวเรือใหญ่ในการพัฒนาไอโฟนรุ่นแรกให้ข้อมูลว่า แอปเปิลเริ่มต้นพัฒนาไอแพดในปี 2003 ในฐานะผลิตภัณฑ์ทางเลือกสำหรับผู้ต้องการใช้งานแล็ปท็อปราคาประหยัด ซึ่งเป็นทางออกของการไม่ต้องการพัฒนาแล็ปท็อปราคาประหยัดของแอปเปิล ต่อมาในปี 2004 งานผลิตไอแพดจึงถูกย้ายแพลตฟอร์มไปทำงานบนระบบโทรศัพท์มือถือ เพราะแอปเปิลเห็นโอกาสในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมครั้งใหญ่
      
       ฟอร์สตอลล์มีดีกรีเป็นลูกน้องสตีฟ จ็อบส์ในสมัยทำกิจการเนกซ์คอมพิวเตอร์ (NeXT Computer) ในปี 1992 โดยฟอร์สตอลล์ระบุว่าได้รับมอบหมายจากจ็อบส์ให้สร้างหน้าตาโปรแกรม หรือ user-interface สำหรับไอโฟนโดยไม่จ้างใครนอกองค์กรแอปเปิล เพื่อเก็บข้อมูลของไอโฟนให้เป็นความลับสุดยอด

       อีกหนึ่งข้อมูลเด่นคือเรื่องราวของไอแพดขนาด 7 นิ้ว โดยก่อนหน้านี้สตีฟ จ็อบส์ ผู้ล่วงลับเคยประกาศไม่สนใจการผลิตแท็บเล็ตขนาด 7 นิ้วเพราะคิดว่าเล็กเกินไป โดยมองว่าหน้าจอขนาด 9.7 นิ้วถือเป็นขนาดที่เหมาะสมที่สุดแล้วที่จะได้ประสบการณ์ใช้งานที่ดี แต่ในระยะหลังกระแสข่าวลือแพร่สะพัดทั่วโลกออนไลน์ว่าแอปเปิลเตรียมวางขายไอแพดมินิ (iPad mini) ไอแพดรุ่นใหม่ที่มีขนาดหน้าจอ 7-8 นิ้ว กระแสข่าวนี้ทำให้ซัมซุงใช้เป็นจุดโจมตีว่าแอปเปิลได้แรงบันดาลใจมาจากซัมซุงเช่นกัน ไม่ต่างจากข้อกล่าวหาที่แอปเปิลใช้ฟ้องซัมซุงว่าใช้ไอโฟนเป็นแรงบันดาลใจในการพัฒนาสินค้าตระกูลกาแล็กซี (Galaxy)
      
       เควิน จอห์นสัน (Kevin Johnson) ทนายความซัมซุง ตั้งคำถามฟอร์สตอลล์ถึงอีเมลจากผู้บริหารแอปเปิล “เอ็ดดี คู (Eddy Cue)” ประธานฝ่ายธุรกิจไอจูนส์ซึ่งส่งถึงฟอร์สตอลล์ในวันที่ 24 ม.ค. 2011 โดยในเนื้อความมีการวิเคราะห์ว่าขนาดไอแพดนั้นไม่เหมาะสม แต่มีการชื่นชมขนาดหน้าจอ 7 นิ้วของ Samsung Galaxy Tab พร้อมกับแสดงความเชื่อมั่นว่าแอปเปิลควรผลิตแท็บเล็ต 7 นิ้วเพราะมีตลาดใหญ่รองรับอยู่ จุดนี้ในอีเมลระบุว่าหลังจากรายงานต่อสตีฟ จ็อบส์หลายครั้ง ตัวสตีฟ จ็อบส์เองก็เริ่มเห็นด้วยในครั้งสุดท้ายที่มีการรายงานแนวคิดแท็บเล็ต 7 นิ้ว
      
       สื่อต่างชาติรายงานความลับภายในแอปเปิลที่ถูกเปิดเผยระหว่างการพิจารณาคดีความระหว่างแอปเปิลกับซัมซุงตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทั้งเรื่องการใช้ชื่อลับในการพัฒนาไอโฟนว่าโครงการสีม่วง หรือ Project Purple โดยบรรยากาศภายในอาคารพัฒนาซึ่งถูกเรียกว่าตึกสีม่วง (Purple Building) นั้นมีลักษณะเหมือนหอพักที่มีผู้คนตลอดเวลา และผู้คนที่มีส่วนร่วมกับโครงการนี้จะมีกฎข้อแรกเหมือนภาพยนตร์เรื่อง “Fight Club” ซึ่งระบุว่าทุกคนห้ามพูดถึงโครงการนี้

นอกเหนือจากความลับในการพัฒนาสินค้า แอปเปิลยังแสดงพัฒนาการแท็บเล็ตของซัมซุงสมัยก่อนและหลังแอปเปิลแจ้งเกิดไอโฟน ซึ่งทำให้เห็นได้ชัดว่าลักษณะการออกแบบสินค้าซัมซุงนั้นถอดแบบมาจากสินค้าของแอปเปิล
      
       ทั้งหมดนี้ทำให้แอปเปิลพยายามเรียกร้องค่าเสียหาย 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐจากซัมซุง พร้อมขอให้ศาลสั่งห้ามซัมซุงจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในสหรัฐฯ และหลายพื้นที่ทั่วโลก ขณะที่ซัมซุงก็ยังยืนยันว่าแอปเปิลต่างหากที่เป็นผู้ละเมิดสิทธิและนำแนวคิดจากซัมซุงไปใช้ในหลายจุด
      
       ท่ามกลางคดีระหว่างแอปเปิลกับซัมซุงที่มีกำหนดการพิจารณาคดีต่อเนื่องตลอดเดือน ส.ค.นี้ ล่าสุดมีกระแสข่าวว่าแอปเปิลกำลังเจรจาซื้อเว็บไซต์โซเชียลคอมเมิร์ซนามเดอะแฟนซี (The Fancy) โดยสำนักข่าวบิสิเนสอินไซเดอร์ (Business Insider) รายงานว่าแอปเปิลกำลังเจรจาเสนอซื้อกิจการอีคอมเมิร์ซแนวใหม่เพื่อสร้างตลาดของตัวเองให้รองรับบริการพาสบุ๊ก (PassBook) คุณสมบัติใหม่ในระบบปฏิบัติการ iOS 6 ที่ผู้ใช้จะสามารถจัดการข้อมูลสำคัญเพื่อการซื้อสินค้าออนไลน์ได้อย่างง่ายดาย
      
       เดอะแฟนซีเป็นบริการที่ผู้ใช้งานสามารถโพสต์ภาพสินค้าและสามารถซื้อขายกันเองได้โดยสะดวก สถิติล่าสุดพบว่ายอดซื้อขายผ่านเว็บไซต์ต่อวันสูงถึง 10,000 เหรียญสหรัฐ โดยไม่น่าเชื่อว่าซีอีโอแอปเปิลชื่อดัง “ทิม คุค (Tim Cook)” ได้ลงชื่อใช้งานเดอะแฟนซีด้วยตัวเอง (การตรวจสอบพบว่าบัญชีของคุคได้รับการยืนยันตัวตน) ทั้งหมดแสดงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างซีอีโอแอปเปิลกับเว็บไซต์อนาคตไกลรายนี้
      
       Compnay Related Link :
       Apple

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 สิงหาคม 2555 10:36 น.